ตอนที่ 85-2 พระมาตุลาละอายใจและการเร่งดอกเหมยบาน

ยอดหญิงอันดับหนึ่ง

เจี่ยไทเฮาพินิจพิเคราะห์หงเยียน

 

 

“เจ้ากลับเป็นผู้หญิงที่แปลกคนหนึ่ง การตอบแทนบุญคุณคนนั้น พออภัยให้ได้ แต่กฎหมายยากผ่อนปรน…เจ้าหน้าที่…นำตัวลูกสาวหงซื่อฮั่นไปขังไว้ในเรือนจำหลวงก่อน รอพระบัญชาจากฝ่าบาท ว่าจะเนรเทศไปทะเลทรายทางเหนือ หรือจะให้รับโทษอย่างอื่นแทน”

 

 

ราชองครักษ์ซึ่งยืนอยู่ข้างที่ประทับจึงก้าวเข้าไป คล้ายจะจับตัวหงเยียนขึ้น อวิ๋นหว่านชิ่นจึงจ้องมองรัชทายาทอย่างดุดัน

 

 

แต่รัชทายาทกลับยกนิ้วชี้เรียวยาวขึ้นแตะริมฝีปาก ทำท่าส่งเสียงชูว์ อย่างไม่ร้อนใจแม้แต่น้อย

 

 

และขณะที่หงเยียนถูกราชองครักษ์พยุงตัวให้ลุกขึ้นยืนนั้น เสียงฝีเท้าเร่งรีบก็ดังขึ้นจากด้านหลัง พร้อมเสียงร้องห้ามของบุรุษ “ช้าก่อน!”

 

 

ชายวัยกลางคนๆ หนึ่ง หน้าตาหล่อเหลา รูปร่างผอมสูง เสียบปิ่นไม้ท้อขวางมวยผมเล็กๆ ไว้ สวมชุดยาวสีฟ้าแบบนักพรต ท่าทางดุจเซียน ไม่เหมือนมนุษย์ที่แปดเปื้อนกิเลศ ยิ่งไม่เหมือนผู้สูงศักดิ์ในวัง ขณะเดินเข้ามา ทั้งราชองครักษ์ ขันที และคนในวังต่างพากันหลีกทางให้ ไม่เพียงทำความเคารพ ยังเปล่งเสียง…

 

 

พระมาตุลา!

 

 

พระมาตุลา? อวิ๋นหว่านชิ่นสงสัย จึงมองรัชทายาทอีกครั้ง พี่น้องของเจี่ยงฮองเฮา? เสด็จลุงของรัชทายาทหรือ

 

 

ปกติเจี่ยงยิ่นไม่มางานแบบนี้นี่ พอเจี่ยไทเฮาเห็นก็ตกใจ ลุกขึ้นยืนทันที จะเห็นได้ว่า คนในวังให้ความสำคัญกับพระมาตุลาเจี่ยงมาก

 

 

เจี่ยไทเฮาถามอย่างแปลกใจ “…เหตุใดพระมาตุลาเจี่ยงถึงมาที่นี่ได้ล่ะ”

 

 

เป็นญาติทางฝั่งเจี่ยงฮองเฮาจริงๆ อวิ๋นหว่านชิ่นโล่งใจ หรือเขาก็คือเจี่ยงยิ่น ผู้ตรวจการเจี่ยง ที่เคยโด่งดังเป็นพลุแตกอยู่ช่วงหนึ่ง แล้วจู่ๆ ก็แยกตัวออกจากคนที่บ้าน ลาออกจากราชการ ขึ้นเขาไปเป็นนักพรต?

