บทที่ 101: ไพ่ตาย

โรเอล แอสคาร์ดกำลังนอนอยู่บนเตียง จ้องมองไปที่เพดานด้านบนด้วยท่าทางมึนงง เขาอดไม่ได้ที่จะมองย้อนกลับไปยังทุกสิ่งที่เกิดขึ้นตลอดทั้งวัน…

ทุกอย่างเริ่มต้นขึ้นในช่วงมื้อเที่ยง

วันที่ไม่มีอลิเซียนั้นช่างมืดมนและยากลำบาก แต่โรเอลก็รู้ดีว่าอะไรสำคัญสำหรับเขา ถ้าเขาต้องการที่จะอยู่รอด เขาจะต้องพยายามอย่างหนักต่อไป เพื่อให้ได้มาซึ่งความแข็งแกร่งที่จำเป็นในการหักล้างเดธแฟล็ก

ดังนั้นหลังจากงีบหลับหลังมื้อกลางวัน โรเอลก็เริ่มฝึกฝนในช่วงบ่ายตามปกติ ซึ่งก็คือการแกว่งดาบไปซ้ำ ๆ เพื่อสร้างความทรงจำให้แก่กล้ามเนื้อในการตอบสนองที่เฉียบคมยิ่งขึ้น

การเหวี่ยงดาบเป็นการออกกำลังกายที่เหน็ดเหนื่อย ดังนั้นโรเอลจึงมีเหงื่อท่วมไปทั้งร่าง ทำให้เขามักจะไปอาบน้ำหลังการฝึกก่อนที่จะไปศึกษาร่ำเรียนต่อ ซึ่งวันนี้ก็ไม่ได้ต่างไปจากเดิม เพียงแค่วันนี้ข้างนอกมีหิมะตกก็เท่านั้น

แน่นอนว่าแค่หิมะนั้นไม่สามารถหยุดยั้งความมุ่งมั่นของโรเอลที่จะแข็งแกร่งขึ้นได้ เด็กชายได้ตัดสินใจแล้ว ว่าจะต้องไปให้ถึงระดับแก่นแท้ 5 ให้ได้โดยเร็วที่สุด เขาไม่มีทางยอมให้สภาพอากาศกลายมาเป็นอุปสรรคขัดขวางการฝึกแน่!

ดังนั้นโรเอลจึงเริ่มฝึกท่ามกลางสะเก็ดหิมะที่ตกลงมา หิมะนั้นไม่ได้ขัดขวางการฝึกของเขาเลย กลับกันแล้ว มันยิ่งทำให้เขารู้สึกดีมากขึ้น ด้วยสภาพอากาศอันหนาวเย็น เขาจึงแทบจะไม่มีเหงื่อเลย ผลสรุปก็คือมันกลายเป็นการฝึกซ้อมที่ค่อนข้างสนุก

อย่างไรก็ตาม เมื่อเขาฝึกฝนจนเสร็จสิ้น และกลับเข้าไปในบ้าน เขาก็ต้องพบกับแอนนาที่กำลังกระวนกระวายใจ

“นายน้อย เสื้อผ้าของท่านเปียกไปหมดแล้ว!”

“อา มันก็ต้องเปียกสิ ก็ข้างนอกหิมะกำลังตกนี่นา เพราะแบบนั้นเสื้อผ้าของฉันเลยเปียกไง”

“ปล่อยไว้แบบนี้ไม่ดีแน่ นายน้อยจะป่วยเอานะคะ! เร็วเข้า รีบถอดมันออก ดิฉันจะไปเตรียมอ่างน้ำอุ่นให้ในทันทีค่ะ!”

โรเอลตั้งใจจะอาบน้ำหลังจากฝึกอยู่แล้ว ดังนั้นเขาจึงไม่ได้สนใจสังเกตท่าทีแอนนามากนัก เขาทำตามคำแนะนำของสาวใช้ ถอดเสื้อผ้าและเพลิดเพลินกับการอาบน้ำอุ่น ทุกอย่างยังคงปกติจนถึงจุดนี้

ทว่าหลังจากที่เขาอาบน้ำเสร็จ สิ่งต่าง ๆ ก็เริ่มแปลกประหลาดไป

“นายน้อย มาตรวจอุณหภูมิกันเถอะค่ะ!”

