บทที่ 116 สืบข่าว

ห้วงเวลาบุปผาผลิบาน

อวี้ถังและอวี้หย่วนค้อมศีรษะไม่พูดจา

พวกเขาไหนเลยจะรู้ว่ามีคนโยนเรื่องมาทางเผยเยี่ยนเช่นนี้!

อวี้เหวินโมโหเหลือทน แต่ยามนี้พวกเขายังยืนอยู่หน้าประตูใหญ่จวนสกุลเผย คนเฝ้าประตูและผู้คนที่ผ่านไปมาต่างมองมาทางพวกเขาด้วยความอยากรู้อยากเห็น พวกเขาก็ไม่อาจยืนอยู่ที่นี่นานนัก อวี้เหวินทำได้เพียงสั่นศีรษะ เอ่ยอย่างกลืนไม่เข้าคายไม่ออก “ยังยืนอยู่ที่นี่ทำไมอีก ตามข้ากลับไปเดี๋ยวนี้!”

ทั้งสองคนราวยกภูเขาออกจากอก อวี้ถังเข้าไปบีบนวดแขนให้บิดาทันที เขย่าอย่างออดอ้อน ด้านอวี้หย่วนก็รีบไปเรียกคนแบกเกี้ยวที่หยุดไม่ไกลจากประตูจวน “รีบเข้ามา พวกเราจะกลับกันแล้ว!”

คนแบกเกี้ยวกุลีกุจอยกเกี้ยวเข้ามา

อวี้เหวินเห็นก็ยิ้มอย่างจนใจ ขึ้นเกี้ยวโดยมีอวี้ถังและอวี้หย่วนขึ้นติดตามมา

อวี้หย่วนเพิ่งจะแต่งงาน กำลังอยู่ในช่วงที่หวานชื่นกับคนสกุลเซียง เมื่อก่อนหากเป็นยามนี้เขาจะนั่งพักที่เรือนของอาเขาอยู่พักใหญ่ ถึงกระทั่งกินข้าวแล้วค่อยกลับเรือนไป แต่ครั้งนี้ เขาส่งอวี้เหวินและอวี้ถังถึงเรือนแล้วก็รีบเอ่ยกับอวี้เหวินทันที “เช่นนั้นข้าขอตัวกลับก่อน หากท่านอามีเรื่องอะไรก็เรียกข้าได้”

อวี้เหวินเห็นก็ขำพรืด แต่พวกเด็กๆ สามารถใช้ชีวิตอย่างมีสุขได้ เขาที่เป็นผู้อาวุโสก็ย่อมดีใจ “รีบกลับไปเถิด! หลานสะใภ้จะได้ไม่รอนาน”

สุดท้ายเขาก็อดหยอกล้อหลานชายไม่ได้

อวี้หย่วนใบหน้าขึ้นสี คำนับแก่อวี้เหวิน ก่อนจะเดินตัวปลิวออกไป ผลปรากฏว่าคนสกุลเฉินที่ออกมาหลังจากได้ยินว่าพวกเขามาถึงเรือน กลับไม่เห็นกระทั่งเงาอวี้หย่วน นางอดหัวเราะไม่ได้ “เด็กคนนี้ ก็ไม่รู้จักสงวนท่าทีเสียบ้าง”

ส่วนมากความขัดแย้งของแม่ยายลูกสะใภ้ก็เกิดจากเหตุที่ลูกชายชื่นชอบลูกสะใภ้เกินไป

อวี้เหวินเอ่ยปลอบด้วยรอยยิ้ม “พี่สะใภ้ใหญ่หาใช่คนเช่นนั้นไม่ แต่ว่าเจ้าตักเตือนอวี้หย่วนหน่อยก็ดี จะได้ตัดไฟตั้งแต่ต้นลม!”

