บทที่ 116 อาจารย์สอนหนังสือ

ทะลุมิติไปเป็นแม่ม่ายสาวชาวสวน

บทที่ 116 อาจารย์สอนหนังสือ

บัณฑิตจ้าวรีบบอก “ไม่ได้หรอกท่านหมอเมิ่ง ท่านดูแลข้ามาเยอะแล้ว ท่านต้องลำบากรักษาคนไข้ทุกวันเหมือนกัน อย่าเสียเงินเพราะข้าเลย”

ท่านหมอเมิ่งไม่รู้จะพูดอะไรดี เขารู้ว่าบัณฑิตจ้าวเป็นคนมีศักดิ์ศรี

จางซิ่วเอ๋อได้ยินก็นึกปวดหัวเหมือนกัน นางเคยได้ยินจากจ้าวเอ้อร์หลางว่าค่ายาของบัณฑิตจ้าวมีไม่มากเท่าใดนัก

นางเองก็มีใจจะช่วยบัณฑิตจ้าว แต่ถ้าออกเงินให้ บัณฑิตจ้าวคงไม่ยอมรับไว้แน่

สำหรับนางแล้วเงินร้อยเหรียญไม่ใช่เรื่องใหญ่ นางสามารถออกให้ได้อยู่แล้ว แต่ถึงอย่างไรทั้งสองบ้านก็เป็นแค่เพื่อนบ้าน นางมีใจจะทำแบบนี้แต่ก็ทำไม่ได้ มันเกินกำลังตนมากไป

นางนึกในใจว่าถ้าตัวเองหางานให้จ้าวเอ้อร์หลางหรือบัณฑิตจ้าวทำแลกเงินได้ บางทีความเป็นอยู่ของตระกูลจ้าวอาจจะดีขึ้น……

คิดมาถึงตรงนี้ จางซิ่วเอ๋อก็มีดวงตาเป็นประกาย

“ท่านอาจ้าว เมื่อก่อนท่านเป็นอาจารย์สอนหนังสือใช่ไหมเจ้าคะ?” จางซิ่วเอ๋อถามยิ้ม ๆ

บัณฑิตจ้าวพยักหน้า เขาไม่ได้เป็นเพียงอาจารย์สอนหนังสือธรรมดา แต่ยังสอนได้ดีด้วย

จางซิ่วเอ๋อพูดอย่างดีใจ “งั้นก็เยี่ยมเลยเจ้าค่ะ ข้ามีงานอยากให้ท่านทำ ไม่รู้ว่าท่านอยากจะทำหรือไม่?”

บัณฑิตจ้าวได้ฟังก็มองจางซิ่วเอ๋ออย่างสงสัย “งานอะไรหรือ? ร่างกายที่แทบแตกสลายของข้าคงจะทำอะไรไม่ได้แล้วในตอนนี้”

ตอนนี้น้ำสักถังเขายังยกไม่ไหว คิดมาถึงตรงนี้บัณฑิตจ้าวก็มีสีหน้าหม่นหมอง

จางซิ่วเอ๋อกล่าวยิ้ม ๆ “ไม่ได้ให้ท่านทำอะไรที่ใช้แรงงานเลยเจ้าค่ะ ข้าอยากถามท่านว่าอยากเป็นอาจารย์สอนหนังสือไหมเจ้าคะ?”

บัณฑิตจ้าวมีดวงตาเป็นประกาย “อยากสิ”

แต่ไม่นานนักสีหน้าบัณฑิตจ้าวก็กลับมาหม่นหมอง “ตอนนี้ไม่มีโรงเรียนไหนอยากจ้างข้าหรอก ถึงแม้โรคของข้าจะไม่ติดต่อกับคนอื่น แต่คนที่มาเรียนย่อมต้องมีคนกังวล”

จางซิ่วเอ๋อบอกยิ้ม ๆ “ไม่ได้ให้ท่านไปสอนที่โรงเรียน แต่มาสอนพวกเราสามพี่น้องอ่านหนังสือที่นี่น่ะเจ้าค่ะ”

จางซิ่อเอ๋อรู้สึกว่าการอ่านหนังสือออกเป็นเรื่องที่จำเป็นมาก ตั้งแต่ที่มาอยู่ในยุคโบราณ นางแทบจะกลายเป็นคนไร้การศึกษาอยู่แล้ว หลังจากนี้ไม่ว่านางจะทำอะไรก็ต้องอ่านหนังสือให้ออก

ยุคโบราณถือว่าสตรีไร้ความรู้นับว่าเป็นคุณความดีประการหนึ่ง

แต่ถึงจะเป็นแบบนั้น พวกคุณหนูตระกูลร่ำรวยก็ต้องมีความรู้บ้าง ในยุคสมัยนี้ยังมีสตรีเปี่ยมรู้อยู่บ้าง

