ตอนที่ 84-4 กุลสตรีมีมลทิน

ยอดหญิงอันดับหนึ่ง

พออวิ๋นหว่านชิ่นเห็นเมี่ยวเอ๋อร์โกรธจนตัวสั่น ก็ค่อยๆ จับมือที่หยาบกร้านของนางมาไว้ในแขนเสื้อหลวมๆ ของตน

 

 

บอกตามตรง นางไม่ยี่หระจริงๆ ว่าคนในตระกูลสูงศักดิ์จะอยากได้นางไปเป็นสะใภ้หรือไม่ ถ้าแต่งกับคนชั้นสูงไม่ได้ ก็แต่งกับคนชั้นล่างสิ มีชีวิตอยู่มาตั้งชาติหนึ่งแล้ว หรือยังไม่ชัดเจนอีกว่าสิ่งสำคัญที่สุดในชีวิตคู่คืออะไร ชาตินี้ ขอให้ได้กินอิ่ม นอนหลับ มีคนรัก มีเงินใช้ ได้ทำในสิ่งที่ชอบ ก็เพียงพอแล้ว!

 

 

ขณะอวี้โหรวจวงกำลังคิดอย่างอิ่มเอมใจ ก็รู้สึกว่ามีสายตาที่ดุดันคู่หนึ่งกำลังจ้องมองตนเขม็ง จนตนเสียวสันหลังวาบขึ้นมา เจี่ยไทเฮารักและทนุถนอมตน ดีกับตนมาตลอด แล้วเริ่มมองตนด้วยสายตาเช่นนี้ตั้งแต่เมื่อไหร่ เหมือนระบายอารมณ์ใส่ตนชั่วขณะอย่างไรอย่างนั้น

 

 

หลังจากเจี่ยไทเฮาจ้องมองอวี้โหรวจวงอย่างไม่สบอารมณ์แล้ว ก็รู้สึกปวดขมับตะหงิดๆ ขณะเดียวกัน อวิ๋นหว่านชิ่นก็ค่อยๆ หันหน้าเข้าหาอวี้โหรวจวง แล้วเริ่มตอบโต้อย่างไม่เร็วและไม่ช้าจนเกินไป

 

 

“เมื่อคุณหนูอวี้สอบสวนข้าจนครบถ้วนกระบวนความแล้ว ไม่ทราบว่าตอนนี้ข้าพอจะถามกลับสักเล็กน้อยหรือไม่ จวนท่านสมุหนายกเป็นจวนที่มีเกียรติในเมืองหลวง คุณหนูอวี้อาศัยอยู่ในนั้น รู้เรื่องสาวคณิกามาบ้านข้าก็แล้วกันไป แต่เหตุใดถึงรู้อย่างละเอียดยิบ กระทั่งหงเยียนเข้าทางประตูข้างบ้านข้า มาขอบคุณข้ากับสาวใช้ข้าหลายครั้งเล่า หมู่นี้ คนนอกก็ยังไม่ชัดเจนว่าข้าคบหากับสาวคณิกา มีเพียงคุณหนูอวี้เท่านั้นที่รู้เรื่องนี้อย่างชัดแจ้ง เป็นเพราะคุณหนูอวี้สนใจในตัวข้ามาก จึงเฝ้าจับตาดูข้าทุกฝีเก้า หรือสนใจหญิงคณิกาเหล่านั้นกันแน่…คุณหนูอวี้รู้อยู่แก่ใจดีแต่แรก”

 

 

นี่กำลังพูดว่า นางโลมเหล่านั้น ล้วนเป็นคนที่อวี้โหรวจวงจงใจยุให้ไปหาเรื่องอวิ๋นหว่านชิ่นหรือ

 

 

เหล่าคุณหนูต่างเพ่งมองไปที่อวี้โหรวจวงเป็นจุดๆ เดียว

 

 

อวี้โหรวจวงหรี่ตาลงแล้วเชิดหน้าขึ้น พลางหัวเราะเย็นชา

 

 