สองสามีภรรยาพูดคุยกันไม่กี่คำ คนสกุลเฉินก็ถามเรื่องที่พวกเขาไปสกุลเผย อวี้เหวินและอวี้ถังเลือกเล่าเรื่องไม่สลักสำคัญเท่าใดให้นางฟัง

เช้าตรู่วันต่อมา อวี้หย่วนก็วิ่งเข้ามาหา “ท่านอา อาสะใภ้ น้องสาว กู่ไท่ไท่[1]พาญาติผู้น้องมาเยี่ยมเยือน ท่านแม่ให้ข้าเชิญอาสะใภ้และน้องสาวไปนั่งคุยเป็นเพื่อนแขก ยังเอ่ยว่า รอยามเย็นท่านพ่อข้ากลับมา ให้ท่านอาเข้าไปกินข้าวด้วยกัน”

กู่ไท่ไท่?

ชั่วชีวิตนี้ของอวี้เหวินไม่มีพี่น้องผู้หญิง

ผ่านไปพักใหญ่ ครอบครัวของอวี้ถังจึงค่อยตระหนักได้ว่ากู่ไท่ไท่ที่อวี้หย่วนพูดถึงนั้นก็คือนายหญิงเว่ย ป้าของคนสกุลเซียง

ก็หมายความว่า นายหญิงเว่ยพาเว่ยเสี่ยวชวนมาเป็นแขกในเรือน

อวี้ถังยังได้พบเว่ยเสี่ยวชวนยามที่ไปสวัสดีปีใหม่สกุลเว่ย ต่อมาสำนักศึกษาประจำอำเภอเปิดเรียน คนสกุลเฉินก็ให้ป้าเฉินนำขนมของว่างที่นางทำฝากไปให้เว่ยเสี่ยวชวน ทั้งให้ชวนเขามากินข้าวในยามที่ว่าง เว่ยเสี่ยวชวนกล่าวว่า เขาเรียนยุ่งมาก ไม่มีเวลาว่าง คนสกุลเฉินจึงได้ปล่อยไปเช่นนี้

นี่เป็นวันปกติ ไฉนนายหญิงเว่ยจึงพาเว่ยเสี่ยวชวนมาเป็นแขกของเรือนลุงใหญ่?

อวี้ถังและคนสกุลเฉินเร่งผลัดเปลี่ยนเสื้อผ้า ไปเรือนของอวี้ป๋อ

นายหญิงเว่ยกำลังคุยกับคนสกุลหวังอย่างร่าเริงแจ่มใสในโถงรับแขก เว่ยเสี่ยวชวนนั่งก้มหน้าอยู่คนเดียวอยู่ด้านข้างนายหญิงเว่ย เผยท่าทางเบื่อหน่ายอยู่ไม่น้อย ก็ไม่รู้ว่าคิดอันใดอยู่

อวี้ถังเห็นแล้วก็รู้สึกอบอุ่นในใจ หัวเราะเบาๆ ก่อนตะโกนเรียก “เสี่ยวชวน”

คนในห้องโถงได้ยินก็หันมองตามเสียง

นายหญิงเว่ยหยัดกายขึ้นเป็นคนแรก เอ่ยด้วยรอยยิ้ม “ไอหยา ไฉนข้าจึงรู้สึกว่าไม่ได้เจออวี้ถังมาเดือนกว่า ดูคล้ายว่าอวี้ถังจะสูงขึ้นไม่น้อย งามขึ้นเสียด้วย” พูดจบ ก็เข้ามาดึงมืออวี้ถัง ยิ้มทักทายกับคนสกุลเฉิน

คนสกุลเฉินรีบคำนับให้นายหญิงเว่ย ก่อนทุกคนจะพากันนั่งลงอีกครั้ง ยามนี้คนสกุลเซียงก็พาสาวใช้ยกของว่างและน้ำชาเข้ามา เว่ยเสี่ยวชวนกลับนั่งอย่างเอื้อยเฉื่อยอยู่ข้างอวี้ถัง ยังมองสตรีในเรือนไปทีหนึ่งอย่างร้อนตัวอยู่บ้าง เห็นคนสกุลเฉินและคนสกุลเซียงพูดคุยกัน คนสกุลหวังและมารดาเขานั่งฟังยิ้มรับอยู่ด้านข้าง ไม่มีใครสนใจเขา เวลานี้จึงค่อยถอนหายใจยาวเหยียด ลอบดึงแขนเสื้ออวี้ถัง กระซิบเอ่ย “พี่สาว พี่สามของข้าจะแต่งงานแล้ว มาเชิญพวกเจ้าเข้าไปดื่มสุรามงคล”

