“ผู้คุกเข่าเป็นใครกันแน่” จูซุ่นเอ่ยขึ้นก่อนอย่างตกใจ “พูดให้ชัดเจน!”
หงเยียนก้มศีรษะจรดพื้น กว่าสามปีแล้ว ในที่สุดก็เป็นครั้งแรกที่ตนจะได้พูดชื่อแซ่ของคนในตระกูลได้อย่างโจ่งแจ้งเสียที จึงถอนหายใจเฮือกใหญ่ ระบายความอึดอัดออกมา ค่อยรู้สึกสดชื่นสุดจะเปรียบ ต่อให้ต้องตายก็คุ้มค่า จึงพยายามข่มไม่ให้เสียงสั่นขณะพูด
“หงเยียน เป็นลูกสาวนักโทษทหาร มีภูมิลำเนาเดิมอยู่ถังโจว หัวหน้าทหารรักษาการณ์ประตูเมืองถังโจว หงซื่อฮั่น คือบิดาของหม่อมฉัน!”
“ถังโจว? หงซื่อฮั่น?” จูซุ่นหายใจเข้า
ปีนั้น เมืองถังโจวถูกทหารแคว้นเหมิงหนูตีแตกในคืนเดียว ฝ่าบาทพิโรธมาก จึงส่งผู้สำเร็จราชการแทนพระองค์ลงพื้นที่ ตัดสินลงโทษผู้เกี่ยวข้อง หลังผ่านกระบวนการตรวจสอบตามขั้นตอน ขุนนางฝ่ายบู๊ผู้รับผิดชอบการรบทั้งหมด รวมถึงแม่ทัพนายกอง รองแม่ทัพ ผู้บัญชาการทหารและนายพลเป็นต้น ล้วนต้องโทษประหารหรือเนรเทศออกนอกเมืองโทษฐานละเลยในหน้าที่ทั้งสิ้น หงซื่อฮั่น ขุนนางชั้นสี่ หัวหน้าทหารรักษาการณ์ประตูเมืองย่อมไม่มีข้อยกเว้น ส่วนคนในครอบครัวของนักโทษทุกคนก็ล้วนถูกเนรเทศไปยังทะเลทรายทางตอนเหนือ
แล้วเหตุใดลูกสาวหัวหน้าทหารรักษาการณ์ประตูเมืองถึงมาปรากฏตัวที่นี้ได้
หงเยียนกลืนน้ำตาแล้วเล่าต่อ
“ระหว่างทางเนรเทศ คนในบ้านหม่อมฉันทนทุกข์ทรมานไม่ไหว เสียชีวิตไปตามๆ กัน โดยไม่มีแม้แต่โลงใส่ศพ ศพของท่านแม่ น้องชายกับน้องสาวของหม่อมฉันถูกมัดรวมกันแล้วม้วนไว้ในเสื่อผืนเดียว ก่อนฝังรวมกันในหลุมเดียว ในที่ๆ ไม่รู้จัก บ้านสกุลหงเหลือหม่อมฉันเพียงคนเดียว เดิมทีนึกว่าตนเองคงทนไม่ไหวและ กลายเป็นวิญญาณล่องลอยในไม่ช้า แต่แล้ว ผู้คุมนักโทษเนรเทศคนหนึ่งสูญเงินไปมากจากการเล่นพนันระหว่างทาง จึงคิดหาเงิน โดยจับหม่อมฉันมาแต่งตัวเป็นสาวใช้ เปลี่ยนชื่ออักษรเขียนเป็นหงเยียนที่พ้องเสียงกัน แล้วขายให้พ่อค้าทาส ชีวิตหม่อมฉันจึงพลิกผันไปมา จนถูกขายให้กับเรือสำราญว่านชุนในเมืองหลวง”
