บทที่ 117 ชีวิตดี ๆ ของคนตระกูลจ้าว
เขาจะได้รักษาโรคตัวเองดี ๆ ด้วย ไม่แน่วันไหนอาจจะหายดีก็ได้
คิดมาถึงตรงนี้ สายตาที่บัณฑิตจ้าวมองจางซิ่วเอ๋อก็เปี่ยมด้วยความซาบซึ้ง
เขารู้สึกว่าจางซิ่วเอ๋อเป็นผู้มีพระคุณของตัวเอง ไม่อย่างนั้นบ้านเขาคงใช้ชีวิตอยู่ต่อไปไม่ได้
“มากินขาหมูเร็วเจ้าค่ะ” จางซิ่วเอ๋อเรียกยิ้ม ๆ
เห็นจ้าวเอ้อร์หลางไม่ยอมคีบขาหมูเอง จางซิ่วเอ๋อจึงยกจานขึ้นและกวาดใส่ถ้วยจ้าวเอ้อร์หลางไปไม่น้อย ส่วนบัณฑิตจ้าวนั้นคงไม่เป็นการดีที่จะทำเช่นนี้ จางซิ่วเอ๋อจึงได้แต่เรียกเรื่อย ๆ
ส่วนท่านหมอเมิ่งไม่ต้องให้ใครเป็นห่วง ตอนนี้กำลังกินเนื้อตุ๋นน้ำแดงอย่างเอร็ดอร่อย
“ซิ่วเอ๋อ ทำเป็นเล่นไป กับข้าวที่เจ้าทำนี่อร่อยจริง ๆ ข้าว่าอาหารที่อิ๋งเค่อจวียังทำได้ไม่อร่อยเท่าเจ้า” ท่านหมอเมิ่งชมจากใจจริง
พูดมาถึงตรงนี้จางซิ่วเอ๋อก็หัวเราะเขิน “แต่ท่านอาต้องพลอยโดนหูครึ่งเซียนอาฆาตไปด้วยน่ะสิเจ้าคะ”
ท่านหมอเมิ่งบอกยิ้ม ๆ “ไม่ว่าเรื่องนี้จะเกิดขึ้นกับเจ้าหรือไม่ ในเมื่อข้ามาเจอก็ต้องยุ่งเสียหน่อย ข้าเป็นคนเป็นมิตรกับผู้อื่นจริง แต่ก็ใช่ว่าจะทนเห็นใครต้มตุ๋นคนอื่นแบบนี้ต่อหน้าต่อตาได้”
จางซิ่วเอ๋อรู้ว่าที่ท่านหมอเมิ่งพูดคือความจริง ความรู้สึกผิดในใจจึงน้อยลงไป
“แต่ไม่ว่าอย่างไร ข้าก็ต้องขอบคุณท่านอานะเจ้าคะ” น้ำเสียงจางซิ่วเอ๋อฟังดูจริงใจเหลือแสน
ท่านหมอเมิ่งช่วยพวกนางสองพี่น้องไม่ใช่แค่ครั้งสองครั้งแล้ว
“ต่อไปนี้ไม่ต้องพูดขอบคุณกันแล้ว ถ้าเจ้าขอบคุณข้าจากใจจริง เลี้ยงข้าวข้าบ่อย ๆ ข้าก็พอใจแล้ว” ท่านหมอเมิ่งบอกเสียงนุ่ม
จางซิ่วเอ๋อได้ฟังก็ยิ้ม และรู้สึกว่าท่านหมอเมิ่งเป็นคนดีที่หายากจริง ๆ
คนแบบนี้ถ้าไปอยู่ยุคปัจจุบันต้องเป็นเทวดาชุดกาวน์แน่ ๆ ไม่รู้ว่าจะมีคนมาชอบตั้งเท่าไหร่
ต่อให้เป็นยุคโบราณ ก็มีพวกสาว ๆ หมายตาอยู่ไม่น้อย
อย่างแม่หม้ายหลิว….