แต่เดิมสกุลเว่ยวางแผนจะให้ลูกชายคนที่สามแต่งเข้าไปเป็นลูกเขยสกุลอื่น ผลปรากฏว่าเว่ยเสี่ยวซานมาด่วนจาก ทำให้สองสามีภรรยาสกุลเว่ยยิ่งคิดว่าโลกนี้ไม่มีอะไรแน่นอน ครอบครัวอยู่พร้อมหน้าพร้อมตาจะดีที่สุด จึงตัดสินใจให้ลูกชายคนที่สามแต่งงานรับสะใภ้เข้ามา

ตอนปีใหม่ อวี้ถังก็ได้ยินเรื่องนี้มาก่อนแล้ว คาดไม่ถึงว่างานแต่งของคุณชายสามสกุลเว่ยจะถูกกำหนดรวดเร็วถึงเพียงนี้

ยามนี้เห็นเว่ยเสี่ยวชวนทำปากยื่น นางจึงผลักจานของว่างไปทางเว่ยเสี่ยวชวน เอ่ยแผ่วเบาด้วยรอยยิ้ม “เดี๋ยวเจ้าก็จะมีพี่สะใภ้คนใหม่แล้ว ดีใจหน่อยสิ!”

เว่ยเสี่ยวชวนหยิบขนมขึ้นมากัดชิ้นหนึ่ง เอ่ยด้วยเสียงอู้อี้ “ทางสำนักศึกษา ข้ายุ่งจนแทบไม่มีเวลา มารดาข้ากลับดึงดันจะพาข้ามาด้วยให้จงได้”

ความนัยของวาจานี้คือ เขาไม่อยากไปมาหาสู่กับญาติสนิทมิตรสหาย

อวี้ถังกระตุกยิ้ม เอ่ยปลอบใจเขา “เจ้ามีชีวิตชีวาหน่อยเถิด อีกเดี๋ยวกินข้าวแล้ว ข้าจะหาวิธีส่งเจ้ากลับไปสำนักศึกษา”

เว่ยเสี่ยวชวนพลันตาเป็นประกาย

ยามนี้ยังไม่ทันข้ามบ่าย อาศัยจากความสัมพันธ์ของสกุลเขาและสกุลอวี้ นายหญิงใหญ่อวี้ย่อมจะรั้งตัวพวกเขาให้อยู่กินข้าวเย็นจึงจะปล่อยให้พวกเขากลับบ้าน เช่นนั้นวันนี้ทั้งวันของเขาก็นับว่าสูญหายอย่างเปล่าประโยชน์ หากสามารถกลับไปหลังกินข้าวเที่ยงได้ ช่วงบ่ายเขาย่อมสามารถเรียนตำรากับอาจารย์ได้อีกครึ่งวัน

“พี่สาว เจ้าพูดแล้วห้ามคืนคำเป็นอันขาด” เขากำชับอวี้ถังซ้ำไปซ้ำมา

อวี้ถังผงกศีรษะ เอ่ยด้วยรอยยิ้ม “เจ้าวางใจ ข้าพูดแล้วไม่คืนคำแน่นอน”

เว่ยเสี่ยวชวนค่อยสบายใจ จิบน้ำชากินขนมอย่างอารมณ์ดีขึ้นมา

อวี้ถังพุ่งความสนใจไปยังนายหญิงเว่ย

เวลานี้นางจึงเพิ่งรู้ว่า ที่แท้ผู้ที่หมั้นหมายกับคุณชายสามของสกุลเว่ยก็คือคุณหนูสกุลเกาของป่านเฉียว!

