“ความเป็นธรรม? ” เซียวจิ้งยี่หันมองหลัวซื่อที่นอนอยู่บนพื้นร่ำไห้โวยวาย โมโหจนใบหน้าแดงก่ำ “เจ้ายังอยากได้ความเป็นธรรมอะไรจากข้าอีก? หลายวันก่อนไม่ได้ให้ความเป็นธรรมกับเจ้าหรือ? ให้เจ้าชดใช้เงินเจ้าก็ไม่ยอม กลับยินยอมการเอาคืนอย่างตาต่อตาฟันต่อฟัน ภรรยาเซียวยวี่เพียงตบเจ้าเบาๆ สองที เจ้ายังจำได้หรือไม่ว่าเวลานั้นเจ้าพูดว่าอย่างไร? ”
เขากระทุ้งไม้เท้าในมือไม่หยุด โมโหจนแทบอยากใช้ไม้เท้าตีศีรษะหลัวไห่ฮวาสักที
อยากแงะออกมาดูเสียจริงว่าในศีรษะนั่นใส่อะไรไว้ หรือจะเป็นแป้งเปียกหนึ่งก้อน
หลัวซื่อทำสีหน้าบึ้งตึง ไม่ได้กล่าวอะไร
ชาวบ้านที่อยู่ข้างๆ หัวเราะพร้อมกล่าว “ข้าจำได้ เวลานั้นแม่เสี่ยวฮวาบอกว่า ไม่เจ็บ ไม่เจ็บสักนิด เหมือนเกาให้ข้าหายคันเท่านั้น สบายเสียยิ่งกว่ากระไร! ”
ผู้คนรอบๆ ต่างพากันหัวเราะครืน หลัวซื่ออับอายจนใบหน้าขึ้นสีแดง “ข้า…” นางอ้ำอึ้งอยู่นาน จู่ๆ ก็กล่าว “พวกเจ้าปฏิเสธไม่ได้ พวกเจ้าเองก็คิดว่าเรื่องที่ข้าหกล้มนั้นแปลกประหลาด ต่างก็คิดว่าเป็นเพราะเซี่ยยวี่หลัวเตะข้าไม่ใช่หรือ? ”
ชาวบ้านที่มุงดูหันมองกัน เจ้ามองข้า ข้ามองเจ้า ต่างก็รู้สึกประหลาดใจ “พวกเราเคยพูดเช่นนั้นเมื่อใดกัน! ”
หนึ่งในกลุ่มชาวบ้านกล่าว “พวกเราไม่เคยพูดเช่นนั้นมาก่อน คนที่พูดเช่นนี้มีอยู่คนหนึ่ง แม่ต้าหมินเคยพูด! ”
เถียนเอ๋อที่หลบอยู่ในกลุ่มคนมาตลอด กำลังดูเรื่องสนุกอย่างเพลิดเพลิน จู่ๆ สายตาของทุกคนก็หันมามองที่นาง แววตาแต่ละคนต่างฉายประกายเคลือบแคลงใจ
ทุกคนถอยออกจากข้างกายนางสองก้าวอย่างเป็นธรรมชาติ เถียนเอ๋อที่เดิมทีแฝงกายอยู่ในกลุ่มคนเพื่อดูเรื่องสนุก ถูกแยกให้โดดเดี่ยวทันที
หลัวซื่อเห็นเถียนเอ๋อมาดูอย่างเพลิดเพลิน จึงชี้ไปที่เถียนเอ๋อพร้อมกล่าว “แม่ต้าหมินเป็นคนบอก บอกว่าพวกเจ้ารู้สึกว่าเรื่องที่ข้าหกล้มนั้นแปลกประหลาด บอกว่าเซี่ยยวี่หลัวเป็นคนทำข้า! ”
เถียนเอ๋อโวยวาย “แม่เสี่ยวฮวา เจ้ารับปากข้าแล้วว่าจะไม่พูดเรื่องที่ข้าเป็นคนบอกไม่ใช่หรือ! ”
เช่นนั้นดูท่าว่าเถียนเอ๋อจะเป็นคนพูดจริงๆ !
ชาวบ้านที่มุงดูต่างกล่าว “พวกเราไม่เคยพูดเช่นนั้นมาก่อน แม่ต้าหมินพูดอยู่คนเดียว พวกเราไม่เคยพูดเลย”
ทุกคนต่างไม่ใช่คนชอบยุแหย่ให้เกิดปัญหา!