“ข้ารู้ได้อย่างไร ไม่สำคัญหรอก เมื่อเจ้าไม่มีหลักฐาน ก็ไม่สามารถกล่าวหาข้าด้วยปากเปล่า”

 

 

และในตอนนี้เอง เสียงรายงานของขันทีที่อยู่ด้านหน้าก็ดังขึ้น “รัชทายาทเสด็จ”

 

 

เหล่าคุณหนูพากันถอนสายบัวให้รัชทายาทที่สาวเท้าก้าวเข้าหาไทเฮาอย่างรวดเร็ว ไทเฮาจึงได้สติ

 

 

“รัชทายาททำไมถึงมาได้ล่ะ”

 

 

รัชทายาทไม่ชอบอยู่ในกฏเกณฑ์มาแต่ไหนแต่ไร ตอนอยู่ต่อหน้าผู้อาวุโสจึงเหมือนเด็กน้อยคนหนึ่ง ซึ่งรัชทายาทเองก็รู้สึกดีกับไทเฮามาก ตอนนี้ก็เช่นเดียวกัน ชายหนุ่มหน้าสวยคล้องแขนเสด็จย่าไว้

 

 

“เสด็จย่าอย่าเพิ่งอารมณ์เสียไป หลานได้ให้คนไปตามหญิงสาวที่ชื่อหงเยียนแล้ว ตอนนี้กำลังเดินทางมา เสด็จย่าจะได้สอบถามด้วยองค์เอง!”

 

 

อวิ๋นหว่านชิ่นเลิกคิ้วขึ้น มองแรงไปที่รัชทายาท บอกใบ้ว่าอย่า แต่รัชทายาทกลับแอบส่งสายตา พลางขยับริมฝีปากบอกนางว่า “วางใจ”

 

 

วางใจ? จะให้วางใจได้อย่างไร

 

 

หงเยียนเป็นลูกสาวของแม่ทัพที่สมรภูมิถังโจว แม้ไม่มีโทษตาย ก็มีโทษอยู่กับตัว ถ้าเรื่องนี้เผลอหลุดออกจากปากนาง หรือถูกเค้นถาม แล้วไทเฮาฟังออก ก็ไม่รู้แล้วว่าผลจะเป็นเช่นไร! อวิ๋นหว่านชิ่นไหนเลยจะรู้ว่ารัชทายาทที่บ้าบิ่นจะบอกให้หงเยียนเข้าวังมา ตอนนี้พอเห็นเขาทำปากยื่นจมูกย่น ก็มันเขี้ยวอยากอ้าปากงับไปสักคำ นี่มิใช่เพิ่มความยุ่งยากให้ตนเองหรอกหรือ

 

 

รัชทายาทมีท่าทีไม่อนาทรร้อนใจ เมื่อเห็นอวิ๋นหว่านชิ่นใช้สายตาทิ่มแทงตน กลับยิ่งหัวร่อร่า ยักคิ้วทั้งสองข้างไปมา

 

 

พอเจี่ยไทเฮาเห็นว่ารัชทายาทส่งคนไปตามหงเยียนเข้าวัง ก็ขมวดคิ้วเช่นกัน

 

 

“เจ้าเนี่ยนะ บอกว่าจะทำ ก็ทำทันทีทุกครั้ง ครั้งนี้ก็อีก ขนาดชาวบ้านร้านตลาดยังไปเชิญให้เข้าวังมา!”