โรเอลเหลือบมองไปยังตัววัดอุณหภูมิ ซึ่งดูคล้ายกับของที่มีในอดีตชาติของเขาอย่างน่าประหลาด อย่างไรก็ตามตัววัดอุณหภูมินั้นเป็นหนึ่งในอุปกรณ์เวทไม่กี่ชิ้นที่ประชาชนทั่วไปในทวีปเซียมี ดังนั้นจึงไม่ได้มีอะไรน่าประหลาดใจเกี่ยวกับมัน แต่สิ่งที่ทำให้โรเอลประหลาดใจก็คือการกระทำที่แปลกไปของแอนนา

“ก่อนหน้านี้ นายน้อยอาจจะเป็นหวัดจากการสวมเสื้อผ้าเปียก ดิฉันจึงคิดว่าจะเป็นการดีที่สุด หากมีการตรวจสอบอุณหภูมิของนายน้อย เพื่อความปลอดภัยค่ะ”

“อ.. อย่างนั้นเหรอ?”

แม้โรเอลจะไม่คิดว่าเขาป่วย แต่เด็กชายก็ยังคงเดินตามแอนนาไปเพื่อให้สาวใช้มั่นใจ เขาคาบตัววัดอุณหภูมิเข้าไปในปาก ปล่อยไว้แบบนั้นเป็นเวลาสามนาที ก่อนจะส่งมันให้แอนนา กระนั้นใครล่ะจะไปคิดว่า จู่ ๆ แอนนาก็อ้าปากค้างด้วยความตกใจ เมื่อเห็นผลของตัววัดอุณหภูมิ?

“นายน้อย ท่านป่วย!”

แอนนาบอกโรเอลด้วยสีหน้าจริงจัง​ ทำให้เด็กชายตกอยู่​ในความงุนงง

“หา? ฉันป่วยเหรอ?”

“แน่นอนสิคะ! อุณหภูมิของนายน้อยสูงกว่าอุณหภูมิของมนุษย์ถึง 2 ระดับ ท่านต้องรีบไปที่เตียงและพักผ่อนในทันทีค่ะ!”

ด้วยการโบกมือของแอนนา กองทัพสาวใช้ก็รีบเข้ามาพาตัวโรเอลกลับไปยังห้องนอนของเขาในทันที

“เดี๋ยวก่อนสิ เธอแน่ใจหรือว่าฉันป่วย ฉันไม่รู้สึกอะไรเลยนะ ฉันคิดว่าฉันไม่น่าจะเป็นอะไร…”

“นายน้อยคะ ท่านมาร์ควิสมอบหมายให้ดิฉันดูแลท่าน ซึ่งแน่นอนว่าต้องรวมถึงสุขภาพของนายน้อยด้วย ดังนั้นช่วยให้ความร่วมมือดิฉันด้วยค่ะ”

แอนนาทำท่าทางซับน้ำตาพร้อมพูดด้วยน้ำเสียงกังวลใจ ภายใต้สถานการณ์เช่นนี้โรเอลจึงไม่มีทางเลือกอื่นนอกจากยอมนอนอยู่บนเตียงตลอดช่วงบ่าย เขามองไปที่เพดานด้านบนด้วยดวงตาราวกับปลาตาย รอเวลาแล่นผ่านไปด้วยความเบื่อหน่าย แต่ยิ่งเด็กชายคิดถึงเรื่องนี้มากเท่าไหร่ เขาก็ยิ่งรู้สึกสงสัยมากขึ้นเท่านั้น

นี่มันไม่ถูกต้อง ครั้งสุดท้ายที่เราฝึกดาบกลางหิมะ แอนนาไม่ได้สนใจที่จะตรวจสอบอุณหภูมิของเราเลยนี่นา แล้วทำไมวันนี้เธอถึงทำล่ะ? ตอนนั้นหิมะตกหนักมากกว่านี้ด้วยซ้ำ และเราเองก็ตัวเปียกโชกด้วย

เมื่อไม่สามารถเข้าใจสถานการณ์ที่เกิดขึ้นได้ ในที่สุดโรเอลก็เลือกที่จะคิดว่าเหล่าคนรับใช้และสาวใช้ของเขากังวลมากเกินไปเนื่องจากสภาพร่างกายอันย่ำแย่ของเขาก่อนหน้านี้ ทว่าขณะที่เด็กชายกำลังจะงีบหลับ ทันใดนั้นเขาก็ได้ยินเสียงฝีเท้าที่วิ่งมาอย่างเร่งรีบจากด้านนอก

จากนั้นประตูก็ถูกเปิดออก

“พี่ใหญ่โรเอล!”