จางซิ่วเอ๋อไม่ขอให้ตัวเองและน้องสาวสองคนได้เป็นสตรีเปี่ยมรู้ ชาติก่อนนางไม่มีความสามารถพอ ชาตินี้ที่ต้องใช้อักษรโบราณก็ยิ่งไม่ต้องหวัง

นางหวังแค่ให้ทุกคนอ่านหนังสือออก อย่างน้อยจะได้ไม่ปิดหูปิดตาตัวเองอยู่แค่ในหมู่บ้านตามป่าตามเขาเล็ก ๆ แบบนี้ หากอ่านหนังสือออกแล้วจะได้รู้จักโลกนี้มากขึ้น

บัณฑิตจ้าวได้ยินเข้าก็ชะงักเล็กน้อย มองจางซิ่วเอ๋ออย่างประหลาดใจ

จางซิ่วเอ๋อเอ่ยขึ้น “ท่านอาจ้าวก็คิดว่าสตรีไม่จำเป็นต้องอ่านออกเขียนได้เหรอเจ้าคะ?”

ในหมู่บ้านนี้ไม่มีบ้านไหนส่งบุตรสาวไปโรงเรียนหรอก ต่อให้อยากส่งไป ทางโรงเรียนก็ไม่รับ

อย่างไรเสียนี่ก็เป็นโลกที่บุรุษสำคัญเหนือกว่าสตรี

จางซิ่วเอ๋อไม่รู้จริง ๆ ว่าบัณฑิตจ้าวคิดอย่างไร

บัณฑิตจ้าวหัวเราะพลางกล่าว “ซิ่วเอ๋อ เจ้าไม่จำเป็นต้องดูแลข้าแบบนี้ ความเป็นอยู่ของเจ้าเองก็ลำบากอยู่แล้ว”

จางซิ่วเอ๋อเอ่ย “ท่านอาคิดไปถึงไหนกัน? ข้าอยากอ่านหนังสือให้ออกจริง ๆ นะเจ้าคะ ถ้าท่านไม่เชื่อก็ถามชุนเถาสิว่าอยากอ่านหนังสือออกไหม?”

จางชุนเถาต้องอยากอ่านหนังสือออกอยู่แล้ว และนางมีความจำดีมากด้วย ดูเหมือนจะมีพรสวรรค์ในด้านนี้โดยเฉพาะ เพราะไม่มีใครในตระกูลจางจำคำพูดอันไพเราะของแม่สื่อได้เลย แต่จางชุนเถากลับจำได้

จางชุนเถามีสีหน้าตื่นเต้นดีใจ “ถ้าหาอาจารย์ที่ยอมสอนได้จริง ๆ ล่ะก็เยี่ยมไปเลยเจ้าค่ะ ข้าอยากเรียนหนังสือไม่ใช่เพื่อจะไปสอบเอาชื่อ แค่อยากให้หลังจากนี้ไปที่ไหนก็ตามจะได้อ่านป้ายออกบ้าง”

“ไหนจะซานหยาอีก ซานหยายังเด็ก ข้าไม่อยากให้นางเป็นสตรีไร้ความรู้ ต้องลำบากตรากตรำไปชั่วชีวิต” จางซิ่วเอ๋อกล่าวต่อ

“และข้าคิดไว้แล้วว่ารอให้ข้าเก็บเงินจนพอ ข้าก็จะไปเปิดร้านในตัวเมือง ถึงตอนนั้นถ้ายังอ่านหนังสือไม่ออก บัญชียังดูไม่รู้เรื่องแล้วจะทำอย่างไรล่ะเจ้าคะ?” จางซิ่วเอ๋อพูดมาถึงตรงนี้ก็มีสีหน้ากังวล

ที่จริงนางจงใจพูดออกไปแบบนี้ เรื่องบัญชีรายรับรายจ่ายนางสามารถบันทึกด้วยตัวอักษรของยุคปัจจุบันได้เลย แต่เรื่องอ่านหนังสือให้ออกถือว่ายังจำเป็นมาก

บัณฑิตจ้าวเห็นพี่น้องตระกูลจางอยากเรียนจริง ๆ ไม่ใช่เพราะอยากดูแลเขา จึงเอ่ยขึ้น “สอนพวกเจ้าอ่านหนังสือไม่ใช่เรื่องใหญ่ ข้าคิดว่าสตรีเรียนหนังสือไม่ใช่เรื่องไม่ดีหรอก”

บัณฑิตจ้าวชะงักก่อนจะเอ่ยต่อ “แต่บอกก่อนนะ ว่าข้าสอนแบบไม่คิดเงิน”