“เดิมทีคิดว่าตนเองคงต้องใช้ชีวิตอยู่อย่างอัปยศเช่นนี้ไปทั้งชาติ คิดไม่ถึงว่าจะได้พบเจอคุณหนูอวิ๋น ที่แนะลู่ทางทำกินให้ หม่อมฉันจึงมีโอกาสได้ดูแลร้านๆ หนึ่ง ชีวิตจึงมีความหวังขึ้น เพียงแต่ หม่อมฉันรู้ตัวดีว่าตนเองมีโทษติดตัว จึงไม่กล้าเปิดเผยสถานะที่แท้จริงให้คุณหนูอวิ๋นทราบ พยายามปิดบังมาตลอด และหาโอกาสตอบแทนบุญคุณ วันนี้พอรู้ว่าประสบการณ์ที่แปดเปื้อนมลทินของหม่อมฉัน เกือบทำลายชื่อเสียงของคุณหนูอวิ๋น หม่อมฉันจึงทนไม่ไหว ต่อให้ต้องตายก็ต้องมาเป็นพยานให้ได้ว่า คุณหนูอวิ๋นไม่มีความผิด และลูกสาวนักโทษทหารมิได้มีชาติกำเนิดที่ต่ำต้อย อย่างมากคุณหนูอวิ๋นก็เพียงต้องการช่วยชีวิตคนๆ หนึ่งที่กำลังจะตายแต่อยากมีชีวิตอยู่ต่อโดยไม่ได้คิดอะไรเท่านั้น! ฝ่าบาททรงปรีชา ไทเฮาทรงรอบรู้ กฎหมายข้อไหนของต้าเซวียน ที่ลงโทษคนทำความดีบ้าง”
เกิดเสียงวิพากษ์วิจารณ์โดยรอบขึ้นอีกครั้ง
หงเยียนคนนี้ ที่แท้ก็เป็นลูกสาวนายทหารคนหนึ่ง เพียงแต่ตกเป็นเหยื่อของพวกค้าประเวณี จนต้องมีชีวิตอยู่กับคาวโลกีย์
การที่ผู้คุมนักโทษเนรเทศคิดหากำไรส่วนตัวและเกิดอารมณ์หื่นระหว่างทาง จนต้องขายหรือขืนใจนักโทษหญิงนั้น เป็นเรื่องสกปรกเรื่องหนึ่งในแวดวงราชการ มีหรือที่เจี่ยไทเฮาจะไม่รู้ เพียงคิดไม่ถึงว่าจะได้เห็นเหยื่ออยู่ตรงหน้าเช่นนี้
จูซุ่นแอบมองไทเฮา เห็นทรงมีสีหน้าเรียบนิ่ง จ้องมองหงเยียน พลางว่า
“การถูกเจ้าหน้าที่ฉ้อฉลขายออกไปนั้น ไม่ใช่ความผิดของเจ้า แต่ถึงอย่างไรเจ้าก็ยังมีความผิดติดตัว แต่เพราะต้องการปกป้องคุณหนูอวิ๋น จึงมาเปิดเผยสถานะของตัวเอง แล้วรู้หรือไม่ว่าต้องถูกส่งกลับไปยังทะเลทรายทางเหนือ เพื่อรับโทษทัณฑ์ที่เหลือ”
หงเยียนตอบเสียงดังฟังชัด “ถ้าราชสำนักตัดสินว่าบิดาของหม่อมฉันกับเหล่าทหารที่ถังโจวมีความผิดจริง หม่อมฉันก็เต็มใจที่จะรับโทษทัณฑ์ที่เหลือ โดยไม่เรียกร้องความเป็นธรรมใดๆ ทั้งสิ้น! ทะเลทรายทางเหนือน่ากลัวแค่ไหน หรือจะสู้หลายปีมานี้ ที่ไม่ว่าโทษทัณฑ์ขนาดไหน หม่อมฉันก็ยังผ่านมาได้ ก็ไม่แน่ว่าจะมีชีวิตรอดจากทะเลทรายทางเหนืออีก และได้ใช้ชีวิตอยู่อย่างสามัญชนผู้บริสุทธิ์ในสักวันหนึ่ง!”
