ตอนที่ 110 ช่วยเจรจาให้พวกเจ้า
เนื่องจากเป็นช่วงฤดูร้อน ท้องฟ้าจึงสว่างเร็วเป็นพิเศษ ฟ้าที่เดิมทียังคงเป็นเวลามืดอยู่ ตอนนี้ฟ้ากลับสางแล้ว
วันนี้มีตลาดในอำเภอพอดี เจียงป่าวชิงซ่อนยาที่ทำเสร็จเมื่อวานไว้ในอ้อมแขน และมุ่งหน้าไปที่บ้านของซุนต้าหู ยานี้ทำมาจากสมุนไพรที่นางเคยเก็บสะสมมาจากในภูเขา และออกแบบมาเพื่อรักษาโรคไข้หวัดโดยเฉพาะ
อันที่จริง ถ้าหากเป็นโรคไข้หวัดในช่วงฤดูร้อนก็จะยุ่งยากมากที่สุด เจียงป่าวชิงเปิดตำรารักษาโรคของที่นี่ สำหรับโรคไข้หวัด มีจุดที่ประณีตและจุดเด่นไม่เหมือนตรงอื่นจริง ๆ แต่ในกรณีส่วนใหญ่ ค่อนข้างยุ่งยากและซับซ้อนอยู่พอสมควร
เจียงป่าวชิงคลำขวดกระเบื้องเล็ก ๆ สามขวดที่อยู่ในอ้อมแขน ก่อนหน้านี้นางซื้อขวดกระเบื้องเล็ก ๆ นี้เพื่อนำมาใส่ยาบำรุงโลหิตที่นางทำเอง ตอนนี้จึงเหมาะแก่การนำมาใส่ยาเหล่านี้พอดี
เมื่อถึงที่บ้านของซุนต้าหูแล้ว นางยังไม่ทันเดินเข้าไปใกล้ก็ได้ยินเสียงหัวเราะของเฟิ่งเอ๋อร์ดังมาจากในลานบ้านเสียก่อน
เจียงป่าวชิงรู้สึกแปลกใจเล็กน้อยจึงเดินเข้าไปดูใกล้ ๆ จากนั้นก็เห็นป๋ายรุ่ยฮัวที่อยู่ในลานบ้านนางกำลังจับมือเฟิ่งเอ๋อร์ไปลูบเจ้าล่อที่ซุนต้าหูใช้ลากของตัวนั้น
เมื่อเฟิ่งเอ๋อร์ลูบเจ้าล่อ เด็กน้อยก็หัวเราะคิกคักอย่างมีความสุข ขณะที่ซุนต้าหูเองก็กำลังปลอบเจ้าล่ออยู่ด้านข้างและมองเฟิ่งเอ๋อร์ด้วยใบหน้ายิ้มแย้มเช่นกัน
เจียงป่าวชิงเดินเข้าไปก็เห็นว่าเฟิ่งเอ๋อร์กำลังหัวเราะจนตัวโก่ง และป๋ายรุ่ยฮัวมองเฟิ่งเอ๋อร์ด้วยรอยยิ้มของความรักใคร่เอ็นดู เมื่อนางเห็นเจียงป่าวชิง สีหน้าของนางก็เปลี่ยนไปเล็กน้อย จากนนั้นนางก็พูดขึ้นเสียงหลง “อ๊ะ! ป่าวชิง…”
เฟิ่งเอ๋อร์ตกใจกับท่าทางของป๋ายรุ่ยฮัว มือเล็กจึงหดกับไปอย่างไม่รู้ตัว ทำให้เล็บแหลมคมบาดไปบนตัวล่อ ทำให้เจ้าล่อตื่นตระหนกทันที เท้าของมันขุดพื้นอยู่สองสามครั้ง ซุนต้าหูจึงรีบเข้ามาลูบหลังมันอย่างรวดเร็วเพื่อปลอบขวัญมัน
ทว่าเหตุการณ์เมื่อครู่นี้ก็ทำให้ป๋ายรุ่ยฮัวตกใจจนหน้าถอดสีเช่นกัน นางก้าวถอยหลังเล็กน้อย จากนั้นก็นั่งลงกับพื้นเพื่อกอดเฟิ่งเอ๋อร์เอาไว้
เฟิ่งเอ๋อร์ร้องไห้ยกใหญ่
ป๋ายรุ่ยฮัวไม่สนใจความเจ็บปวดบนร่างกายของตัวเอง นางรีบกอดเฟิ่งเอ๋อร์ไว้และพูดขึ้นอย่างร้อนรน “เฟิ่งเอ๋อร์ เจ้าหกล้มตรงไหน ? ไม่เป็นอะไรใช่ไหมลูก ? เฟิ่งเอ๋อร์ เจ้าอย่าทำให้แม่ตกใจสิ!”