เด็กสาวที่วิ่งเข้ามาในห้องมีใบหน้างดงามอันคุ้นเคยที่โรเอลเฝ้ารอมาหลายวันแล้ว ใบหน้าของอลิเซียเต็มไปด้วยความกังวล ทันทีที่เด็กสาวเห็นโรเอลนอนอยู่บนเตียง ดวงตาของเธอเริ่มแดงก่ำ

“ฮือ พี่ใหญ่โรเอล ทั้งหมดเป็นความผิดของหนูเอง ต่อไปนี้หนูจะไม่ทำแบบนั้นอีกแล้วค่ะ”

“หืม? อ..อลิเซีย?”

โรเอลจ้องไปยังน้องสาวที่เขาไม่ได้พบมาพักใหญ่ ๆ ด้วยความสงสัยว่าเขาป่วยจนมีอาการประสาทหลอนไปรึเปล่า ก่อนที่เด็กชายจะตัดสินใจว่านี่เป็นเรื่องจริงหรือไม่ อลิเซียก็กระโดดเข้ามาในอ้อมกอดของเด็กชาย ร้องไห้สะอึกสะอื้นพร้อมกล่าวขอโทษ

ทว่าเมื่อสาวใช้ของอลิเซียเดินเข้ามาในห้อง ในที่สุดโรเอลก็หายจากอาการงุนงง

โอ้เทพีเซียผู้ยิ่งใหญ่! แอนนา เธอนี่มันอัจฉริยะจริง ๆ!

เด็กชายเข้าใจการกระทำอันแปลกประหลาดก่อนหน้านี้ของแอนนาได้ในทันที และในเมื่อโอกาสที่จะได้แก้ไขความขัดแย้งมากองอยู่ตรงหน้าเขาแล้ว โรเอลก็ไม่คิดจะให้มันเสียเปล่า เด็กชายคลายกล้ามเนื้อที่พยุงร่างกายของเขา ปล่อยตัวทรุดลงต่อหน้าอลิเซียราวกับว่าเขาใกล้จะเสียชีวิต

“อลิเซีย มันเป็นความผิดของฉันเอง ฉันละเลยเธอมากเกินไป ฉันผิดไปแล้ว เธอรู้ไหมว่าฉันเหงาแค่ไหนเมื่อไม่มีเธอ ฉันไม่ต้องการให้สิ่งต่าง ๆ ระหว่างเราตึงเครียดแบบนี้ เธอพอจะยกโทษให้ฉันได้ไหม?”

“ค่ะ หนูยกโทษให้แล้ว! ตราบใดที่พี่ใหญ่หายดี หนูพร้อมจะให้อภัยทุก ๆ เรื่องเลย! ฮือ จริง ๆ แล้วหนูไม่ได้โกรธขนาดนั้นด้วยซ้ำ มันเป็นความผิดของหนูเอง หนูเอาแต่หนีอยู่ตลอด…”

อลิเซียพูดประณามตัวเองพลางปาดน้ำตา รูปลักษณ์อันไร้เดียงสาของเด็กสาว ทำให้โรเอลรู้สึกผิดอย่างสุดซึ้ง แต่เมื่อคิดถึงสิ่งที่เกิดขึ้นในช่วงสองสามวันที่ผ่านมา เด็กชายก็ตัดสินใจที่จะเล่นตามน้ำต่อไปสำหรับเรื่องในครั้งนี้

“อลิเซีย สองสามวันที่ผ่านมา ฉันคิดมาตลอดเลยว่าเธอเกลียดฉันแล้วรึเปล่า ฉันรู้สึกราวกับว่าหัวใจกำลังถูกหั่นเป็นชิ้น ๆ นับไม่ถ้วน ฉันคิดไม่ออกเลยว่าฉันควรจะทำอย่างไรดี”

“มันเป็นแบบนั้นไปได้ยังไงคะ? ไม่มีวันที่หนูจะเกลียดพี่ใหญ่โรเอลได้ลงหรอก!”

“ไม่มีวัน?”

“ไม่มีวันค่ะ!”