จูซุ่นกระพริบตา ไม่รู้ว่าจะพูดอย่างไรดี นางเป็นหญิงแกร่งกระดูกเหล็กคนหนึ่งจริงๆ ขณะนึกก็ได้ยินหงเยียนพูดต่อ
“เพียงแต่ก่อนรับโทษ ยังมีอีกเรื่องหนึ่ง ซึ่งหม่อมฉันไม่อยากให้ไทเฮาถูกหลอกลวง และหวังว่าคุณหนูผู้สูงศักดิ์ทุกท่านจะเข้าใจ และเห็นว่าใครกันแน่ที่ไม่เคารพต่อคำสอนของการเป็นกุลสตรี!”
หงเยียนพูดพลางกวาดตามอง ก่อนหยุดอยู่ที่ร่างในชุดสีแดงเพลิงซึ่งยืนอยู่ตรงกลาง และกำลังสั่นน้อยๆ ขณะถูกหงเยียนมอง
“พี่สาวสามคนซึ่งไปก่อความวุ่นวายที่บ้านสกุลอวิ๋นนั้น เป็นคนของเรือสำราญว่านชุนแบบเดียวกับหม่อมฉัน วันก่อนหม่อมฉันเจอพวกนางครั้งหนึ่ง บังเอิญได้ยินหานเจียวหนึ่งในผู้เคราะห์ร้ายพูดว่า หลังจากพวกนางกลับออกจากบ้านสกุลอวิ๋น ก็ได้จับเด็กจัดซื้อเครื่องสำอางมาถามสอบถาม ถึงได้รู้ว่า มีคนคิดกลั่นแกล้งคุณหนูอวิ๋นจริงๆ และคนนั้นก็ไม่ใช่ใครอื่น”
สายตาที่จ้องมองร่างในชุดสีแดงสดเย็นชายิ่ง
“คือคุณหนูอวี้แห่งบ้านท่านสมุหนายกคนปัจจุบันนี่เอง! คุณหนูอวี้ใช้ให้เด็กรับใช้ในบ้านนำสิ่งที่ทำให้หานเจียวแพ้ผสมลงไปในครีมทาหน้า จากนั้นก็ใช้พวกหานเจียวเป็นเครื่องมือ ไปก่อกวนที่จวนรองเจ้ากรม หยิบยืมเหตุการณ์นี้ทำลายชื่อเสียงคุณหนูอวิ๋น! เพียงแต่ พี่สาวบนเรือสำราญที่น่าสงสารและโชคไม่ดี จะไปเอาเรื่องให้ถึงที่สุดกับลูกสาวท่านสมุหนายกได้อย่างไรกัน จึงได้แต่กล้ำกลืนฝืนทน! ซึ่งการนี้ ถ้าพูดว่าคุณหนูอวิ๋นเลอะมลทินของนางคณิกาชั้นต่ำ คุณหนูอวี้ก็เคยติดต่อกับคนบนเรือสำราญเช่นเดียวกันมิใช่หรือ ถ้าพูดว่าคุณหนูอวิ๋นถูกคนกลั่นแกล้ง ถูกบีบจนต้องรับนางคณิกาเข้าบ้าน เช่นนั้น คุณหนูอวี้ผู้มีสกุลรุนชาติและได้รับการสั่งสอนมา
เป็นอย่างดี เหตุใดถึงต้องใช้วิธีกลั่นแกล้งคนรอบข้าง ด้วยการไปที่เรือสำราญติดต่อกับคนบนเรือด้วยเล่า”
“เจ้า…พูดจาเหลวไหล ทำลายเกียรติและศักดิ์ศรีของข้า!” ร่างเพรียวบางของอวี้โหรงจวงสั่นสะท้าน
พลางยื่นนิ้วเรียวยาวออกมาชี้หน้าหงเยียน ก่อนหันหาเจี่ยไทเฮา กัดริมฝีปากขมวดคิ้ว ใบหน้าเศร้าหมอง
“อย่าเชื่อนางนะเพคะ! หมูตายย่อมไม่กลัวน้ำร้อน นางเป็นลูกสาวนักโทษทหาร อย่างไรก็ต้องถูกลงโทษอยู่แล้ว แต่ต้องการช่วยเหลือผู้มีพระคุณด้วย ย่อมต้องพูดแต่งเติมอะไรต่อมิอะไรออกมาหมด!”
