บทที่ 115 ถอนหมั้น

ห้วงเวลาบุปผาผลิบาน

กู้ฉ่างเป็นพี่ชายของกู้ซี

สกุลหลี่พยายามทุกวิถีทางที่จะสู่ขอกู้ซีให้หลี่ตวนก็เพราะกู้ฉ่าง

เขาเพียบพร้อมด้วยสติปัญญา มีชื่อเสียงตั้งแต่อายุน้อย มารดาด่วนจาก จึงดูแลเอาใจใส่น้องสาวเพียงคนเดียวของตนเป็นอย่างยิ่ง ชาติก่อนสกุลหลี่ก็ได้รับการปกป้องจากเขาด้วยเหตุนี้ กอบโกยผลประโยชน์ได้มิใช่น้อย

อวี้ถังเคยเห็นเขาจากที่ไกลๆ ครั้งหนึ่ง

พบในยามพิธีเสี่ยงทายอนาคต[1]ที่ลูกชายคนโตของกู้ซีครบรอบหนึ่งปี

กู้ฉ่างเหมือนจะไปทำเรื่องอะไรบางอย่างที่ไหวอัน จึงแวะมาเยี่ยมเยียนกู้ซีที่หลินอันอย่างเงียบๆ

เขารูปร่างสูงใหญ่ ใบหน้าหล่อเหลา รอยยิ้มเคร่งขรึม ดูอบอุ่นและเป็นกันเอง แต่แววตาที่ปราศรอยยิ้มกลับซ่อนความเยือกเย็นและห่างเหินไว้ ไม่เหมือนท่าทีเป็นมิตรหรือเข้าคนง่ายที่เขาเผยออกมาจากใบหน้าแม้แต่น้อย

ได้ยินว่านั่นเป็นครั้งแรกที่เขามาเยือนหลินอัน

คาดไม่ถึงว่า ชาตินี้กู้ฉ่างจะก้าวเข้ามาในหลินอันรวดเร็วขนาดนี้

แต่ว่าเหตุใดเขาจึงมาเยี่ยมเยือนเผยเยี่ยนกัน?

ชาติก่อน เขามาอย่างเงียบๆ ทั้งจากไปอย่างเงียบๆ แวะที่สกุลหลี่เพียงสองชั่วยามเท่านั้น นอกจากสนทนากับคนของสกุลหลี่ไม่กี่คำ ก็ทำเพียงอุ้มลูกชายคนโตของกู้ซีไปคุยเล่นอยู่ตลอด

อวี้ถังมองเผยเยี่ยนแวบหนึ่ง

เผยเยี่ยนเป็นคนที่มีไหวพริบ

เขาออกคำสั่งกับอาหมิง “เอาเทียบเชิญมาให้ข้าดู”

อาหมิงรีบนำเทียบเชิญในมือส่งให้เผยเยี่ยน

เผยเยี่ยนมองเทียบเชิญ พลางเอ่ย “ว่ามาเถิด เจ้าอยากพูดอะไร?”

อวี้ถังกระพริบตาปริบ ผ่านไปพักใหญ่ค่อยรู้ว่าเผยเยี่ยนกำลังคุยกับนางอยู่

นางเหลือบมองบิดาและญาติผู้พี่ไปที

อวี้เหวินกำลังมองนางตาปริบๆ ด้านอวี้หย่วนกลับขยิบตาให้นาง

อวี้ถังคิดยุ่งเหยิงอยู่ในใจ ในช่วงเวลาสั้นๆ กลับไม่รู้ว่าควรจะพูดอะไรกับเผยเยียน

เผยเยี่ยนก็ไม่ได้เร่งรัดนาง ปิดเทียบเชิญส่งคืนอาหมิง “ไปบอกกล่าวกับเผยหม่าน ให้เขาเตรียมตัวเสียหน่อย”

อาหมิงรับคำสั่งก่อนออกไป

แววตาของเผยเยี่ยนหยุดลงที่ร่างอวี้ถัง

อวี้ถังยิ้มเจื่อน เอ่ยเสียงเบาอย่างไม่เป็นตัวเองอยู่บ้าง “ท่าน ท่านรู้จักคุณชายใหญ่กู้ด้วยรึ?”