เจียงป่าวชิงรีบเข้ามาจากข้างนอกอย่างรวดเร็ว นางตั้งใจจะเข้าไปตรวจดูว่าเฟิ่งเอ๋อร์หกล้มตรงไหน ทว่าเมื่อนางยื่นมือออกไป ป๋ายรุ่ยฮัวกลับตีมือเจียงป่าวชิงด้วยดวงตาที่แดงก่ำ
เจียงป่าวชิงตกตะลึงไปทันที ป๋ายรุ่ยฮัวเองก็ตกตะลึงเช่นกัน นางจึงดึงสติกลับมาและรีบขอโทษขอโพยเจียงป่าวชิง “อ๊ะ! ข้าขอโทษ พอดีปฏิกิริยาของข้าเร็วไปหน่อย…”
เจียงป่าวชิงเม้มริมฝีปากเล็กน้อย “พี่รุ่ยฮัวดูเฟิ่งเอ๋อร์ก่อนเถอะเจ้าค่ะ”
โชคดีที่เฟิ่งเอ๋อร์ไม่เป็นอะไร เพียงแค่ตกใจเท่านั้น แต่ในฐานะคนเป็นแม่ แม้ว่าจะหกล้มก็ต้องดูแลลูกตัวเองโดยไม่รู้ตัว
อย่างไรก็ตาม ไม่ว่าเจียงป่าวชิงหรือซุนต้าหูก็รู้สึกโล่งใจกันทั้งนั้น
ซุนต้าหูรีบพูดขึ้นอย่างต่อเนื่อง “สะใภ้ตระกูลป๋าย จู่ ๆ ล่อบ้านข้าก็เป็นบ้าเสียอย่างนั้น ข้าผิดเองที่ไม่ดูแลมันให้ดี”
ป๋ายรุ่ยฮัวกอดเฟิ่งเอ๋อร์เอาไว้แน่น นางรีบพูดอย่างรวดเร็ว “ต้าหู ไม่เป็นไรเลย เรื่องนี้โทษเจ้าไม่ได้สักหน่อยนะ”
เฟิ่งเอ๋อร์สำลักและกอดคอป๋ายรุ่ยฮัวไว้แน่นในอ้อมอก นางยังจำเจียงป่าวชิงได้ จำได้ว่าคนคนนี้ให้ลูกอมกับนาง นางชี้มือเล็กไปที่เจียงป่าวชิงและเรียกว่า “คุณน้า คุณน้า…”
เจียงป่าวชิงลูบศีรษะเฟิ่งเอ๋อร์เบา ๆ จากนั้นก็หยิบน้ำตาลข้าวออกมาจากในอ้อมแขน
เฟิ่งเอ๋อร์กำลังจะยื่นมือไปรับ แต่ป๋ายรุ่ยฮัวกลับรีบขวางไว้เสียก่อน “เฟิ่งเอ๋อร์ เหตุใดเจ้าเห็นคุณน้าแล้วจ้องจะถามหาแต่ลูกอมของคุณน้าล่ะ ไม่ดีเลยนะ”
เฟิ่งเอ๋อร์เป็นเด็กที่เชื่อฟัง นางเก็บมือกลับมาอย่างน้อยใจ ในดวงตายังคงมีหยดน้ำตาเมื่อสักครู่เกาะอยู่เล็กน้อย
ป๋ายรุ่ยฮัวกอดเฟิ่งเอ๋อร์ไว้แน่น จากนั้นนางก็มองซุนต้าหู “ต้าหู นี่ก็สายแล้ว ควรไปที่ทางเข้าหมู่บ้านแล้วล่ะ”
ซุนต้าหูตบหัวตัวเองราวกับเพิ่งตื่นจากฝัน “ใช่! ใช่… ข้าจะไปผูกรถประเดี๋ยวนี้” ซุนต้าหูผูกรถและหันไปพูดกับป๋ายรุ่ยฮัวไปด้วย “สะใภ้ตระกูลป๋าย วันนี้เจ้าไม่ต้องให้ค่ารถข้าหรอก วันนี้ข้าทำให้เฟิ่งเอ๋อร์ตกใจและทำให้เจ้าหกล้ม ข้ารู้สึกไม่สบายใจเลย”
ป๋ายรุ่ยฮัวรีบปฏิเสธ “ได้อย่างไรกันล่ะ… ให้ข้าจ่ายตามปกติน่ะดีแล้ว”
ซุนต้าหูตบรถและพูดขึ้น “สะใภ้ตระกูลป๋าย เจ้าอย่าได้เกรงใจข้าเลย ปกติข้าก็ไม่เคยไม่เอาค่ารถเจ้า ก็แค่วันนี้มันเป็นสถานการณ์พิเศษไม่ใช่หรือ ?”