อลิเซียยืนยันคำพูดของเธออย่างมั่นคง ทำให้โรเอลรู้สึกซาบซึ้งใจเป็นอย่างมาก เขาเอื้อมมือออกไปกอดเด็กสาวผมสีเงินตรงหน้าแน่น ๆ ส่วนอลิเซียเองก็คิดถึงอ้อมกอดอันคุ้นเคยนี้ เธอจึงดันตัวเข้าไปใกล้ ๆ เขาอีก

หลังจากความวุ่นวายในช่วงสองสามวันที่ผ่านมา อลิเซียรู้สึกราวกับว่า ในที่สุดหัวใจของเธอก็ได้สงบลง เมื่อหวนนึกย้อนกลับไปพิจารณาว่าเธอได้แสดงท่าทีอย่างไรไปบ้างเมื่อไม่นานนี้ เด็กสาวก็คิดว่าเธอจะต้องคอยเตือนตัวเอง ไม่ให้เผลอทำร้ายตัวเองและคนที่เธอรักอีก

อีกด้านหนึ่ง โรเอลนั้นรู้สึกว่า ในที่สุดสีสันก็ได้กลับมาสู่โลกอันซ้ำซากจำเจของเขา เด็กชายสูดลมหายใจเข้าลึก ๆ เพื่อเติมเต็มยาใจอลิเซียที่หมดลงไปของเขา โรเอลรู้สึกว่าร่างกายและจิตวิญญาณของเขาได้รับการเติมเต็มอย่างรวดเร็ว แม้แต่อากาศโดยรอบก็ยังมีกลิ่นหอม อารมณ์ของเขาพุ่งทะยานขึ้นราวกับนกอินทรีย์​ที่เพิ่งหลุดพ้นจากพันธนาการ

การได้มีครอบครัวอันอบอุ่นเป็นสิ่งที่สำคัญที่สุดจริง ๆ!

โรเอลผละเด็กสาวออกจากอ้อมกอด ก่อนจะจ้องมองเข้าไปในดวงตาของอลิเซีย

“อย่าทำสงครามเย็นแบบนี้กันอีกเลยนะอลิเซีย เข้าใจไหม? อย่างน้อย ๆ ก็อย่าหลบหน้าฉันอีก”

ไม่กี่วันที่ผ่านมานี้ทำให้โรเอลบอบช้ำทางจิตใจมาก เขาพูดพลางลูบแก้มของอลิเซียเบา ๆ ซึ่งอลิเซียก็พยักหน้าตอบรับอย่างเชื่อฟัง

“ค่ะ หนูสำนึกแล้ว ถ้าพี่ใหญ่โรเอลรังแกหนูอีกในอนาคต หนูจะบอกไปตรง ๆ”

อลิเซียตอบด้วยเสียงสะอื้นพร้อมคราบน้ำตาที่ยังคงหลงเหลืออยู่บนใบหน้าของเธอ สิ่งนี้ทำให้โรเอลเจ็บปวดรวดร้าว รูปลักษณ์อันน่าสงสารของเธอทำให้เด็กชายรู้สึกสับสนเล็กน้อย

“ไม่ ๆ ครั้งนี้ฉันผิดเอง ฉันจะไม่ทำมันอีก”

โรเอลพูดแล้วจึงโอบกอดอลิเซียอีกครั้ง บรรยากาศระหว่างเด็กสองคนค่อย ๆ กลับมาเป็นปกติอีกครั้ง เหล่าสาวใช้ต่างมองดูฉากนี้ ก่อนจะยิ้มให้กันแล้วเดินออกจากห้องไป

เหลือเพียงแอนนาที่ยังคงมองดูเด็ก ๆ ทั้งสองที่กลับมาคืนดีกันในเวลานาทีเดียว พร้อมรอยยิ้มของผู้ใหญ่อันคุ้นเคยบนใบหน้าของเธอ

เท่านี้ก็คงไม่เป็นไรแล้วสินะ

แอนนาค่อย ๆ ถอยกลับไปที่ประตู ก่อนจะเดินออกไปแล้วปิดประตูอย่างระมัดระวัง

ด้วยเหตุนี้ภารกิจแรกของกลุ่มแฟนคลับคู่รัก โรเอล X อลิเซีย จึงได้ปิดฉากลงด้วยความสำเร็จ

อีกด้านหนึ่ง ณ สหพันธ์พ่อค้าโรซ่า เมืองโรซ่า

ถนนออเซียร์

แม้ชื่อนี้จะไม่ค่อยเป็นที่รู้จักในหมู่ประชาชนทั่วไป แต่ไม่มีขุนนางในทวีปเซียที่จะไม่รู้จักสถานที่แห่งนี้ มันเป็นถนนที่มีความยาวถึง 2,000 เมตร และเป็นดั่งหัวใจของเมืองโรซ่าอันเจริญรุ่งเรือง

ทว่าสาเหตุที่ทำให้มันเป็นที่จดจำนั้นไม่ใช่เพราะความยาวของมันแต่อย่างใด แต่เป็นเพราะข่าวลือที่กล่าวไว้ว่า 70% ของเงินตราทั้งหมดบนโลกนั้นมีศูนย์กลางอยู่ที่ถนนแห่งนี้