หลัวซื่อมองเถียนเอ๋อ โวยวายทันที “เจ้าบอกว่าคนในหมู่บ้านล้วนพูดเช่นนั้นไม่ใช่หรือ? ”
เถียนเอ๋ออ้ำอึ้ง ผ่านไปนานก็ยังกล่าวอะไรไม่ออก “ข้า… ข้าพูดเช่นนั้นเพราะเห็นเจ้าอยู่คนเดียว ดูน่าสงสารไม่ใช่หรือไง? ”
“น่าสงสารก็ใส่ร้ายป้ายสีภรรยาเซียวยวี่ได้งั้นหรือ? ” เซียวจิ้งยี่ตะคอก “หลัวไห่ฮวา เถียนเอ๋อ พวกเจ้าอยู่สุขสบายเกินไป จนลืมกฎระเบียบหมู่บ้านสกุลเซียวของเราแล้วงั้นหรือ? ”
เมื่อถูกเขาตะคอก ทั้งหลัวซื่อและเถียนเอ๋อต่างเงียบกริบ
เซียวจิ้งยี่จ้องสองพี่น้องที่หลัวซื่อเรียกมาเขม็ง เพลิงโทสะในแววตาแทบอยากจะเผาไหม้ร่างพี่น้องสองคนนี้ให้เป็นจุณ
“หลัวซื่อ เจ้าอยู่ที่บ้านเดิมใช้อำนาจจนเคยตัว มาที่นี่คิดจะรังแกหมู่บ้านสกุลเซียวของเราเพราะคิดว่าไม่มีคนใช่หรือไม่? ข้า เซียวจิ้งยี่ยังอยู่ที่นี่ จะไม่ปล่อยให้คนบ้านสกุลหลัวของพวกเจ้ามารังแกคนบ้านสกุลเซียวของข้า” เมื่อเขากระทุ้งไม้เท้าลงบนพื้น ก่อให้เกิดเสียงดังระคายหู แค่ฟังก็พอรู้ ว่าขณะนี้เขาโมโหเดือดดาลเพียงใด
เรียกคนต่างหมู่บ้านมารังแกคนในหมู่บ้านของเขา เซียวจิ้งยี่เป็นคนมีใจรักการปกป้องคนในหมู่บ้านเป็นอย่างมาก เรื่องนี้เขาไม่มีทางยอม
โชคดีที่วันนี้เขาไม่ได้ไปที่ใด อยู่ในหมู่บ้านพอดี หากเขาไปที่อื่น ภรรยาเซียวยวี่และน้องชายน้องสาวของเซียวยวี่ ไม่รู้ว่าจะโดนหลัวซื่อทรมานจนอยู่ในสภาพใด!
“พวกเจ้าสองคนฝ่าฝืนกฎระเบียบหมู่บ้านสกุลเซียวของเราครั้งแล้วครั้งเล่า ข้าไม่ตีสตรี แต่หากเซียวจินและไฉซุ่นอยู่ที่นี่ ข้าต้องตบหน้าพวกเขาคนละฉาดแน่นอน! เด็กๆ จับตัวสองคนนี้ไปที่ศาลบรรพชน ให้พวกนางสำนึกผิดอยู่ในนั้น! ”
หลัวซื่อสะอื้นสองที ชี้เถียนซื่อพร้อมด่าทันที “หากไม่ใช่เพราะคนแซ่เถียนยุยง ข้าก็คงไม่มาหาเรื่องเซี่ยยวี่หลัว! ”
หาเรื่องไม่สำเร็จ ยังล้มจนคอเคล็ดอีก!
เถียนเอ๋อทำตาขวางหางคิ้วชี้ขึ้น “คนแซ่หลัว เจ้าพูดเช่นนี้หมายความว่าอย่างไร ข้าไม่ได้พูดอะไรเลย เพียงบอกว่าเจ้าน่าสงสาร ข้าไม่ได้ให้เจ้ามาหาเรื่องเซี่ยยวี่หลัวเสียหน่อย! เจ้ามาเอง ยังจะมาใส่ร้ายข้าอีก? เจ้ายังมีหัวจิตหัวใจบ้างไหม! ”
หลัวซื่อโมโหจนขบเขี้ยวเคี้ยวฟัน “หากเจ้าไม่พูดเช่นนั้นกับข้า ข้าจะมาหานางหรือ? ”
“เจ้ามาหาเอง เกี่ยวอะไรกับข้า! ”
สองคนเหมือนสุนัขกัดกัน สุดท้ายก็กัดกันเอง
เซียวจิ้งยี่โบกมือ คร้านจะสนใจสองคนนี้ “พาตัวไป พาตัวไป”
เห็นแล้วหงุดหงิดใจ
ส่วนหลัวไห่เทียนและหลัวไห่ตี้ที่หลัวซื่อเรียกมา คนอื่นไม่กล้าว่าอะไร แต่เซียวจิ้งยี่กล้า “หลัวไห่เทียน หลัวไห่ตี้ พวกเจ้าอยู่ที่หมู่บ้านสกุลหลัวก็เหิมเกริมนัก วันนี้ยังจะมาก่อเรื่องถึงหมู่บ้านสกุลเซียวของข้าอีก? ทำไม คิดว่าหมู่บ้านสกุลเซียวของข้าเป็นหมู่บ้านสกุลหลัวของพวกเจ้า? ”
ถึงแม้หลัวไห่เทียนจะเป็นอันธพาล แต่อย่างน้อยก็ไม่คิดจะหาเรื่องเซียวจิ้งยี่อย่างไร้เหตุผล รีบหัวเราะกลบเกลื่อนพร้อมกล่าว “หัวหน้าหมู่บ้านเซียว ข้าเพียงแค่เห็นว่าน้องสาวบาดเจ็บ พวกเราก็สงสารไม่ใช่หรือ? ”
สงสาร?