 

 

“ก็หลานรู้นี่ว่า ถ้าเสด็จย่าไม่สบายพระทัยก็จะนอนไม่หลับ วันนี้ถึงต้องถามให้รู้แล้วรู้รอดกันไป ขนาดเสด็จพ่อยังเคยสอบสวนขุนโจรเจียงหนาน กับหัวหน้ากบฏชาวนาซีเป่ย ในท้องพระโรงด้วยองค์เองมาแล้ว พวกเขาล้วนมิใช่ชาวบ้านร้านตลาดหรอกหรือ แล้วเหตุใดไทเฮาจะสอบสวนเถ้าแก่เนี้ยของร้านเล็กๆ แห่งหนึ่งในเมืองหลวงไม่ได้เล่า”

 

 

รัชทายาทหัวเราะอย่างหน้าชื่นตาบาน ดวงตาอ่อนโยนดุจดอกท้อน่ารักน่าชัง จนทำให้คนแก่ทนไม่ไหว หยิกเข้าที่แก้มหล่อๆ ของหลานเบาๆ

 

 

อีกด้านหนึ่ง รถม้าตัวเดียวประจำวังหลวงก็ได้วิ่งออกจากประตูวังอย่างรวดเร็ว ข้ามแม่น้ำฮู่หลง ใช้เวลาไม่นาน ก็ห้อตะบึงมาถึงร้านเป้าหมายบนถนนจิ้นเป่า

 

 

หงเยียนกำลังจัดเรียงสินค้า ขณะอุ้มกล่องใบหนึ่ง ปีนขึ้นบันไดที่พาดอยู่กับชั้นวางสินค้าได้ครึ่งทาง สวี่มู่เจินที่จับบันไดอยู่ด้านล่าง ก็จงใจเขย่าไปสองที ทำให้นางตกใจ ก้มลงไปต่อว่า

 

 

“เดี๋ยวข้าลงไป ได้เห็นดีกันแน่!”

 

 

ตั้งแต่สวี่มู่เจินเห็นญาติผู้น้องเปิดร้าน ก็เกรงว่าหงเยียนจะดูแลร้านคนเดียวไม่ไหว จึงแวะมาเยี่ยมเยียนอยู่เป็นนิจ ช่วยงานนางเล็กๆ น้อยๆ เป็นครั้งคราว วันนี้ก็เช่นเดียวกัน

 

 

ส่วนหงเยียน แม้รู้ว่าเขาไม่รู้เรื่องค้าขาย แต่อุตส่าห์ลงแรงช่วย ก็นับว่าไม่เลวทีเดียว ถ้าเขาอยากอยู่ก็แล้วแต่เขา ทั้งสองเป็นคนรักอิสระ จึงไม่มีขอบเขตสถานะคุณชายตระกูลพ่อค้ากับเถ้าแก่เนี้ยอะไร ตอนนี้ก็เหมือนตอนสงบศึก ขณะที่ทั้งสองกำลังหัวเราะคิกคักพลางง่วนอยู่กับงานจนเพลินนั้น เสียงของรถม้า ตามด้วยเสียงฝีเท้าคนเร่งรีบก็ดังขึ้นที่หน้าประตู

 

 

ผู้มาสวมชุดเครื่องแบบชาววังสีมรกต พูดเสียงดังฟังชัด

 

 

“แม่นางหงเยียนอยู่หรือไม่ นายท่านเรียนเชิญ ให้พวกเรามารับแม่นางไปด้วยกันในตอนนี้เลย!”

 

 

หงเยียนลงจากบันไดมา โดยไม่รู้ว่าคนผู้นี้เป็นใคร

 

 

“มิบังอาจ ขอถามว่า นายท่านของท่านคือผู้ใด”

 

 

สวี่มู่เจินมองปราดเดียวก็รู้ว่า คนผู้นี้คือ ขันทีข้างกายของรัชทายาท จึงตกใจ ดึงเขาออกมาด้านข้าง

 

 

ขันทีผู้นี้ย่อมรู้จักสวี่มู่เจิน พอเห็นเขาอยู่ที่นี่ ก็ดีใจ รีบเล่าเรื่องที่รัชทายาทกำชับไว้ให้ฟังคร่าวๆ

 

 

สวี่มู่เจินจึงโล่งใจ แล้วค่อยหันไปลากหงเยียนเข้าหลังร้าน

 

 

ก่อนโน้มตัวลงพลางพูดเสียงต่ำ

 

 