“คุณชายใหญ่กู้?” เผยเยี่ยนปรากกฎสีหน้างงงวย

อวี้ถังไม่เข้าใจ

เผยเยี่ยนเอ่ย “กู้เจาหยางเป็นลูกชายคนโตภรรยาเอกของบ้านรอง ตามอายุจัดอยู่ในลำดับที่หก ทั้งเขายังอายุน้อยกว่าลูกคนสุดท้องของบ้านใหญ่ถึงเจ็ดแปดปี เขามีชื่อเสียงตั้งแต่เด็ก นายท่านใหญ่สกุลกู้จึงเรียกหยอกเขาว่าเป็นคุณชายใหญ่สกุลกู้ แต่เมื่ออยู่ภายนอก คนอื่นกลับเรียกเขาว่าคุณชายหกกู้อย่างนอบน้อมเท่านั้น” พูดถึงตรงนี้ เขาก็ ‘อ่อ’ ออกมา เอ่ยว่า “กู้ฉ่างมีนามรองว่าเจาหยาง เจ้าก็คงเคยได้ยินมาก่อนกระมัง?”

นางไม่เคยได้ยินมาก่อน

ก็หมายความว่า คำเรียกคุณชายใหญ่นี้ คงมีแค่ที่สกุลกู้

อวี้ถังพลันกระดากอาย ไม่รู้ควรจะเอ่ยอย่างไรดี

เผยเยี่ยนแค่นเสียงในลำคออย่างไม่พอใจ

อวี้หย่วนผุดลุกยืนขึ้นมาทันที ท่าทางราวกับไม่กลัวความตาย อวี้ถังมองแวบเดียวก็รู้แล้วว่าไม่ดีแน่

ญาติผู้พี่ของนางคนนี้ บางครั้งก็ใสซื่อเกินไป อาจจะเสียเปรียบได้ง่ายๆ

นางละล่ำละลักดึงแขนเสื้อญาติผู้พี่ไว้ ชิงเอ่ยก่อนที่อวี้หย่วนจะเปิดปาก “นายท่านสาม เรื่องนี้ข้าทำผิดเอง ข้า ข้าโมโหที่สกุลหลี่ทำเรื่องโหดร้ายเกินไป จึงเล่าเรื่องที่สกุลหลี่ก่อไว้ให้สกุลกู้…”

เผยเยี่ยนนิ่งค้างอย่างตกตะลึง

เขาอดพินิจอวี้ถังอย่างละเอียดอีกครั้งไม่ได้

ดวงตากลมโตอ่อนหวาน แววตากระจ่างชัดจนแทบเห็นเงาของเขา ดูใสซื่อจริงใจเป็นอย่างยิ่ง

ลับหลังกลับแอบนำเรื่องฉาวไปป่าวประกาศ!

ทำเรื่องเช่นนี้ลงไป ควรจะร้อนตัวไม่ก็ตื่นตระหนกลนลานมิใช่รึ?

ทว่านางกลับโผงผางตรงไปตรงมา ราวกับกลัวคนจะไม่รู้เสียอย่างนั้น

เช่นนั้นเมื่อครู่คือยอมรับผิดแล้ว?

เผยเยี่ยนอดแค่นเสียงเย็นไม่ได้ “เจ้าคิดว่าตัวเองทำไม่ถูกจริงๆ รึ?”