ได้ฟังดังนั้น ป๋ายรุ่ยฮัวถึงจะไม่ปฏิเสธ นางยังคงยิ้มอย่างสดใส โดยเฉพาะตอนที่เห็นเจียงป่าวชิงให้ค่ารถซุนต้าหู ตาของนางก็เป็นประกายอยู่เล็กน้อย
เมื่อมาถึงทางเข้าหมู่บ้าน ยังไม่ถึงเวลา ท้องฟ้าก็สว่างแล้ว พวกคนวัยลุงป้าน้าอาที่เตรียมเข้าเมืองทั้งหลายมารอรถอยู่ที่ข้างทางเรียบร้อยแล้ว หญิงสาวที่เคยเข้าเมืองกับป้าตู่สองครั้งมองซ้ายมองขวาเล็กน้อย จากนั้นนางก็พูดพึมพำ “ประเดี๋ยวนะ เหตุใดหมู่นี้ถึงไม่เห็นป้าตู่เลยล่ะ ? ไม่ใช่ว่านางชอบไปในอำเภอหรอกรึ ?”
สีหน้าของซุนต้าหูเปลี่ยนไปเป็นไม่ธรรมชาติเล็กน้อย เจียงป่าวชิงจึงถามซุนต้าหูเสียงเบา “พี่ต้าหู มีอะไรหรือเปล่าเจ้าคะ ?”
ซุนต้าหูพูดกับเจียงป่าวชิงเสียงเบาเช่นกัน “เมื่อสองวันก่อนตระกูลตู่เช่ารถข้าไปในอำเภอ เพื่อขอคำอธิบายจากคนที่ซื้อหลานสาวของพวกเขา… แต่ว่า… สรุปคนเฝ้าประตูบอกว่าหลานสาวของตระกูลตู่ตายไปตั้งนานแล้ว อีกทั้งศพยังถูกโยนลงไปในหลุมศพแล้วด้วย”
กลางวันแสก ๆ เจียงป่าวชิงกลับตัวสั่นเสียอย่างนั้น
“ละ… แล้วตระกูลตู่ไม่ว่าอะไรหรือเจ้าคะ ?” เจียงป่าวชิงถามด้วยเสียงเบาเช่นเดิม
ซุนต้าหูลูบหลังเจ้าล่อและตอบนาง “ทำไมจะไม่พูดล่ะ พวกเขาก็โวยวายไปถึงที่ว่าการอำเภอ หวังให้ทางที่ว่าการอำเภอลงโทษและขับไล่คนพวกนั้นออกไป แต่พวกเขากลับไม่กล้าพูดอะไรมากมาย อย่างว่าแหละ เรามันเป็นชาวบ้านธรรมดาจะกล้าเป็นศัตรูกับขุนนางได้ที่ไหนกัน”
เมื่อเจียงป่าวชิงได้ยินเช่นนั้น นางก็นึกถึงพฤติกรรมของขุนนางอำเภอ แล้วก็เข้าใจได้ทันที
ทันใดนั้นเอง ข้างหลังรถล่อก็มีคนพูดเร่งขึ้นมา “ต้าหู ไม่ต้องรอแล้ว ใกล้จะถึงเวลาแล้ว เราออกเดินทางกันเลยเถอะ”
ซุนต้าหูขานรับเสียงสูง จากนั้นเขาก็พูดกำชับเจียงป่าวชิงเสียงเบา “น้องชิง ข้าจะบอกว่าให้เจ้าระวังไว้หน่อยก็ดี”
ซุนต้าหูไม่ได้พูดว่าให้ระวังอะไร แต่เจียงป่าวชิงรู้ ซุนต้าหูเองก็รู้