คงไม่ใช่สกุลเกาแห่งป่านเฉียวที่นางรู้จักหรอกกระมัง?

อวี้ถังเบิกตากว้าง

ฟังนายหญิงเว่ยเอ่ย “ความจริงข้าก็ไม่ได้พอใจเท่าใด สกุลพวกเขามีน้องชายของบิดาทำกิจการอยู่ในหมู่บ้าน ทำการค้าขายซื่อสัตย์สุจริต แต่กลับคิดเล็กคิดน้อยกับคนในครอบครัวอย่างยิ่ง ข้าจึงให้คนไปสืบดูอย่างละเอียด จึงรู้ว่าสกุลพวกเขาไม่ได้ไปมาหาสู่กับน้องชายบิดาคนนั้นเท่าใดนัก รวมกับเจ้าสามเองก็ถูกชะตาต้องใจ ทั้งไม่ใช่ลูกคนโต พวกเราคอยช่วยเหลือสามปีห้าปีก็แยกไปอยู่คนเดียวได้แล้ว หลังจากข้าและบิดาของเขาปรึกษาหารือกัน จึงตอบตกลง”

ก็หมายความว่า ผู้ที่คุณชายสามสกุลเว่ยจะแต่งงานด้วยคือลูกพี่ลูกน้องของคนสกุลเกา พี่สะใภ้ชาติก่อนของนาง

อวี้ถังถอนหายใจอย่างโล่งอก

น่าเสียดายที่ชาติก่อนนางไม่รู้จักสกุลเว่ย ทั้งรู้จักเครือญาติฝั่งสกุลมารดาของคนสกุลเกาไม่มาก ไม่ทราบว่าชาติก่อนสกุลเกาได้เกี่ยวดองกับสกุลเว่ยหรือไม่

เมื่อมาคิดดู เมืองหลินอันยังคงเล็กจริงๆ ขุนเขาไม่เปลี่ยนแปลง สายน้ำรินไหล ย่อมประสบพบเจอกันอยู่เช่นนี้

ครั้นกินข้าวเที่ยงเสร็จ อวี้ถังก็เสนอตัวออกไปส่งเว่ยเสี่ยวชวนที่สำนักศึกษาประจำอำเภอ “เขามีความพยายามก้าวหน้าย่อมเป็นเรื่องดี ท่านป้าเว่ยไม่ควรทำให้เสี่ยวชวนเสียการเรียน!”

นายหญิงเว่ยย่อมคาดหวังให้ลูกชายมีความก้าวหน้า แต่ครั้งก่อน ยามที่อวี้หย่วนแต่งงาน เว่ยเสี่ยวชวนก็ไม่มา ครั้งนี้มาเพื่อแจ้งข่าวดีแก่สกุลอวี้ หากเว่ยเสี่ยวชวนอยู่ในเมืองกลับยังไม่มา นางกังวลว่าสกุลอวี้จะคิดว่าสกุลพวกเขาเสียมารยาทน่ะสิ

ยามนี้อวี้ถังเอ่ยปากออกมา นางก็ยินดีตามน้ำไปด้วยเช่นกัน

“ไฉนจะให้เจ้าไปส่งเขาได้!” นายหญิงเว่ยเอ่ยอย่างเกรงใจ “เขาก็ไม่ใช่เด็กน้อยสองขวบสามขวบเสียเมื่อไร ให้เขากลับไปเองก็เพียงพอแล้ว”

แต่อวี้ถังกลับคิดในใจ เด็กน้อยสองขวบสามขวบยังน่ารักไม่เท่าเว่ยเสี่ยวชวนเลย ไฉนนางจะวางใจให้เว่ยเสี่ยวชวนไปสำนักศึกษาคนเดียวได้?