อวี้ถังไม่ปริปากอันใด

นางไม่รู้สึกว่าตัวเองทำผิดตรงไหน

การขอโทษ ตั้งแต่ชาติก่อนสกุลหลี่ก็จะสร้างนิสัยนี้ให้นางเสียแล้ว ไม่ว่าจะถูกหรือผิด ก็ต้องขอโทษไว้ก่อน ให้อีกฝ่ายคลายโทสะลง จากนั้นก็ดูสถานการณ์ว่าจะยอมจบเรื่องอย่างสงบหรือโต้แย้งด้วยเหตุผลกับอีกฝ่าย

ไม่มีใครพูดอันใด บริเวณรอบๆ จึงเปลี่ยนเป็นเงียบสงัดโดยพลัน บรรยากาศก็หนักอึ้งขึ้นเรื่อยๆ

อวี้เหวินมองเผยเยี่ยน ก่อนมองอวี้ถังอีกครั้ง ยามที่กำลังจะเปิดปากคลี่คลายสถานการณ์ให้ลูกสาว ก็ได้ยินเสียงของอวี้หย่วนเอ่ยขึ้นมาอย่าขุ่นเคืองก่อน “สิ่งที่สกุลพวกเขาทำ ยังต้องกลัวคนอื่นจะซุบซิบนินทาอยู่อย่างนั้นรึ? อีกอย่าง พวกเราก็ไม่ได้แต่งเรื่องปั้นน้ำเป็นตัว สร้างข่าวลืออะไรขึ้นมา ล้วนแต่เป็นความจริงทั้งนั้น”

เผยเยี่ยนมองไปยังอวี้หย่วน

พูดตามตรง เด็กหนุ่มที่เอาแต่เดินตามบิดาต้อยๆ อย่างอวี้หย่วน เผยเยี่ยนนั้นพบเห็นมามาก หลายครั้งที่พบเขาก็ไม่เคยเห็นเขาอยู่สายตา เผยเยี่ยนคาดไม่ถึงว่าอวี้หย่วนจะชิงเอ่ยปากก่อนอวี้เหวิน จะเห็นได้ว่าอวี้หย่วนที่เป็นพี่ชายยังคงปกป้องและเอาใจใส่อวี้ถังที่เป็นน้องสาวอยู่ไม่น้อย

อย่างน้อยก็ใจกล้าลุกขึ้นมาต่อปากต่อคำกับเขา

หรือที่คุณหนูอวี้ใจกล้าดีเดือด ล้วนเป็นเพราะคนในบ้านตามอกตามใจเช่นนี้

เขาถามอวี้ถังอีกครั้ง “เจ้าไม่คิดว่าตัวเองทำผิด?”

อวี้ถังนับว่ามองออก เผยเยี่ยนนั้นต้องการสร้างปัญหาให้นาง

จะสนใจว่านางทำถูกไม่ถูกไปทำไม นางได้ขอโทษแล้ว ไฉนเขาจึงยังยืดเยื้อไม่ยอมปล่อยเช่นนี้?

อวี้ถังเอ่ย “ข้าคิดว่าพี่ชายข้ากล่าวได้ถูกต้อง สกุลพวกเขากล้าทำก็ย่อมไม่กลัวคนอื่นจะพูดอะไรอยู่แล้ว ข้าไม่ได้ทำผิด!”

เผยเยี่ยนเอ่ย “เช่นนั้นเจ้าขอโทษอะไร?”

อวี้ถังอยากลอกตาอย่างยิ่ง แต่กลัวว่าบิดาจะคิดว่ามารดาสั่งสอนนางได้ไม่ดี จึงไม่กล้า

“ข้าขอโทษก็เพราะกลัวท่านโกรธมิใช่หรอกรึ?” ดีที่นางสมองไว ชั่วพริบตาก็หาเหตุผลได้ทันที “ท่านช่วยเหลือข้ามากมายขนาดนี้ ข้ายังไม่ได้ตอบแทนอะไรเป็นชิ้นเป็นอัน กลับวิ่งโร่ไปสร้างปัญหาให้สกุลหลี่…”

ปกตินางก็มักจะเกลี้ยกล่อมเอาใจบิดามารดาเช่นนี้ ไม่รู้สึกว่ามีอันใดไม่เหมาะสม ส่วนเผยเยี่ยน ยามปกติที่คนอื่นพูดคุยกับเขาล้วนแต่สรรเสริญเยินยอเกินจริง แม้จะเป็นคำพูดเอ่ยขัด ก็กล่าวได้อย่างไพเราะรื่นหู เขาจึงไม่รู้สึกว่าคำพูดนี้ผิดที่ตรงไหน

ด้วยเหตุนี้เขาจึงพยักหน้าอย่างพอใจ คิดว่าคุณหนูอวี้ยังนับว่าจิตใจดี รู้จักซาบซึ้งในบุญคุณ ก็ไม่ถือสาอะไรนางอีก เอ่ยสั่งสอน “ในเมื่อคิดว่าตัวเองไม่ผิด ก็อย่าได้ขอโทษคนอื่นส่งเดช เจ้าไม่ใช่เด็กรับใช้หรือบ่าวของสกุลใด ไฉนจึงต้องพูดขอโทษให้ติดปาก!”