 

 

เจี่ยงยิ่นในวัยหนุ่มโด่งดังมากจริงๆ แม้ตอนนั้นอวิ๋นหว่านชิ่นยังเล็ก ก็จำได้ว่า เขาทำงานเพื่อราชสำนักอย่างแข็งกร้าว โดยไม่เห็นแก่ประโยชน์ส่วนตน ตัดสินคดีอย่างเฉียบขาด จับดาบแล้วฟันลงทันที ไม่ชักช้าและใจอ่อนแม้แต่น้อย ได้ยินมาว่า ขนาดญาติผู้น้องที่แก้ผ้าวิ่งเล่นด้วยกันมาแต่เด็กทำความผิด เขาก็ยังลงโทษตามกฏหมายและควบคุมการประหารด้วยตนเอง ในยามที่ราชสำนักมืดมนและอ่อนแอ เขานับเป็นลมแรงที่นำพาความสดชื่นมาให้

 

 

แต่พระมาตุลาท่านนี้กลับเหมือนดอกโบตั๋นที่บานเฉพาะช่วงกลางคืน โดยเมื่อสามปีก่อนจู่ๆ เขาก็ลาออกจากราชการไปบำเพ็ญเพียร

 

 

เหล่าคุณหนูที่เคยได้ยินพี่ป้าน้าอาทางบ้านพูดถึงเจี่ยงยิ่น ล้วนตะลึงงัน พระมาตุลามามาถวายพระ

 

 

พร เฉลิมพระชนมพรรษาไทเฮาในครั้งนี้ เพียงเพราะเห็นแก่หน้าฮองเฮาหรอก ซึ่งนอกจากพระราชพิธีในตอนเช้า

 

 

แล้ว เขาก็เอาแต่อยู่ในเรือนเหยาหวา มิได้ออกมาอีก แล้วตอนนี้ทำไมถึงบึ่งมาที่นี่ได้เล่า

 

 

ทว่า พอได้เห็นบุคคลในตำนาน กลุ่มคนก็อดไม่ได้ที่จะลอบสำรวจมองอย่างละเอียด และเห็นว่าอาจเป็นเพราะการบำเพ็ญเพียรอย่างบริสุทธิ์ใจเป็นเวลาหลายปี ทำให้เจี่ยงยิ่นที่อายุใกล้สี่สิบ ดูอ่อนเยาว์กว่าคนในวัยเดียวกันมาก ดูๆ ไปอย่างมากก็ราวสามสิบเศษ ผิวขาวเนียน ไม่มีรอยย่นแม้แต่น้อย ผมดกดำ คิ้วเรียบนิ่ง ชุดนักพรตที่ใส่ก็ยิ่งขับให้ดูเท่ ไม่เหมือนคนธรรมดาทั่วไป เพียงแต่ผอมไปหน่อย…

 

 

ตอนนี้อยู่ในช่วงฤดูใบไม้ร่วง อากาศเย็น อีกทั้งอยู่ริมน้ำ กลุ่มผู้สูงศักดิ์ล้วนสวมเสื้อคลุมกันลมตัวใหญ่ ถ้ายังไม่พอ ก็สวมผ้าคลุมไหล่ทับอีกชั้นหนึ่ง แต่เจี่ยงยิ่นสวมเพียงชุดนักพรตบางๆ ตัวเดียว ทำให้ร่างยิ่งดูผอมบาง ราวกับปลิวได้ทุกเมื่อ ถ้าถูกลมพัด…มิน่าเล่าถึงมีคำพูดที่ว่า ผู้บำเพ็ญเพียรในป่าเขาไม่กลัวความหนาว  นักพรตเหล่านี้ไม่กลัวแม้ต้องเปลือยกายเดินท่ามกลางหิมะอันหนาวเหน็บในฤดูหนาว แต่ก็อธิบายได้ว่า หลายปีมานี้ พระมาตุลาใช้ชีวิตอย่างยากลำบากและยืนหยัดจนผ่านมันมาได้จริงๆ!

 

 

บุรุษที่อยู่ตรงหน้า อย่างไรกลุ่มคนก็ไม่สามารถนำไปเชื่อมโยงกับผู้ตรวจการเจี่ยงที่เฉียบขาดแข็งกร้าว มีพลังดุจจงขุยผู้ปราบผีในปีนั้นได้ แต่ก็ยังอดไม่ได้ที่จะรู้สึกเสียดายอยู่บ้าง ถ้าเจี่ยงยิ่นไม่ลาออกจากราชการก่อน ต้องเป็นขุนนางผู้ยิ่งใหญ่ที่โด่งดังคับฟ้าแน่!