นางคงไม่โจมตีตนโดยไร้สาเหตุหรอก ต้องเป็นเพราะท่านหมอเมิ่งแน่ ๆ
ถึงแม้จางซิ่วเอ๋อไม่รู้ว่าแม่หลินและแม่หม้ายหลิวเคยมาแอบดูจับผิดตัวเอง แต่จำที่แม่หม้ายหลิวห้ามไม่ให้ท่านหมอเมิ่งมารักษาชุนเถาได้
จางซิ่วเอ๋อคิดมาถึงตรงนี้ก็มีรอยยิ้มปรากฏบนใบหน้า
อย่างแม่หม้ายหลิว ท่านหมอเมิ่งจะไปชอบได้อย่างไร
จางซิ่วเอ๋อคิดไปก็เริ่มโมโหอีกแล้ว นางไม่เคยอยากมีเรื่องกับแม่หม้ายหลิว และไม่มีอะไรในกอไผ่กับท่านหมอเมิ่ง แต่แม่หม้ายหลิวกลับชอบมาหาเรื่อง
ชั่วขณะต่อมาจางซิ่วเอ๋อก็คิดได้ว่าวันนี้ควรเป็นวันที่น่าดีใจ ไม่จำเป็นต้องไปคิดเรื่องชวนเสียอารมณ์พวกนี้
หลังจากกินข้าวเสร็จ จางซิ่วเอ๋อยกน้ำมาให้ทุกคนดื่ม ที่บ้านไม่มีชา จึงได้แต่กินน้ำไปก่อน
นางยื่นเงินให้บัณฑิตจ้าวสามสิบเหรียญ
“ท่านอาจ้าว ข้าให้ค่าแรงท่านล่วงหน้าสิบวันก่อน พรุ่งนี้ท่านมาสอนหนังสือพวกเราได้เลยเจ้าค่ะ” จางซิ่วเอ๋อบอกยิ้ม ๆ
บัณฑิตจ้าวรีบบอก “ข้ายังไม่ได้สอนพวกเจ้าเลย จะรับเงินก่อนได้อย่างไรกัน? ไม่ได้หรอก!”
จางซิ่วเอ๋อบอกยิ้ม ๆ “หรือท่านคิดจะเอาเงินไปแล้วไม่มา?”
“ข้าไม่มีทางทำแบบนั้นแน่!” บัณฑิตจ้าวบอกอย่างแน่วแน่
จางซิ่วเอ๋อกล่าวต่อ “ถ้าอย่างนั้นก็จบ ท่านไม่ได้จะรับเงินไปแล้วไม่ทำงาน ถ้าเช่นนั้นรับเงินล่วงหน้าไม่ดีตรงไหน? ท่านไปซื้อยาก่อน กินยาแล้วสุขภาพดีขึ้น เวลาสอนพวกเราจะได้มีแรงมากขึ้นอย่างไรเจ้าคะ”
“ในเมื่อช้าเร็วก็ต้องรับเงินอยู่ดี รับก่อนก็ไม่ใช่ไม่ดีตรงไหน อาการป่วยของท่านปล่อยแบบนี้ต่อไปไม่ได้แล้ว” ท่านหมอเมิ่งเกลี้ยกล่อม
บัณฑิตจ้าวคิดไปคิดมาจึงรับเงินไว้ มองจางซิ่วเอ๋อด้วยความซาบซึ้ง
ตั้งแต่บัณฑิตจ้าวป่วย เขาก็แทบไม่ได้สัมผัสความอบอุ่นอีกเลย คนในหมู่บ้านนี้อย่าว่าแต่ช่วยเขาเลย แค่เห็นเขาก็หลบกันเป็นพัลวัน
สิ่งที่จางซิ่วเอ๋อทำช่างอบอุ่นไปถึงหัวใจของบัณฑิตจ้าว
บัดนี้ฟ้ามืดได้ที่แล้ว บัณฑิตจ้าวและท่านหมอเมิ่งจึงพากันเดินออกจากป่าด้วยกัน
ส่วนจางซิ่วเอ๋อไม่มีอะไรให้เก็บกวาดแล้วในตอนนี้ เมื่อครู่จ้าวเอ้อร์หลางช่วยล้างจานล้างหม้อ ทำงานบ้านทุกอย่างจนเสร็จเกือบหมด
ถึงแม้จ้าวเอ้อร์หลางจะเป็นเด็กผู้ชาย แต่เพราะที่บ้านไม่มีผู้หญิง เรื่องที่ผู้หญิงทำเขาเองก็ทำได้ดี
จางซิ่วเอ๋อเหนื่อยมาทั้งวัน ล้าแล้วเหมือนกัน จึงนอนพร้อมชุนเถา
ด้วยความที่นอนไวไป จางซิ่วเอ๋อจึงตื่นมาอีกรอบหนึ่งตอนเที่ยงคืน
ในตอนที่นางตั้งใจจะพลิกตัวนอนอีกรอบ ก็ได้ยินเสียงเหล็กกระทบกันจากในลานบ้าน
เสียงก๊องแก๊งดังชัดเป็นพิเศษในเวลากลางคืน
เสียงนี้ทำให้จางซิ่วเอ๋อนึกถึงโซ่ลากวิญญาณของยมทูตหน้าขาวหน้าดำ นางตัวสั่นขึ้นมาทันที
ได้ยินเสียงแบบนี้ตอนกลางคืนในที่ที่ไม่มีคนมา ช่างน่าสยองอะไรอย่างนี้
ตอนนี้จางซิ่วเอ๋อไม่รู้ว่าข้างนอกนั่นเป็นตัวอะไร ไม่ว่าจะคนหรือผี จางซิ่วเอ๋อก็รู้สึกว่ามาโดยไม่หวังดี
คนที่มาที่แบบนี้ตอนกลางคืน ต้องคิดไม่ดีแน่ ๆ
ส่วนผี?