คาดไม่ถึงว่าจะพูดด้วยน้ำเสียงราวกับผิดหวังเช่นนั้น

อวี้ถังชะงักงัน อดลอบนินทาในใจไม่ได้ ไม่อยู่ในสถานการณ์เดียวกันจะเข้าใจได้อย่างไร คิดว่าตัวเองไม่ผิดก็ไม่ขอโทษ นั่นก็ต้องดูว่าเป็นใคร หากเป็นเผยเยี่ยนเอง ย่อมทำได้ แต่เมื่อเป็นนาง กลับไม่ได้ ชาติก่อน นางก็เสียเปรียบด้วยเรื่องเช่นนี้ไม่น้อย

แต่เมื่อความคิดนี้แล่นผ่านเข้ามา นางกลับปวดใจจนพูดไม่ออกอยู่พักใหญ่

แท้จริงแล้วชาติก่อนนางก็เคยไม่ได้รับความเป็นธรรมเช่นนี้

ถึงกระทั่งเปลี่ยนแปลงนิสัยของนางไปจากเดิม

เปลี่ยนให้นางเป็นคนถ่อมตัวคิดเล็กคิดน้อย เอาแต่โอนอ่อนผ่อนตาม

ชั่วขณะนั้นขอบตาอวี้ถังก็รื้นชื้นขึ้นมา

นางก้มศีรษะลง ไม่อยากให้คนอื่นเห็นความอ่อนแอของตัวเอง

อวี้เหวินกลับเอาแต่ปรบมือเอ่ยว่าดี กล่าวกับอวี้ถัง “ลูกสาว นายท่านสามพูดมิผิด เจ้าควรจะยืดตัวตรงอย่างสง่าผ่าเผย มีอะไรก็พูดไปตามนั้น” พูดจบ ก็ทอดถอนหายใจเอ่ยกับเผยเยี่ยน “ลูกสาวข้าคนนี้ ล้วนดีทุกอย่าง เพียงขี้ขลาดตาขาวไปบ้างเท่านั้น ยากที่นางและท่านจะถูกชะตากัน ภายหลังมีเรื่องอันใด ยังคงต้องรบกวนท่านเป็นที่พึ่งพิงให้กับนาง”

จุดนี้เผยเยี่ยนไม่ได้ขัดอันใด แต่ก็หาได้รับปากอะไรไม่

เขาคาดเดาจุดประสงค์ที่กู้ฉ่างมา “ยามที่ข้าอยู่เมืองหลวงเคยพบเขาอยู่หลายครั้งหลายครา ปกติก็ไม่ได้ไปมาหาสู่กัน เขาก็ไม่ใช่คนที่ชอบเทียวไปเทียวมาอย่างส่งเดช ยิ่งไปกว่านั้นครั้งนี้เขาได้รับคำสั่งจากเบื้องบนให้ออกจากเมืองหลวง เจ้านายและเขาก็ไม่ใช่อาจารย์ศิษย์สำนักเดียวกัน ยามนี้เขากำลังทำงาน จู่ๆ ก็มาหลินอัน…ข้าคิดดูแล้ว น่าจะมีต้นสายปลายเหตุมาจากสกุลหลี่ นอกจากพวกเจ้าเล่าเรื่องของสกุลหลี่ให้สกุลกู้ฟัง ยังทำอะไรอย่างอื่นหรือไม่?”