 

 

แม้ผ่านไปสามปี ในราชสำนักก็ยังมีกลุ่มคนไม่น้อยที่คลั่งไคล้และยกย่องในตัวเจี่ยงยิ่น โดยตั้งหน้าตั้งตารอคอยวันที่เขาจะกลับมา ขนาดตอนนี้ ยังมีบารมี ยิ่งไม่ต้องพูดถึงตอนนั้นว่า รุ่งโรจน์เพียงใด!

 

 

แต่ในสายตาของกลุ่มคนในตอนนี้ เห็นชัดว่า ผู้รักการเป็นเซียนเข้ากระดูกดำอย่างเจี่ยงยิ่น ดวงตากำลังฉายแววไม่สบายใจ ขณะจ้องมองหงเยียน และทันใดนั้น เขาก็ก้าวเข้าไปยืนตรงหน้าไทเฮา คารวะ แล้วพูดเข้าประเด็นอย่างเด็ดเดี่ยว

 

 

“เรียนไทเฮา หญิงสาวผู้นี้ไม่มีความผิด ไม่สามารถคุมตัวไปกักขังที่เรือนจำหลวง ยิ่งไม่สามารถเนรเทศไปทะเลทรายทางเหนือ! ขอทรงปล่อยนางให้ออกนอกวัง ทางด้านฝ่าบาท ข้าพระองค์จะกลับเข้าไปอธิบายให้ทรงทราบเอง!”

 

 

เจี่ยงยิ่นในตอนนี้ออกจากตำแหน่งแล้ว พอเข้าวังมา จึงเรียกตนเองว่าข้าพระองค์เหมือนประชาชนทั่วไป แต่เจี่ยไทเฮายังรู้สึกถึงการอุทิศตนให้ราชสำนักของเขาในอดีต จึงยังคงเรียกด้วยความเคารพว่าพระมาตุลา

 

 

“พระมาตุลา” พอเจี่ยไทเฮาได้ยินคำพูดของเจี่ยงยิ่น ก็ตกใจ คิดว่า

 

 

หรือคนผู้นี้บำเพ็ญเพียรจนโง่งมงายไปแล้ว

 

 

“เจ้าไม่รู้หรอกว่า หญิงสาวผู้นี้คือลูกสาวหัวหน้านายทหารที่สมรภูมิถังโจว มีโทษเนรเทศติดตัวที่ยังชดใช้ไม่หมด แล้วจะให้ปล่อยไปเช่นนี้ได้อย่างไร!”

 

 

ครั้นเจี่ยงยิ่นได้ยินคำพูดนี้ ก็หัวเราะออกมาอย่างไม่ยี่หระ เป็นการหัวเราะที่มีความหมายลึกซึ้งอย่างบอกไม่ถูก โดยเป็นความคิดคำนึงเจ็ดส่วน อีกสามส่วนเป็นความเศร้าเสียใจ ซึ่งอารมณ์แตกต่างกันมาก

 

 

“เรียนไทเฮา นักโทษทหารที่รอดชีวิตในสมรภูมิรบถังโจวเมื่อสามปีก่อน ข้าพระองค์คือผู้ตัดสินโทษพวก

 

 

เขาเอง ทำไมจะไม่รู้เล่า”

 

 

จูซุ่นเอะใจ หันมาพูดข้างหูไทเฮา “ไม่ผิดพ่ะย่ะค่ะ ตอนนั้นฝ่าบาททรงมีพระบัญชา ให้ส่งพระมาตุลาเป็นผู้แทนพระองค์ไปตรวจสอบและตัดสินคดีที่ถังโจว”

 

 

อวิ๋นหว่านชิ่นคิดได้ในทันที เมื่อสามปีก่อนเกิดการสู้รบที่ถังโจว ก็พอดีกับสามปีที่เจี่ยงยิ่นปลีกวิเวกไปเป็นนักพรต อยู่กับธรรมชาติ ไม่ยุ่งเกี่ยวกับเรื่องในราชสำนัก…เช่นนี้ หรือการลาออกของเจี่ยงยิ่นกับการสู้รบที่ถังโจวเกี่ยวข้องกัน?