เซียวจิ้งยี่มองอันธพาลสองคนนี้ด้วยแววตาเย็นเยียบ “สงสารน้องสาวของพวกเจ้า หรือเห็นเงินแล้วตาโตกันแน่? พวกเจ้ามีอุปนิสัยอย่างไร ข้าจะไม่รู้เชียวหรือ? ”
หลัวไห่เทียนยิ้มเจื่อน “หัวหน้าหมู่บ้าน นั่นล้วนเป็นเรื่องห่านเล่าต่อให้ห่านฟัง* วาจาของห่านจะเชื่อได้อย่างไร? ไม่จริง ไม่จริง! ”
ห่านเล่าต่อให้ห่านฟัง?
เซี่ยยวี่หลัวแทบจะหลุดหัวเราะ
ชาวบ้านที่มุงดูต่างผงะไป เมื่อเข้าใจว่าเขาจะกล่าวอะไร ต่างก็หัวเราะจนกุมท้อง
หลัวไห่เทียนไม่เคยเรียนหนังสือ เขาถูกคนหัวเราะเยาะ ไม่รู้ว่าตนเองพูดอะไรผิด จึงรู้สึกขายหน้า คิดว่าตัวเองยังเป็นอันธพาลที่มีอำนาจในหมู่บ้านสกุลหลัว จึงก่นด่าทันที “หัวเราะหาอะไร? หัวเราะอีกจะเย็บปากพวกเจ้าเสีย! ”
เขาวางอำนาจที่หมู่บ้านสกุลหลัวจนเคยชิน ขณะนี้มาที่หมู่บ้านสกุลเซียวยังทำตัวเช่นเดิม เซียวจิ้งยี่จะปล่อยพวกเขาไปได้อย่างไร!
“เจ้ากล้าหรือ! หากเจ้ากล้าแตะต้องคนหมู่บ้านสกุลเซียวของข้าแม้แต่ปลายเล็บ วันนี้ข้าจะหักมือของเจ้าเสีย! ” เซียวจิ้งยี่กุมไม้เท้าไว้ เกือบจะตีไปที่ศีรษะของหลัวไห่เทียน
หลัวไห่เทียนหัวเราะกลบเกลื่อน “ล้อเล่น แค่ล้อเล่นกับทุกคน! ”
เซี่ยยวี่หลัวเดินขึ้นหน้าสองก้าว ถอนหายใจ ก่อนกล่าวด้วยท่าทางเศร้าใจ “หัวหน้าหมู่บ้าน แล้วประตูบ้านข้า…”
บนวงกบประตูยังมีประตูที่ไหนกัน เหลือเพียงวงกบประตูเท่านั้น
เซียวจิ้งยี่เห็นแล้ว ยิ่งรู้สึกโมโหอย่างไม่มีที่มาที่ไป “พวกเจ้ายังไม่รีบซ่อมประตูอีก! ”
หลัวไห่เทียนและหลัวไห่ตี้สองคนรีบขานตอบ ก่อนจะช่วยซ่อมประตูจนเสร็จ
หลังจากผ่านการซ่อมแซม ประตูมั่นคงแข็งแรงกว่าเดิมไม่น้อย
เซี่ยยวี่หลัวเห็นแล้วก็พึงพอใจเสียยิ่งกว่ากระไร
“ยังไม่รีบไสหัวไปอีก หากให้ข้ารู้ว่าพวกเจ้ามาหาเรื่องรังแกคนในหมู่บ้านสกุลเซียวอีก อย่าหาว่าข้าไร้เยื่อใย จะส่งตัวพวกเจ้าไปยังที่ว่าการอำเภอ! ” เซียวจิ้งยี่ตะคอก
หลัวไห่เทียนพาหลัวไห่ตี้ไปทันที
เซียวจิ้งยี่ไปที่ศาลบรรพชน เขาต้องสั่งสอนสตรีสองคนนั้นที่คอยยุแหย่ให้เกิดปัญหาเสียบ้าง!
เซี่ยยวี่หลัวคิดไม่ถึงว่าเซียวยิงจะมาช่วยพูดแทนตนเอง จึงพาเด็กสองคนไปกล่าวขอบคุณเซียวยิง
เชิงอรรถ
*ห่านเล่าต่อให้ห่านฟัง ภาษาจีนคือ 鹅传鹅 เอ๋อฉวนเอ๋อ (鹅 เอ๋อ = ห่าน) ซึ่งพ้องเสียงกับสำนวนจีน 以讹传讹 หยี่เอ๋อฉวนเอ๋อ (讹 เอ๋อ = เรื่องเท็จ) ซึ่งแปลว่าการเล่าต่อเรื่องที่ไม่เป็นจริง แต่หลัวไห่เทียนนึกว่าสำนวนนี้ใช้ตัวเอ๋อที่แปลว่าห่าน จึงตีความอย่างผิดๆ ว่า เรื่องที่ห่านพูดย่อมเชื่อถือไม่ได้