เมื่อถึงเมืองติ้งอันของเขตฉู่เหอ สิ่งที่เข้าสู่คลองจักษุคือกำแพงเมืองสูงสิบจั้ง
กำแพงเมืองสร้างจากหินเหล็กดำ ทนทานเป็นที่สุด
เมื่อมองไป ราวกับมีมังกรดำทะมึนตัวหนึ่งโอบล้อมรอบเมือง แลดูโอ่อ่ากว้างใหญ่ สูงตระหง่านตระการตา
หลังนักเรียนทุกคนมาถึงที่หมายแล้ว มือจับผนังเพื่อพยุงตัวเดิน เหน็ดเหนื่อยจนหน้ามืดขาเปลี้ย
เมื่อทหารยามเห็นนักเรียนที่ใบหน้าอิดโรยนับร้อยชีวิตก็สะดุ้งโหยง
ขณะนั้นเอง เซียนกระบี่หลิงเซียวก็เหยียบกระบี่ลอยฉวัดเฉวียนลงมา แสดงเอกสารต่อทหารยาม
พอเหล่าทหารเห็นเนื้อหาในเอกสารแล้ว ก็กลายเป็นเคารพนอบน้อม ไม่เพียงแต่เปิดประตูเมืองเท่านั้น แต่ยังแจ้งเจ้าเมืองอีกด้วย
เจิ้งเชียนชิว เจ้าเมืองติ้งอันทราบข่าว จึงรีบมุ่งหน้ามาต้อนรับทุกคน ซ้ำยังจัดงานเลี้ยงพวกเขา
เหล่านักเรียนสูญเสียพลังงานไปจำนวนมากหลังวิ่งสุดฝีเท้ามานับพันลี้ บัดนี้ทั้งเหนื่อยและหิว
พวกเขาสวาปามในงานเลี้ยงดุจหมาป่าคล้ายพยัคฆ์ พลังต่อสู้ของหนึ่งคนเทียบเท่าสี่ห้าคน
มันคือหลักการอะไรงั้นหรือ หมายความว่ามันเทียบเท่ากับต้อนรับคนสี่ห้าร้อยชีวิตพร้อมกัน…
“สหายหลิงเซียว นักเรียนพวกนี้ของเจ้าช่างกินเก่งเสียจริง”
เจิ้งเชียนชิวปาดเหงื่อบนหน้าผาก พูดอย่างอึ้งๆ
เซียนกระบี่หลิงเซียวยิ้มบางๆ “วันนี้พวกเขาวิ่งมาพันลี้ กินเยอะหน่อยเป็นเรื่องปกติ”
เจิ้งเชียนชิวตกใจจนปัสสาวะแทบเล็ด นักเรียนเหล่านี้ส่วนใหญ่อยู่ในระดับกายแห่งมรรคไม่ใช่หรือ
วิ่งหนึ่งพันลี้ภายในวันเดียว? นี่มันเป็นเรื่องที่แม้แต่อาชาก็คงวิ่งจนล้มตายหลายตัวชัดๆ!