นางดึงดันจะไปส่งเว่ยเสี่ยวชวน เว่ยเสี่ยวชวนก็มีเรื่องอยากจะพูดกับนางเพียงลำพัง จึงอยากให้นางไปส่ง

นายหญิงเว่ยอับจนหนทาง ทำได้เพียงกำชับทำนองว่าให้เว่ยเสี่ยวชวน ‘เชื่อฟัง’ นางอยู่สองสามประโยค ก่อนจะปล่อยให้อวี้ถังไปส่งเขาเข้าเรียน

เว่ยเสี่ยวชวนกลับคล้ายดั่งนกตัวน้อยที่ถูกปล่อยออกจากกรง เอาแต่พูดเจื้อยแจ้วถึงเรื่องที่เกิดในสำนักศึกษากับอวี้ถัง

อวี้ถังฟังเขาพูด พลางมุ่งหน้าไปยังสำนักศึกษา

ซวงเถาถือของว่างให้เว่ยเสี่ยวชวน เดินตามเบื้องหลังพวกเขา

เดินจนถึงปากประตูสำนักศึกษา พวกเขาก็พบเสิ่นซ่านเหยียนกำลังพูดคุยกับลูกศิษย์มากหน้าหลายตา

อวี้ถังไม่อาจเข้าไปส่งใกล้กว่านี้แล้ว ช่วยเว่ยเสี่ยวชวนจัดแจงเสื้อผ้า ก่อนส่งตะกร้าที่ซวงเถาถือมาให้เว่ยเสี่ยวชวน กำชับเขาอย่างใส่ใจ “เรียนหนังสือย่อมจำเป็นต้องใช้ความเพียร แต่เจ้าอายุยังน้อย ยังอีกหลายปีกว่าจะสอบรวมวัดระดับ ต้องรู้จักแบ่งใช้กำลังให้เหมาะสม ไม่อย่างนั้นรอสักสองสามปี ยามที่ใกล้จบแล้วไม่มีแรงกำลังจะทำอย่างไร? ยังมีของว่างในตะกร้านี้ อย่าลืมแบ่งให้เพื่อนร่วมหอเรียนด้วย ให้คนอื่นได้ชิมดู”

เว่ยเสี่ยวชวนผงกศีรษะระรัว

อวี้ถังโบกมือส่งเว่ยเสี่ยวชวนเข้าประตูใหญ่ของสำนักศึกษา หมุนกายกลับพบหลี่จวิ้นจูงม้าตัวหนึ่งเพียงคนเดียว มองมาที่นางจากถนนอีกฝั่งด้วยท่าทีไม่ชัดเจนนัก

คาดไม่ถึงว่าหลี่จวิ้นจะกลับมาแล้ว?

ไม่รู้ว่าตั้งแต่เมื่อใด?

อวี้ถังไม่จำเป็นต้องถามมากความ พยักหน้าให้เขา ถือว่าเป็นการทักทาย ก่อนจะหันหลังเดินออกจากสำนักศึกษาไปพร้อมซวงเถา

ซวงเถาก็เห็นหลี่จวิ้นเช่นกัน นางดึงอวี้ถังอย่างเคร่งเครียด กระซิบเอ่ย “คุณหนู พวกเราจ้างเกี้ยวกลับกันดีกว่ากระมังเจ้าคะ?”

อวี้ถังก็คิดว่าดี ผงกศีรษะรับ

ซวงเถาถอนหายใจโล่งอก ยามที่กำลังจะไปที่จ้างเกี้ยว กลับพบเจอกับซานมู่

ซานมู่เห็นอวี้ถังและซวงเถาก็ดีใจจนแทบกระโดดโลดเต้น เขาวิ่งเข้ามา เอ่ยว่า “คุณหนู พี่ซวงเถา นายท่านรองให้พวกท่านรีบกลับไปขอรับ กล่าวว่าสกุลเผยส่งคนมาเชิญคุณหนูไปซักถามเรื่องราวที่สกุลเผย”

คงจะเป็นเรื่องกู้ฉ่าง

อวี้ถังพยักหน้า รีบมุ่งหน้าไปทางตรอกชิงจู๋อย่างรีบเร่ง

พลันเบื้องหลังพวกนางก็บังเกิดเสียงอึกทึกครึกโครมขึ้น

อวี้ถังอดหันกลับไปมองไม่ได้ จึงพบกู้ฉ่างที่รอบล้อมด้วยผู้ติดตามหลายคน กำลังเดินไปยังสำนักศึกษา