 

 

เจี่ยไทเฮาก็เดาได้บางส่วนเช่นเดียวกัน คิ้วที่ดกดำและเรียบจึงขมวดรวมกัน

 

 

ส่วนหงเยียน พอเห็นเจี่ยงยิ่นเดินเข้ามา และได้ยินเขาพูดปกป้องตนเอง ตลอดทั้งร่างก็สั่นเทิ้ม ตอนนี้พอมองหน้าเขาให้ชัดๆ อีกครั้ง สีหน้าก็ซีดขาว

 

 

ใช่ นางเคยเห็นดวงตาคู่นี้ ชายผู้นี้ล่ะ เป็นเขา ผู้ตรวจการเจี่ยง ผู้มาจากเมืองหลวงในปีนั้น!

 

 

เพียงแต่ ในปีนั้น ดวงตาคู่นี้ทั้งโหดร้ายและไร้ความปรานี ตัดสินคดีโดยไม่ฟังเหตุผลใด แต่ตอนนี้ ดวงตาคู่นี้กลับไร้ซึ่งความปรารถนา คล้ายมองโลกได้อย่างทะลุปรุโปร่ง!

 

 

ปีนั้น พอเจี่ยงยิ่นมา ถังโจวที่ถูกทหารเหมิงหนูเหยียบย่ำมาแล้วครั้งหนึ่ง กลับต้องคละคลุ้งไปด้วยกลิ่นคาวโลหิตอีกครั้ง!

 

 

เหล่าทหารถังโจวที่ปกปักษ์รักษาป้อมปราการของเมืองไว้ไม่ได้ ถูกมัดตัวไว้อย่างแน่นหนา แล้วให้คุกเข่าอยู่หน้ากำแพงเมือง พอผู้ตรวจการเจี่ยงออกคำสั่ง ศีรษะของแต่ละคนก็หลุดออกจากบ่า จนกลิ่นคาวโลหิตลอยตลบอบอวลอยู่ในอากาศนานหลายวัน ขนาดเดินบนท้องถนน กลับถึงบ้านถ้าไม่ล้างหน้า หน้าก็จะมีสีแดงจางๆ เคลือบไว้!

 

 

เกิดเป็นคนในครอบครัวทหารชายแดน หงเยียนรู้ว่าไม่วันใดก็วันหนึ่ง บิดาและพี่ชายอาจต้องเสียชีวิตในสมรภูมิรบ แต่ไม่เคยคิดมาก่อนว่า จะต้องมาเสียชีวิตด้วยน้ำมือของคนกันเอง

 

 

บิดากับพี่ชาย และเหล่าผู้บังคับบัญชาของบิดาได้สู้รบต่อต้านศัตรูมาก่อน แม้พ่ายแพ้ แต่ก็สู้อย่างสุดชีวิต แล้วเหตุใด เหตุใดราชสำนักถึงไม่ปล่อยพวกเขา

 

 

ตายก็ตาย ยังต้องโทษละเลยในหน้าที่ ไม่สนใจชีวิตประชาชนอีก! สำหรับนายทหารแล้ว นี่เป็นความอัปยศอดสูยิ่ง

 

 

ถังโจวเป็นเมืองชายแดน ถ้าศัตรูจากต่างแดนทางตอนเหนือต้องการบุกรุกต้าเซวียน โดยทั่วไปก็จะบุกจากที่นี่ก่อน ทหารประจำเมืองชายแดนจึงเหน็ดเหนื่อยสุด

 

 

แต่การลำบากตรากตรำมาสิบกว่าปี กลับจบสิ้นในวันเดียว ผู้ฝึกฝนยุทธวิธีการรบให้ทหารในค่ายไม่หยุดหย่อนคือบิดานาง ผู้ที่ต้องออกรบโดยมีลูกเมียและคนในครอบครัวคอยเป็นห่วงคือพี่ชายนาง แล้วเหตุใดทุกสิ่งทุกอย่างที่พวกเขาทำ ถึงได้ทำให้พวกเขากลายเป็นทหารที่ละทิ้งหน้าที่ ไร้ระเบียบวินัยไปได้?