ความฟุ่มเฟือยเป็นเรื่องธรรมชาติอย่างที่สองของถนนสายนี้

ยกตัวอย่างเช่น หินไคเซอร์ หินพิเศษที่ขุดได้จากภูเขาไคเซอร์ พวกมันมีลักษณะโปร่งแสง สะอาดตา สะท้อนแสงอันเบาสบายภายใต้แสงแดด จึงมักจะถูกใช้เป็นเครื่องประดับ ในการออกแบบสถาปัตยกรรมสำหรับคฤหาสน์ของขุนนางชั้นสูง แต่ที่นี่บนถนนออเซียร์พวกเขาใช้มันเป็นหินปูทางเท้า

หินไคเซอร์ราคาแพงหลายพันชิ้นส่องแสงอันนุ่มนวล ทำให้ผู้ที่เดินอยู่รู้สึกราวกับว่าพวกเขากำลังเดินอยู่บนแสง มันเป็นดั่งการอวดอ้างอำนาจทางการเงินที่ทำให้ขุนนางผู้เยาว์มากมายเต็มไปด้วยความอิจฉาริษยา

นอกจากนี้ยังมีแสงไฟอันอบอุ่นคอยสร้างบรรยากาศอันเงียบสงบ ทำให้สภาพแวดล้อมดูสะดวกสบาย ภายในร้านค้าต่าง ๆ แม้ว่าสภาพอากาศภายนอกจะเปลี่ยนแปลงไปแค่ไหนก็ตาม นอกจากนี้ยังมีต้นไม้ราคาแพงที่ส่งกลิ่นหอมชวนให้รู้สึกผ่อนคลายออกมาอีกด้วย…

หากลองสังเกตดี ๆ ล่ะก็ อาจจะเจอเรื่องประหลาดใจซ่อนอยู่อีกมากบนถนนสายนี้ ซึ่งความประหลาดใจเหล่านี้ล้วนเกิดขึ้นเพื่อจุดประสงค์เดียว ผลกำไร

สมาคมพ่อค้าโซโรฟยาได้สร้างสภาพแวดล้อมที่หรูหราฟุ่มเฟือยมากที่สุดในโลกนี้ขึ้นมา โดยสภาพแวดล้อมอันฟุ่มเฟือยได้ทำหน้าที่เป็นตัวดึงดูดบุคคลผู้ร่ำรวยให้เข้ามาซื้อของที่นี่ ไม่ว่าจะเป็นคนของราชวงศ์จากอาณาจักรมหาอำนาจ หรือ องค์ชาย องค์หญิงจากอาณาจักรเล็ก ๆ ทุกคนที่เดินอยู่บนท้องถนนสายนี้ ล้วนเป็นผู้มีอิทธิพลผู้ร่ำรวย มันจึงเป็นเรื่องปกติสำหรับพวกเขาที่จะใช้เงินเป็นจำนวนมากเพื่อให้ได้สิ่งที่ตัวเองต้องการ

อาจเป็นเพราะว่า หากพวกเขาไม่ได้ใช้จ่ายอย่างฟุ่มเฟือยบนถนนสายนี้ พวกเขาก็คงไม่กล้าอ้างว่าตนเองเคยมาที่นี่

โครงการนี้ได้ใช้เงินมากมายมหาศาลจากรากฐานของสมาคมพ่อค้าโซโรฟยาที่สั่งสมมาตลอดศตวรรษที่ผ่านมา ทุกการเปลี่ยนแปลงบนถนนสายนี้ ไม่ว่าจะเป็นตำแหน่งของร้านค้า หรือการปรับปรุงพื้นผิวถนน ล้วนมีการวางแผนอย่างพิถีพิถัน

ณ เขตชนชั้นสูงของเมืองโรซ่า ผู้นำของสมาคมการค้ารายใหญ่ทั้งหมดได้มารวมตัวกันที่ห้องรับแขกของคฤหาสน์ตระกูลโซโรฟยา เพื่อรอการเปิดตัวแผนการใหม่สำหรับถนนออเซียร์ ซึ่งถือเป็นทรัพย์สินส่วนตัวของตระกูลโซโรฟยา

ดังนั้นร้านค้าต่าง ๆ ทุกร้านจึงต้องเข้าร่วมการตรวจสอบประจำปีของตระกูลโซโรฟยา เพื่อดำเนินการค้าในปีต่อไป