ดูคล้ายวันเวลาหมุนเวียนผลัดเปลี่ยน

ชาติก่อน ลูกชายคนโตของกู้ซีครบปี เดิมทีน้องสะใภ้ที่ครองพรหมจรรย์อย่างนางควรจะเร้นกายหลบหลีก แต่ยามที่กู้ฉ่างมา คนสกุลหลินกลับอดกลั้นความดีใจไม่อยู่ คิดจะโอ้อวด จึงให้คนเรียกนางเข้าไปต้อนรับพี่ชายภรรยาของสกุลกู้ด้วย

แน่นอนว่า สิ่งที่เรียกว่าต้อนรับก็คือการให้นางยืนอยู่ท่ามกลางสตรีในเรือนมองเห็นจากที่ไกลๆ เท่านั้น

ฉากในยามนั้นแทบไม่แตกต่างอะไรกับตอนนี้

อากาศสดใส ลมพัดโชยอ่อนๆ ดอกไม้ใบหญ้าบานสะพรั่ง กู้ฉ่างสวมชุดผ้าไหมสีเข้ม เดินผ่านรั้วของสกุลหลี่โดยมีผู้ติดตามล้อมรอบ ยามที่นางไปถึง ก็เห็นเพียงเสี้ยวหน้าด้านข้างที่เยือกเย็นของเขา เดินผ่านคนสกุลหลินที่มาต้อนรับเขาอย่างนอบน้อมเท่านั้น

เพียงแต่ครั้งนี้ผู้ที่มาต้อนรับเขากลับเป็นเสิ่นซ่านเหยียน

นางหยุดฝีเท้า ชะงักอยู่พักใหญ่

ด้านกู้ฉ่างก็หยุดเดิน คารวะแก่เสิ่นซ่านเหยียนที่รายล้อมไปด้วยลูกศิษย์

อวี้ถังหันศีรษะกลับมา เร่งฝีเท้าออกห่างจากที่นี่

ครั้งนี้อวี้เหวินมาพบเผยเยี่ยนเป็นเพื่อนอวี้ถัง

เขาเพิ่งจะหย่อนก้นนั่งก็ละล่ำละลักถามเผยเยี่ยน “คุณชายใหญ่กู้ว่าอย่างไรบ้าง? คงไม่ได้มาถามบุคลิกนิสัยของหลี่ตวนจริงๆ กระมัง?”

ลูกเขยที่หมั้นหมายแล้ว กลับมาสืบข่าวนิสัยใจคอเขาอีกครั้ง จะเห็นได้ว่าไม่พอใจกับงานแต่งครั้งนี้เท่าใด ทั้งงานแต่งครั้งนี้พาให้คนคิดจินตนาการไปไกลขนาดไหน

เผยเยี่ยนมองอวี้ถังอย่างเรียบนิ่งไปที

อวี้ถังกำลังนั่งค้อมศีรษะอย่างละอายใจอยู่ตรงนั้น ดูสงบเสงี่ยมว่าง่ายขึ้นมาไม่น้อย

เผยเยี่ยนหลุดขำ

แต่ก็จำเป็นต้องข่มอารมณ์ไว้!

กระนั้น ท่าทีไร้สุ้มเสียงยอมรับผิดเช่นนี้ก็ดีไม่น้อย

ชั่วพริบตาเขาก็อารมณ์ดีขึ้นมา เวลานี้ค่อยมองไปยังอวี้เหวิน “เจ้าทายได้แม่นทีเดียว ครั้งนี้กู้เจาหยางมาหลินอันก็เพราะตั้งใจมาสืบเรื่องสกุลหลี่โดยเฉพาะ”

————————-

[1]กู่ไท่ไท่ เป็นคำเรียกสตรีในครอบครัวที่ออกเรือนแล้ว