จางซิ่วเอ๋อคิดมาถึงตรงนี้รู้สึกเสียวสันหลัง
นางไม่เชื่อหูครึ่งเซียน แต่จางซิ่วเอ๋อคิดไม่ตกเรื่องที่ในโลกนี้มีผีจริงหรือไม่ หากมนุษย์ไม่มีวิญญาณ แล้วทำไมนางถึงฟื้นคืนชีพในร่างใหม่ได้ล่ะ
จางซิ่วเอ๋อลงจากเตียง อยากจะออกไปดูข้างนอกหน่อย แต่สุดท้ายก็ไม่กล้าออกไป
ท้ายที่สุด นางจึงลงกลอนหน้าต่างไว้อย่างแน่นหนา ส่วนประตูก็ล่ามไว้เช่นกัน และยกเก้าอี้ไปขวางประตูด้วย
นางกลัวว่าจะไปรบกวนจางชุนเถา แล้วนางต้องมาวิตกกับตนด้วย ตอนลงกลอนจึงทำด้วยความระมัดระวัง
หลังจากทุกอย่างเรียบร้อย จางซิ่วเอ๋อจึงเอนตัวลงนอนบนเตียง แต่ตอนนี้กลับนอนไม่หลับเสียแล้ว
ผ่านไปสักพัก เสียงจากในสวนเปลี่ยนจากเสียงโซ่ตรวนกระทบกันเป็นเสียงทุบกำแพง ทำให้จางซิ่วเอ๋อรู้สึกไม่สบายใจเข้าไปใหญ่
ไม่รู้ว่าผ่านไปนานเท่าไร จางซิ่วเอ๋อถึงนอนหลับไหลได้ในที่สุด
เช้าวันรุ่งขึ้น จางซิ่วเอ๋อก็ได้ยินชุนเถาตะโกนเรียกจากในสวน “พี่ใหญ่! รีบออกมาดูเร็วเจ้าค่ะ!”
จางซิ่วเอ๋อกระเด้งตัวขึ้นจากเตียง นึกถึงเสียงประหลาดที่ได้ยินตั้งแต่เมื่อคืนแล้วฟังจากเสียงเรียกของจางชุนเถา ใจก็หล่นไปที่ตาตุ่มพร้อมกับพุ่งตรงออกไปข้างนอก
พอออกมาถึงข้างนอก จางซิ่วเอ๋อจึงพบว่าเรื่องไม่ดีที่ตัวเองเป็นวิตกไม่ได้เกิดขึ้นสักเรื่อง
แต่เกิดเรื่องหนึ่งที่จางซิ่วเอ๋อไม่รู้ว่าควรตกใจหรือดีใจดี
กำแพงบ้านของจางซิ่วเอ๋อถูกซ่อมเรียบร้อยแล้ว
ประตูที่โดนโซ่ขึ้นสนิมล่ามไว้ก็ถูกเปิดออก
มีโซ่เส้นใหม่เอี่ยมล่ามไว้ที่ประตู มีตัวหมุดปัก หลังจากปักแล้วลงกลอนประตูจากด้านในได้
ส่วนด้านนอกประตูก็มีกลอนลูกใหม่
ที่กลอนมีกุญแจเสียบอยู่ มีด้ายแดงมัดไว้บนกุญแจ ที่เชือกมีกุญแจที่เหมือนกันเปี๊ยบอีกดอกมัดไว้ด้วย
………………………………………