วันนี้ คือวันที่การตรวจสอบประจำปีจะถูกจัดขึ้น

ในห้องที่ถูกตกแต่งอย่างหรูหรา พวกเขาทั้งหมดนั่งรวมกันอยู่ในนั้น ผู้นำของสมาคมการค้ารายใหญ่ต่างก้มหน้าลงเล็กน้อย เพื่อแสดงความเคารพ ปราศจากซึ่งความเย่อหยิ่งที่มักจะมากับเงินและอำนาจ

บนเก้าอี้ตรงหน้าพวกเขาเป็นเด็กสาวคนหนึ่ง ซึ่งดูผิดแปลกออกไปจากบรรยากาศอันเคร่งขรึมนี้ ผมยาวสีน้ำตาลแดงของเธอพลิ้วไสวไปตามไหล่ ดวงตาสีมรกตของเธอแจ่มใสและนิ่งสงบ เธอมีบรรยากาศอันสง่างามและเฉื่อยชา นี่คือความประทับใจที่คนส่วนใหญ่มีต่อเธอ

ชาร์ล็อต โซโรฟยา

แม้ว่าจะไม่มีเครื่องประดับอันฉูดฉาดหรือชุดที่สวยงาม แต่การดำรงอยู่ของเธอก็สง่างามและมีเกียรติ ราวกับว่าความฟุ่มเฟือยทั้งหมดในโลกนี้ควรจะตกเป็นของเธอ

ว่ากันว่าตระกูลโซโรฟยาสืบทอดสายเลือดของพวกเขามาจากไฮเอลฟ์ในตำนาน ไฮเอลฟ์เป็นเผ่าพันธุ์ที่ปกครองความมั่งคั่งของโลก ทำให้เหล่ามนุษย์ปุถุชนพร้อมที่จะมอบทุกสิ่งให้กับพวกเขาอย่างไม่ลังเล

ณ ที่ชุมนุมแห่งนี้ บรรยากาศนั้นเปรียบเสมือนกับตำนานที่ปรากฏขึ้นมาบนพื้นโลกแห่งความเป็นจริง เด็กสาวผู้มีความสง่างามของไฮเอลฟ์อ่านรายงานการเงินในมืออย่างใจเย็น ดวงตาสีมรกตของเธอไม่ได้มีความผันผวนเลยแม้แต่น้อย ระดับที่ว่าเป็นไปไม่ได้เลย ที่จะรู้ว่าเธอกำลังคิดอะไรอยู่

เด็กสาวเงยศีรษะขึ้นเล็กน้อยเพื่อมองไปยังชายคนหนึ่งที่นั่งอยู่ข้างหน้าเธอ ก่อนจะกล่าวด้วยเสียงอันเย็นชา แต่แฝงไปด้วยความพึงพอใจ ชวนให้นึกถึงเสียงลำนำขับขาน

“ข้าได้อ่านรายงานทางการเงินของท่านแล้ว โรเบิร์ต ดูเหมือนว่ารายได้ของท่านจะเพิ่มขึ้นมาเป็นอย่างมากในปีนี้”

“ใช่แล้วขอรับ ท่านหญิงชาร์ล็อต ทั้งหมดนี้ต้องขอบคุณการสนับสนุนของตระกูลโซโรฟยาขอรับ”

รอยยิ้มปรากฏขึ้นบนใบหน้าของโรเบิร์ต ขณะที่เขาเริ่มแสดงความขอบคุณต่อตระกูลโซโรฟยา ทว่าชาร์ล็อตกลับดูจะไม่ค่อยพอใจเท่าไหร่นักกับทัศนคติของเขา รอยขมวดคิ้วปรากฏขึ้นบนหน้าผากของเธอ

“เจ้าเพิ่งมาที่นี่เป็นครั้งแรกงั้นเหรอ?”

“ใช่ขอรับ ท่านหญิงชาร์ล็อต สมาคมพ่อค้าของเรา เพิ่งเข้าร่วมถนนออเซียร์ได้เมื่อปีที่แล้วเท่านั้น นี่จึงเป็นครั้งแรก…”

โรเบิร์ตลูบมือก่อนจะตอบคำถามของชาร์ล็อต แต่ก่อนที่เขาจะได้พูดจนจบประโยค เสียงอันเย็นชาเฉียบแหลมก็แทรกขึ้นมา

“อย่างนั้นหรือ? ถ้างั้นปีหน้า เจ้าก็ไม่ต้องกลับมาที่นี่แล้ว”