อวี้ถังส่ายศีรษะราวกับกลองไม้เขย่า

เผยเยี่ยนกลับไม่เชื่อเท่าใด

คุณหนูอวี้ผู้นี้ มีเล่ห์เหลี่ยมไหวพริบมิใช่น้อย หากไม่ถูกต้อนจนมุมย่อมไม่อาจยอมรับง่ายๆ ไม่สิ บางทีถูกต้อนจนมุมแล้วก็อาจคิดวิธีปฏิเสธได้เสียด้วยซ้ำ

เผยเยี่ยนเอ่ย “คงไม่ถึงกับมาสืบถามนิสัยใจคอของหลี่ตวนจากข้าหรอกกระมัง?”

เขาพูดเพิ่งจะจบ คนสกุลอวี้ทั้งสามคนก็สบสายตากัน เงียบเป็นเป่าสากขึ้นมาทันที

อาจเป็นไปได้อย่างนั้นรึ!

เผยเยี่ยนโมโหจนอยากหัวร่อออกมา จ้องมองอวี้ถังที่เอ่ยรับว่า ‘อืม’ อย่างไม่ละสายตา “คุณหนูอวี้ เจ้าเป็นห่วงสกุลหลี่ถึงเพียงนี้ สกุลพวกเขามีความเคลื่อนไหวเพียงเล็กน้อย อย่างไรเจ้าก็คงได้ยินข่าวคราวมาบ้างกระมัง?”

แม้อวี้ถังจะคิดว่าคู่หมั้นเฉกเช่นหลี่ตวนนั้นทิ้งไปก็ไม่เป็นไร แต่ก็ไม่อาจห้ามความเชื่อของทุกคนที่ว่า ‘ยอมทุบสิบวัดวาดีกว่าต้องทำลายงานแต่งของคนอื่น[2]!’

หากกู้ฉ่างมาสืบถามนิสัยใจคอของหลี่ตวนจากเผยเยี่ยยนจริงๆ นางก็ไม่อาจปิดบังทำให้เผยเยี่ยนเสียเปรียบได้กระมัง!

อวี้ถังมองเผยเยี่ยนอย่างระแวดระวัง เอ่ยเสียงแผ่ว “ยามที่พี่ชายข้าแต่งงาน ข้าได้ยินพวกซิ่วไฉคุณหญิงคุณนายเหล่านั้นพูดว่า สกุลกู้อยากจะถอนหมั้น ฮูหยินหลี่ไปขอร้องวิงวอนที่สกุลกู้ด้วยตนเอง ภายหลังข้าส่งคนไปสืบข่าวคราว สกุลหลี่นั้นปิดประตูไม่รับแขก ยังมีคนพูดว่าฮูหยินหลี่เจ็บไข้ได้ป่วย ไปหาหมอที่เมืองหังโจว!”

เผยเยี่ยนโทสะตีรวนอยู่ในอก ผ่านไปสักพักจึงค่อยทำให้ตัวเองสงบลงได้

อวี้เหวินได้ฟัง ก็รู้ว่าเรื่องร้ายแรงขึ้นมาแล้ว

เขากดเสียงหัวเราะออกมาเบาๆ เอ่ยไกล่เกลี่ยอย่างสะเปะสะปะ “นี่ก็นับเป็นเรื่องที่เหนือความคาดหมาย? เรื่องเล็กน้อยขนาดนี้ ไฉนสกุลกู้บอกจะถอนหมั้นก็ถอนหมั้นกันอย่างง่ายๆ?”

เผยเยี่ยนพอจะเดาได้แล้วว่าเหตุใดคุณหนูอวี้จึงกล้าทำเรื่องมุทะลุเช่นนี้

มองอวี้หย่วนไปอีกครั้ง ร่างครึ่งหนึ่งของเขาขวางอยู่เบื้องหน้าอวี้ถัง ราวกับกลัวว่านางจะเสียเปรียบอะไรอย่างนั้น

เผยเยี่ยนอยากหัวเราะนัก “หากกู้ฉ่างต้องการซักไซ้ไล่เลียงเรื่องนี้ พวกเจ้าวางแผนจะทำอย่างไร?”

คงไม่หรอกกระมัง?