“พูดจาเหลวไหลหรือไม่นั้น ไทเฮาทรงตรวจสอบดูก็รู้ได้ จากเด็กจัดซื้อบนเรือสำราญ พี่สาวกลุ่มนั้น และเด็กรับใช้ในจวนสมุหนายก…หม่อมฉันเองไม่มีความสามารถพอที่จะบอกให้พวกเขามาเป็นพยาน ใช่ว่าทุกๆ คนจะใช้มือข้างเดียวปิดฟ้าอย่างคุณหนูอวี้ได้!” หงเยียนหัวเราะอย่างไม่ยี่หระ
“คุณหนูอวิ๋นกับคุณหนูอวี้พบหน้ากันเพียงไม่กี่ครั้ง คุณหนูอวิ๋นไม่เคยล่วงเกินคุณหนูอวี้ ซ้ำยังเคยช่วยเหลืออีก! เพียงแค่คุณหนูอวี้หมั่นไส้คุณหนูอวิ๋น จนเกิดความคับแค้นใจ บวกกับศักดิ์ศรีลูกสาวท่านสมุหนายกค้ำคอ ถึงได้ใช้วิธีที่โหดร้ายต่ำทรามมาทำลายชื่อเสียงของคนแบบนี้ หงเยียนจึงยิ่งต้องขอให้คุณหนูทุกท่านประสบกับโชคดี ต่อไปถ้าคบหาคุณหนูอวี้ เอาใจได้ถูกใจก็ดีไป แต่อย่าได้ล่วงเกินหรือขัดใจคุณหนูอวี้ท่านนี้แม้เพียงนิดเดียวเข้าล่ะ หาไม่แล้วแม้ตาย ก็อาจไม่รู้ด้วยซ้ำว่าตายอย่างไร!”
หัวเราะอีกครั้ง ก่อนหันมองคุณหนูบ้านท่านมหาบัณฑิตด้วยสายตาที่แฝงความหมายลึกซึ้ง
“ซึ่งยิ่งสนิทเท่าไหร่ ความเสี่ยงก็ยิ่งมากขึ้นเท่านั้น”
เสียงหัวเราะเบาๆ ที่เยือกเย็นเช่นนี้ ทำให้คุณหนูบ้านท่านมหาบัณฑิตขนลุกซู่ และขยับออกห่างจากอวี้โหรวจวงโดยปริยาย
อวี้โหรวจวงถลึงตามอง ทรวงอกพลางกระเพื่อมขึ้นลง
เหล่าคุณหนูต่างหันมองอวี้โหรวจวงด้วยสายตาที่ระมัดระวังเพิ่มขึ้น บ้างก็พยายามหลบตา กุลสตรีบ้านท่านสมุหนายกผู้นี้ประพฤติตนอยู่ในกรอบเสมอมา ทั้งอากัปกิริยาและคำพูดล้วนสูงส่งไม่เป็นรองใคร แต่ตอนนี้ภาพพจน์กลับถูกทำลายลงครึ่งหนึ่ง
หงเยียนไม่พูดมากนอกเหนือไปจากนี้อีก ประสานมือให้ไทเฮา พลางว่า
“ขอไทเฮาทรงตีตรวนลูกสาวนักโทษทหาร! เพื่อเนรเทศพร้อมผู้คุมได้ทุกเมื่อ สิ่งที่หม่อมฉันอยากทำก็ได้ทำหมดแล้ว ไม่มีอะไรให้นึกเสียใจอีก!”
อวิ๋นหว่านชิ่นเหงื่อเย็นหลั่งไหล ถ้ารู้ว่าหงเยียนเข้าวังเปิดเผยสถานะเพื่อช่วยตนเองแล้วล่ะก็ เมื่อครู่ไม่ว่ารัชทายาทจะพูดอย่างไร ตนต้องหยุดไว้ก่อนแน่! แต่ตอนนี้ ไหนเลยจะย้อนเวลากลับไปได้อีก หรือต้องนิ่งดูดายยืนมองหงเยียนรับโทษเนรเทศไปทะเลทรายทางเหนืออีกครั้งจริงๆ?