แรกทีเดียวเขาคิดว่านักเรียนผิดปกติ ทว่าดูจากตอนนี้ ที่แท้ก็อาจารย์นี่เองที่ไม่ค่อยปกติ
“แล้ว…สหายหลิงเซียว พรุ่งนี้จะล่าสัตว์ตามปกติหรือ” เจิ้งเชียนชิวถามอย่างไม่ค่อยแน่ใจมากนัก
“แน่นอนว่าต้องล่าสัตว์ตามปกติอยู่แล้ว หากต้องการทรัพยากร ก็จัดให้ทหารคอยติดตามสักหน่อยก็แล้วกัน” เซียนกระบี่หลิงเซียวพยักหน้า ตอบยิ้มๆ
“ได้เลย ข้าจะไปจัดการเดี๋ยวนี้แหละ!” เจิ้งเชียนชิวก็ยิ้มร่าเช่นกัน
การเข้าป่าล่าสัตว์ทั่วไปมักจะดำเนินด้วยรูปแบบของกลุ่มเล็ก เพราะจำนวนคนมากเกินไปจะทำให้สัตว์ประหลาดที่มีความตื่นตัวสูงในละแวกนั้นแตกตื่นได้
อย่างนักเรียนที่เซียนกระบี่หลิงเซียวพามา สามารถแบ่งออกเป็นกลุ่มใหญ่ระดับที่ยอดเยี่ยมที่สุดสิบกว่ากลุ่ม ขอเพียงไม่เจอสัตว์ภูต ก็สามารถกว้างล้างทุกสรรพสิ่งได้โดยสิ้นเชิง
เขาแค่จัดทหารให้คอยติดตามเมื่อถึงตอนนั้น รวบรวมซากล้ำค่าของสัตว์ประหลาด มันเป็นมูลค่าที่ไม่น้อยเลย ดุจดั่งผู้อื่นล่าอสูรอยู่ข้างหน้า พวกเขาคอยเก็บไอเทมตามหลัง ไยต้องปฏิเสธด้วยเล่า
แต่พวกเขารู้กฎเกณฑ์ดี กำไรที่ได้จากการค้าต้องแบ่งครึ่ง
วันต่อมา พวกอันหลินก็ออกจากประตูเมืองของเมืองติ้งอัน
เหล่านักเรียนแบ่งออกเป็นยี่สิบกลุ่ม กลุ่มละห้าคน
อันหลินเป็นหนึ่งในหัวหน้ากลุ่ม สมาชิกสี่คนของเขาได้แก่ ลั่วจื่อผิง เหมียวเถียน จงหย่งเหยียนและซุนเซิ่งเหลียน นอกจากจงหย่งเหยียนที่มีระดับกายแห่งมรรคขั้นเก้าแล้ว สมาชิกอีกสามคนที่เหลือล้วนอยู่ในระดับกายแห่งมรรคขั้นสิบ
สมาชิกทั้งสี่ต่างก็ดีอกดีใจที่ถูกแบ่งให้อยู่ในกลุ่มของอันหลิน
“ฮ่าๆ ไม่คิดเลยว่าข้าจะมีโอกาสได้อยู่กับลูกพี่อัน การทดสอบประจำปีคราวนี้สำเร็จแน่!” ลั่วจื่อผิงเป็นชายฉกรรจ์ร่างใหญ่ ยามนี้กำลังหัวเราะร่วน
“พี่อัน วันนี้พวกเราเตรียมจะสังหารสัตว์ประหลาดกี่ตัว” เหมียวเถียนเป็นเด็กสาวผมสั้นที่น่ารักมาก ตอนนี้ดวงตาหวานเยิ้มคู่นั้นกำลังจดจ้องอันหลิน เอ่ยถามอย่างตื่นเต้น
“หึ อย่างพี่อันจะแยแสสัตว์ประหลาดหรือ สิ่งที่เขาจะพาพวกเราไปจัดการ น่าจะเป็นสัตว์ภูตมากกว่า” จงหย่งเหยียนหยิบพัดออกมาพัดเล็กน้อย พูดอย่างเชื่องช้า
“หากว่าลูกพี่อันตั้งใจจะล่าสัตว์ปราณ หรือแม้กระทั่งสัตว์เซียน ก็อย่าพาพวกเราไปเลย ข้ากลัวว่าจะเผลอถูกจามเพียงครั้งเดียวของพวกมันสะเทือนจนตาย” ซุนเซิ่งเหลียนพูดอย่างหวั่นวิตก
เมื่ออันหลินได้ยินคำพูดของพวกพ้อง ก็ระอาใจเป็นอย่างมาก
ให้ตายสิ คนพวกนี้เห็นเขาเป็นเทพเจ้าอันหลินตำนานจริงๆ หรือไง!
เขาก็กายแห่งมรรคขั้นสิบไหมเล่า เจอสัตว์ภูตก็ต้องวิ่งหนีเหมือนกัน!