“หงเยียน ญาติผู้น้องข้ากำลังอยู่ร่วมงานเลี้ยงในวัง แล้วมีคนแฉว่าเจ้ากับนางไปมาหาสู่กัน คิดจะทำให้นางเสื่อมเสียชื่อเสียง เจ้าจึงต้องเข้าวังไปในตอนนี้” พูดถึงตรงนี้ ก็กระชิบต่อที่ข้างหูหงเยียน

 

 

วันก่อนหงเยียนบังเอิญเจอพี่น้องบนเรือสำราญ ได้ยินเรื่องหานเจียวมาบ้างเหมือนกัน ตอนนี้พอได้ยินว่ามีคนใช้เรื่องนี้มาหาเรื่องอวิ๋นหว่านชิ่น ก็สูดหายใจเข้าลึกๆ ฟังและจดจำไว้ในใจ พลางพยักหน้า

 

 

พอสวี่มู่เจินพูดจบ ก็ครุ่นคิดสักพัก แล้วว่า “นอกจากช่วยญาติผู้น้องแล้ว ยังถือเป็นโอกาสที่จะพลิกสถานะให้กับตระกูลของเจ้า เจ้าจะได้เป็นไทเสียที แต่ก็เสี่ยงอยู่เหมือนกัน เจ้าพอจะไหวไหม”

 

 

“ขอเพียงสามารถช่วยคุณหนูใหญ่ได้ เรื่องอื่น หงเยียนไม่สนใจ”

 

 

ญาติผู้น้องดูคนไม่ผิดจริงๆ

 

 

สวี่มู่เจินหวั่นไหว พลันจับหลังศีรษะหงเยียน ผลักเบาๆ เข้าหาใบหน้า ให้หน้าผากนางสัมผัสกับริมฝีปากตน คล้ายอยากให้นางผ่อนคลายลงบ้าง เนื่องจากบิดาและพี่ชายนางถูกราชสำนักประหารชีวิต เข้าวังคราวนี้ นางต้องรู้สึกเศร้าหมองและอึดอัดใจอยู่บ้าง

 

 

หงเยียนใจเต้นตึกตัก นางกับเขาตบตีกันมาตลอด บางครั้งยังลงมือกันจริงจังด้วย แต่ครั้งนี้นางกลับไม่ผละออกจากเขาเหมือนครั้งก่อนๆ

 

 

รถม้าห้อตะบึง พาหงเยียนผ่านเข้าประตูวัง

 

 

ริมทะเลสาบเฉิงเทียน

 

 

หงเยียนถูกพามาเฝ้าเจี่ยไทเฮาตรงหน้า และคุกเข่าลงต่อหน้ากลุ่มคน

 

 

นางสวมชุดสีแดง มวยผมต่ำ แต่งหน้าอ่อนๆ หน้าตาฉลาดเฉลียว จากหัวจรดเท้าก็คือลูกสาวของบ้านๆ หนึ่งดีๆ นี่เอง อีกทั้งยังเปล่งรัศมีความกล้าหาญและเยือกเย็นแบบที่คุณหนูทั่วไปไม่มีออกมาด้วย

 

 

ดูอย่างไร ก็ไม่เหมือนนางโลม

 

 

ถ้าผ่านแวดวงคาวโลกีย์มาแล้วจริงๆ ก็น่าเสียดายยิ่ง

 

 

ขณะเจี่ยไทเฮากำลังนึกเสียดาย หญิงสาวที่คุกเข่าอยู่ก็เอ่ยปากขึ้น

 

 

“หม่อมฉันหงเยียน ลูกสาวนักโทษทหาร คารวะไทเฮา”

 

 

ลูกสาวนักโทษทหาร? หมายความว่าอะไร กลุ่มคุณหนูส่งเสียงฮือฮา

 

 

เจี่ยไทเฮาลุกพรวดขึ้นจากเก้าอี้ทรงกลม

 

 

อวิ๋นหว่านชิ่นสะดุ้ง จ้องมองไทเฮา เรื่องนี้ที่สุดแล้วจะดำเนินไปเช่นไร!