รถล่อค่อย ๆ มุ่งหน้าไปยังอำเภอตามถนนบนภูเขา ป๋ายรุ่ยฮัวนั่งอุ้มเฟิ่งเอ๋อร์อยู่บนรถ เดิมทีเฟิ่งเอ๋อร์ก็ตื่นเช้าและชอบง่วงนอนอยู่แล้ว เมื่อนางมาเจอรถโคลงเคลงอยู่ตลอดเวลาเช่นนี้ นางจึงหลับไปในอ้อมอกของป๋ายรุ่ยฮัวเป็นที่เรียบร้อย
ป๋ายรุ่ยฮัวกอดเฟิ่งเอ๋อร์ไว้แน่น แต่สีหน้าของนางกลับมีความใจลอยอยู่เล็กน้อย ไม่รู้ว่านางกำลังคิดอะไรอยู่
ด้านข้างมีคุณน้าคนหนึ่งลองพูดคุยกับป๋ายรุ่ยฮัว “สะใภ้ตระกูลป๋าย เจ้าดูสิ ผัวเจ้าก็ไม่มีแล้ว แม่กับพ่อสามีก็ไม่อยู่แล้ว เจ้าดูแลลูกตัวคนเดียวนี่ไม่ง่ายเลยจริง ๆ นะ”
ป๋ายรุ่ยฮัวหน้าซีด ดูเหมือนว่านางจะไม่ค่อยชินกับการสร้างความสัมพันธ์กับคนอื่น ๆ สักเท่าไหร่ น้ำเสียงของนางจึงขาดความมั่นใจอยู่เล็กน้อย “ข้าเลี้ยงได้อยู่จ้ะ เฟิ่งเอ๋อร์เชื่อฟังข้ามาก ไม่งอแงเลย”
หญิงคนนั้นจุ๊ปากเล็กน้อย จากนั้นนางก็ใช้จังหวะตอนรถโคลงเคลงลูบเฟิ่งเอ๋อร์นิดหน่อย “อืม… เจ้าเลี้ยงเด็กคนนี้มาดีมากเลยนะ ดูสิดู เนื้อนุ่มมากเลย”
ป๋ายรุ่ยฮัวไม่ได้พูดอะไร แต่นางกลับกอดเฟิ่งเอ๋อร์แน่นขึ้นกว่าเดิม
หญิงคนนั้นดูเหมือนจะมีอารมณ์ในการสนทนา นางจึงพูดขึ้นอีกครั้ง “สะใภ้ตระกูลป๋าย เจ้าไม่คิดจะแต่งงานอีกสักครั้งรึ ? เจ้าดูสิ เจ้ามีลูกแล้ว เหตุใดจึงไม่ใช้โอกาสตอนที่ยังสาวแต่งงานกับผู้ชายสักคนล่ะ จะได้มีลูกหลายคนเพื่อใช้ในการเลี้ยงดูเจ้าตอนแก่ โชคดีที่ลูกของเจ้าเป็นเด็กผู้หญิง ไม่อย่างนั้นก็คงจะหาผัวยากอยู่แหละ”
ตั้งแต่ป๋ายรุ่ยฮัวอยู่เป็นหม้ายมา นางเคยได้ยินคำพูดเช่นนี้มามากกว่าหนึ่งหรือสองครั้ง นางทำเพียงพูดสองสามคำ จากนั้นก็ก้มหน้าลงและไม่พูดอะไรอีก
ทว่าหญิงคนนั้นกลับนึกสนุก นางพูดอย่างใช้อารมณ์มากขึ้นเรื่อย ๆ “จะว่าไปแล้ว ที่บ้านแม่ข้าก็มีหลานชายอยู่คนหนึ่ง คุณลักษณะไม่ต้องพูดถึง หนักแน่น ทนความทุกข์ยากได้ ทำงานเก่ง แต่หน้าตาออกจะธรรมดาไปสักหน่อย เขาอายุสามสิบกว่าปีแล้วแต่ยังเป็นโสดอยู่ หากว่าเจ้ายอม ข้าจะช่วยเจรจาให้พวกเจ้าเอง ดีไหม ?”
.