สุดท้ายก็ชักแม่น้ำทั้งห้ามาพูด ทำให้สมาชิกกลุ่มสี่คนที่เหลือยอมรับ ความสามารถอันน่ากลัวของเขา ในสองสามปีนี้ไม่อาจใช้มันได้อีกแล้ว
เขาในตอนนี้ เป็นเพียงหัวหน้าที่มีระดับกายแห่งมรรคขั้นสิบเท่านั้น!
ทั้งห้าคนจึงออกเดินทางสู่เขตหมื่นเขาอย่างเป็นทางการด้วยประการฉะนี้
ภายในผืนป่าเวิ้งว้าง สัตว์ประหลาดเพ่นพ่าน พบเจอสัตว์ภูตหายากได้บ้างเป็นครั้งคราว
ส่วนเรื่องขุมพลังสัตว์ อันหลินก็ไหว้วานให้หยวนเฉิงกับซูเฉี่ยนอวิ๋นช่วยเหลือแล้ว
ของอย่างขุมพลังสัตว์เป็นแหล่งรวมพลังงานของสัตว์ภูต คล้ายคลึงกับอวัยวะดูดซึมและแลกเปลี่ยนพลังงานอย่างหนึ่ง
สำหรับนักพรตมนุษย์แล้ว สิ่งนี้ไม่มีประโยชน์มากนัก
พวกเขาไม่รู้ว่าทำไมอันหลินต้องการมัน แต่ในเมื่ออันหลินเอ่ยปาก พวกเขาก็ไม่ถือสาหากต้องช่วยเหลืออันหลิน
ในเขตหมื่นเขา
“พี่อัน กระบี่สีดำในมือเจ้าเล่มนี้ดูเท่สุดๆ เลย! ในศึกแห่งอิสรภาพ ทำไมไม่เห็นเจ้าใช้กระบี่เล่มนี้เลย” เหมียวเถียนตามหลังอันหลิน ถามขึ้นมาด้วยความสงสัย
เมื่ออันหลินได้ฟังดังนั้น ก็ตอบอย่างเสียดายว่า “ที่จริงกระบี่เล่มนี้ชิงมาจากมือของนายหญิงอ้านเย่ เฮ้อ เสียดายจิตวิญญาณกระบี่ถูกข้าทำลายไปแล้ว ตอนนี้เป็นแค่อาวุธกึ่งเซียนเท่านั้น”
สมาชิกทั้งสี่ได้ยินก็อ้าปากค้าง จ้องมองเขาด้วยสายตาวาวโรจน์
‘แค่อาวุธกึ่งเซียน’ ประโยคนี้ทำให้พวกเขาตะลึงอึ้งงัน
สมกับเป็นท่านเทพอัน…
มาดแบบนี้…ช่างอหังการเหลือเกิน!
อันหลินสังเกตเห็นสีหน้าเลื่อมใสของสมาชิก จึงได้สติทันใด
เมื่อครู่เขาเผลอวางมาดไปเหรอ
เขารู้ว่า หากว่าทำตัวแบบนี้ต่อไป เหล่าสมาชิกจะเกิดความรู้สึกอยากพึ่งพาเขาได้
เมื่อถึงตอนนั้น พวกเขาอาจจะขี้เกียจต่อกรกับสัตว์ประหลาด เอาแต่ตะโกนเชียร์เขาก็เป็นได้
พอคิดได้ดังนั้น เขาจึงเก็บกระบี่พิชิตมารใส่แหวนมิติ หยิบกระบี่แก้วสีทองออกมาแทนทันที
“ใช้อาวุธเซียนไม่ค่อยเป็น ใช้ศาสตราวุธชั้นสูงเล่มนี้ได้คล่องมือมากกว่าจริงๆ ด้วย”
อันหลินมองกระบี่สีทองในมือ พูดพร้อมกับพยักหน้าไปด้วย
ขอเพียงอาวุธใกล้เคียงกับของทุกคน เช่นนี้ก็จะดูไม่โอ้อวดแล้ว
“พี่อัน ไม่ต้องอธิบายแล้ว ข้าเข้าใจ” ลั่วจื่อผิงยิ้มอย่างเข้าใจ
“ไม่โอ้อวดความสามารถ เก็บซ่อนความจริง พี่อันสมกับเป็นอันดับหนึ่งของสำนักเราจริงๆ” จงหย่งเหยียนโบกพัดในมือ พยักหน้าไม่หยุด
“สัตว์ประหลาดไร้ประโยชน์พวกนี้ ไม่คู่ควรให้พี่อันใช้กระบี่เล่มนั้น!” ซุนเซิ่งเหลียนพูดด้วยสีหน้ายกย่องชื่นชม
“สมกับเป็นท่านเทพอัน แผ่ออร่าความอหังการทุกการกระทำ!” แววตาของเหมียวเถียนเป็นประกาย
ด้วยเหตุนี้ สมาชิกทั้งสี่จึงมองอันหลินอย่างเคารพนับถือยิ่งขึ้นไปอีก
อันหลิน “…”
เขาคิดว่าตั้งแต่ตัวเองมีบารมีของท่านเทพ คล้ายว่าทุกอากัปกิริยาจะเปลี่ยนเป็นสุดยอดไปเสียหมด
“ปู้ด…”
ขณะนั้นเอง เขาก็เผลอผายลม
เสียงตดดังมากทีเดียว เหล่าสมาชิกต่างก็ชะงักงัน
…
“ระวัง!”