จางซิ่วเอ๋อหน้าขรึมลงนิดหน่อย “ไม่ได้หรอกเจ้าค่ะท่านอาจ้าว เรามาตกลงกันดีกว่า เดือนละร้อยเหรียญ เยอะกว่านี้ข้าก็ไม่มีให้ แล้วข้ามีข้าวให้อาและเอ้อร์หลางวันละมื้อด้วย”

บัณฑิตจ้าวรีบบอก “ไม่ได้หรอก”

จางซิ่วเอ๋อจึงเอ่ยขึ้น “ถ้าไม่ได้ก็ช่างเถอะเจ้าค่ะ ข้าให้คนอื่นสอนข้าแทนก็ได้”

พูดมาถึงตรงนี้ จางซิ่วเอ๋อมองท่านหมอเมิ่งพลางเอ่ย “ท่านอาเมิ่ง ถ้าท่านไม่รังเกียจในความยุ่งยาก ท่านมาสอนหนังสือข้าทุกวันได้ไหมเจ้าคะ? ข้ารู้ว่าหนทางที่ท่านมาหมู่บ้านนั้นไกลนัก ข้าให้ท่านเดือนละหนึ่งตำลึงแล้วกัน”

ท่านหมอเมิ่งกล่าวยิ้ม ๆ “ได้สิ”

ท่านหมอเมิ่งดูออกอยู่แล้วว่าจางซิ่วเอ๋อทำเพราะประชดบัณฑิตจ้าว จึงตอบตกลงโดยไม่ยึกยัก

บัณฑิตจ้าวโบกมือพลางเอ่ย “พวกเจ้าสองคนคิดว่าข้าดูไม่ออกเหรอ?”

ท่านหมอเมิ่งและจางซิ่วเอ๋อสบตากัน รู้ว่าบัณฑิตจ้าวดูออกจริง ๆ

จางซิ่วเอ๋อผ่อนน้ำเสียงลง “ท่านอาจ้าว ข้าให้ท่านมาสอนหนังสือพวกเราแลกกับตำลึงนิดหน่อย เป็นพวกเราต่างหากที่ได้กำไร ถ้าเป็นโรงเรียน ทุกคนต้องจ่ายปีละสามตำลึง แถมโรงเรียนพวกนั้นไม่รับแม่นางน้อยอย่างพวกเราหรอก”

จางซิ่วเอ๋อบอกอย่างจริงใจ “ถ้าท่านอารู้สึกไม่ดีจริง ๆ ก็รอให้ท่านหายป่วยก่อน เอ้อร์หลางมีความสามารถพอแล้วค่อยมาดูแลข้ากลับก็ได้ ถึงตอนนั้นข้าไม่ปฏิเสธความช่วยเหลือจากพวกอาหรอกเจ้าค่ะ”

ท่านหมอเมิ่งเองก็ช่วยเกลี้ยกล่อม “ในเมื่อซิ่วเอ๋อมีใจจะช่วย เรื่องนี้นางก็ไม่ได้เสียเปรียบอะไร ท่านก็รับปากเสียเถอะ”

ท่านหมอเมิ่งรู้ว่าจางซิ่วเอ๋อไม่เหมือนกับสตรีทั่วไป ที่นางบอกว่าอยากอ่านหนังสือให้ออกนั้นเป็นเรื่องจริงจัง ไม่ใช่เพื่อดูแลบัณฑิตจ้าว

บัณฑิตจ้าวได้สองคนนี้เกลี้ยกล่อม สุดท้ายก็พยักหน้า “งั้น…..ก็ได้”

“ต้องแบบนี้สิเจ้าคะ” จางซิ่วเอ๋อยิ้ม

ตอนนี้นางดีใจมาก นอกจากจะแก้ปัญหาเรื่องอ่านหนังสือของตัวเองได้แล้วยังช่วยบัณฑิตจ้าวได้ด้วย นี่เป็นการซื้อขายที่ได้ประโยชน์ทั้งคู่

ไม่อย่างนั้นถ้านางต้องไปหาคนที่ยอมสอนหนังสือพวกนางด้วยตัวเอง มันคงเป็นเรื่องที่ยากมากจริง ๆ

บัณฑิตจ้าวพบว่าหลังจากที่ตัวเองรับปาก เขารู้สึกโล่งใจขึ้นมาในบัดดล

แบบนี้ก็เท่ากับว่าที่บ้านมีรายได้เพิ่มเดือนละร้อยเหรียญ และประหยัดข้าวไปได้มื้อหนึ่งด้วย เอ้อร์หลางจะได้ไม่ต้องลำบากขนาดนั้น

…………………………