นางเพียงอยากให้สกุลกู้ล่วงรู้โฉมหน้าที่แท้จริงของหลี่ตวน!

แต่ก็ไม่แน่เช่นกัน

บางคนเพื่อเรื่องหน้าตาแล้ว ก็ไม่ต้องการอะไรทั้งนั้น

อวี้ถังเอ่ยอย่างลังเล “ไม่ใช่กล่าวว่าคุณชายใหญ่สกุลกู้เอาใจใส่น้องสาวของเขาผู้นี้เป็นที่สุดหรอกรึ?”

นี่คือเอาคำพูดของเขามาโจมตีเขา?

เผยเยี่ยนเส้นเลือดปูดขึ้นขมับ “อย่าลืมว่าบิดาของคุณหนูเซียงก็ยังมีชีวิตอยู่?”

นั่นแล้วอย่างไร?

อวี้ถังเอ่ย “หากความสามารถเล็กน้อยแค่นี้เขายังไม่มี ถือสิทธิ์อันใดพูดว่าจะปกป้องดูแลคุณหนูกู้?”

ชาติก่อน กู้ฉ่างเคยแสดงความสามารถของตัวเองเป็นที่ประจักษ์มาแล้ว

แต่เผยเยี่ยนไม่รู้ว่าอวี้ถังมีประสบการณ์ของชาติก่อน เขาเพียงคิดว่าความสามารถในการก่อเรื่องของคุณหนูอวี้เป็นที่หนึ่ง แต่ความสามารถในการจัดการเรื่องราวกลับเป็นศูนย์

เขามองอวี้ถังที่เผยใบหน้าไม่รู้สึกรู้สา เม้มริมฝีปากอย่างดื้อรั้น ไม่คิดเกรงกลัวอันใด คิดว่าแม้ตัวเองจะสั่งสอนนางในยามนี้ว่า ‘หากไม่มีความสามารถแก้ปัญหาก็อย่าได้เที่ยวไปก่อเรื่อง’ คาดว่านางก็คงไม่ฟัง บิดาของนางก็คงตระหนักไม่ได้เช่นกัน แล้วเขาสั่งสอนนางยังจะมีประโยชน์อันใด?

เผยเยี่ยนโบกมืออย่างเมื่อยล้า “รอพรุ่งนี้ข้าพบเจาหยางแล้วค่อยว่ากันเถิด”

อวี้เหวินย่อมกระดากอายไม่น้อย เห็นเช่นนั้นก็ลุกยืนทันที “เช่นนั้นพวกเรากลับไปก่อน พรุ่งนี้จะมาเข้าพบท่านอีกครั้ง”

เผยเยี่ยนไม่อยากให้พวกเขามาอย่างยิ่ง แต่ไม่มั่นใจจริงๆ ว่ากู้ฉ่างมาทำอะไร บางทีอาจจำเป็นต้องไถ่ถามอวี้ถัง เขาพยายามสงบความหงุดหงิดใจเล็กๆ นั้นลง เอ่ยอย่างอ่อนแรง “พรุ่งนี้ค่อยว่าเถิด”

อวี้เหวินได้ยิน ก็ดึงลูกสาวและหลานชายวิ่งไปแทบไม่เห็นฝุ่น

รอจนออกจากประตูใหญ่ของจวนสกุลเผย เขาก็อดเช็ดเหงื่อไม่ได้ “ดูพวกเจ้าสิ เมื่อครู่ข้าเกือบจะตอบคำถามต่อหน้านายท่านสามไม่ได้เสียแล้ว!”

——————————-

[1]พิธีเสี่ยงทายอนาคต คือ พิธีที่ให้เด็กอายุครบหนึ่งปีลองจับสิ่งของเพื่อทำนายอาชีพการงานในอนาคต

[2]ยอมทุบสิบวัดวาดีกว่าต้องทำลายงานแต่งของคนอื่น อุปมาว่า การทำลายงานแต่งของคนอื่น เป็นเรื่องที่ไร้ศีลธรรมยิ่งกว่าการทำลายวัดวาเสียอีก