ขณะนั้นเอง อันหลินก็ตะโกนลั่น ผลักซุนเซิ่งเหลียนออกไปโดยพลัน
“ซี่!”
งูเหลือมยาวสามจั้งตัวหนึ่งกระโจนออกจากพุ่มหญ้า อ้าปากกว้าง พุ่งเฉียดไหล่ของซุนเซิ่งเหลียนที่ถูกผลักออกไป
กำปั้นของลั่วจื่อผิงระเบิดแสงสีแดง เขาปล่อยหมัดออกไปกระแทกหัวของงูเหลือม
“ผัวะ!”
หัวของงูหลามถูกหมัดกระแทกจนแบน ขณะเดียวกัน กงจักรในมือเหมียวเถียนก็ลอยออกไป ตัดหัวของมัน
“ฟู่…เกือบไปแล้ว พี่อัน ขอบคุณนะ”
ซุนเซิ่งเหลียนตบหน้าอกอันผึ่งผาย พูดอย่างพรั่นใจ
สัตว์ประหลาดประเภทงูล้วนเชี่ยวชาญการดักซุ่ม หากว่าเผลอหละหลวม อาจถูกลอบโจมตีได้
ในตอนนั้นเอง เหมียวเถียนก็เดินเข้ามา แสดงอาการประหลาดใจและอิจฉา “สมกับเป็นลูกพี่อัน เพราะข้าโง่เขลาเอง”
อันหลิน “…”
“นั่นสิ” ลั่วจื่อผิงก็เข้ามาแสดงความเห็นคล้อยตาม “ตดเมื่อครู่นี้ข้าเองก็ไม่รู้ตัว ที่แท้ที่เจ้าตด ก็เพื่อจะเตือนให้พวกเราระวังตัวนี่เอง!”
จงหย่งเหยียนโบกพัด วิเคราะห์ด้วยสีหน้าที่ราวกับรู้แจ้งเห็นจริง “หากว่าเอ่ยปากบอกพวกเราโดยตรง จะแหวกหญ้าให้งูตื่นได้ แต่เตือนผ่าน ‘การผายลม’ ซึ่งเป็นการตอบสนองทางธรรมชาติของร่างกาย งูเหลือมจะไม่ตื่นตัว ทุกการกระทำของลูกพี่อันล้วนตรึกตรองอย่างหนัก”
“เสียดายที่พวกเราไม่อาจเข้าใจได้…” ใบหน้างดงามของซุนเซิ่งเหลียนเต็มไปด้วยความรู้สึกผิด
อันหลินทำหน้างุนงง ยืนนิ่งอยู่กับที่
ให้ตายสิ!
เราแค่เผลอตดโดยไม่รู้ตัว มีความหมายลึกซึ้งขนาดนั้นเลยเหรอ!
ยอมแฟนคลับไร้สติอย่างพวกนี้แล้วจริงๆ!