ตอนที่ 61: ใครกันที่ทำร้ายพี่ชายของข้า.

เทพกระบี่มรณะ (Chaotic sword god)

ตอนที่ 61: ใครกันที่ทำร้ายพี่ชายของข้า.

เจี้ยนเฉินเคลื่อนตัวผ่านหญ้าอย่างรวดเร็วดุจสายฟ้า กระบี่วายุโปรยได้กลายเป็นแสงสีขาว เขาใช้กระบี่คมฟันไปด้วยความเร็วที่รวดเร็วในหลายทิศทาง เพลงกระบี่ของเขาว่องไวและแม่นยำ.

หลังจากการเคลื่อนไหวที่รวดเร็วของเจี้ยนเฉิน ลมก็พัดผ่านใบไม้แห้งในอากาศให้โปรยปรายรอบเจี้ยนเฉินราวกับผีเสื้อที่โบยบิน.

เจี้ยนเฉินเปลี่ยนกระบวนท่ากระบี่อย่างฉับพลัน แม้ว่าเพลงกระบี่ของเขาจะรวดเร็วมาก แต่ด้วยการใช้กระบี่แทงไปข้างหน้าจึงมีเสียงดังขึ้นในอากาศและทิ้งร่องรอยไว้ ไม่มีคนธรรมดาคนใดที่สามารถมองเห็นได้

ครู่หนึ่งหลังจากนั้น กระบี่ที่ร่ายรำในมือของเจี้ยนเฉินก็หยุดลงทันที. แต่หลังจากใช้กำลังอย่างหนักเป็นระยะเวลานาน เขาก็ไม่ได้มีปัญหาเรื่องการหายใจติดขัดและยังคงหายใจตามปกติ

และในเวลาเดียวกัน เจี้ยนเฉินก็หยุดการเคลื่อนไหว ใบไม้ที่ก่อนหน้านี้บินว่อนไปรอบ ๆ ตัวเขาสลายตัวเป็นผงและกระจายไปบนพื้น มีเพียงไม่กี่ใบเท่านั้นที่ยังคงสภาพเหมือนเดิม และบางใบก็มีคำที่ถูกเขียนว่า กระบี่ . ถึงแม้ว่าขนาดจะแตกต่างกัน มันถูกเขียนอย่างชัดเจนและครอบคลุมพื้นที่รอบ ๆ ทั้งหมด แม้ว่าจะมีใบอื่น ๆ ที่มีคำว่า กระบี่ อยู่บนนั้น บางใบมีอักษรที่ไม่ชัดเจนหรือไม่สมบูรณ์

หากใครเห็นภาพนี้พวกเขาจะต้องประหลาดใจจนอ้าปากค้างอย่างแน่นอน ฉากนี้น่าอัศจรรย์เกินกว่าที่จะเชื่อได้เนื่องจากใบไม้นั้นลอยอยู่ในอากาศอย่างดุเดือดและประสานกับอีกใบเป็นระยะ ๆ เพียงแค่การมองใบไม้ใบเดียวที่หมุนเปลี่ยนทิศทางไปมาในอากาศอย่างต่อเนื่องก็ทำให้คนที่มองดูตาลายและเวียนหัวอย่างแน่นอน คงเป็นไปไม่ได้ที่จะคิดว่ามีใครบางคนสามารถเขียนคำว่า กระบี่ ได้อย่างชัดเจนลงบนใบไม้เหล่านั้น

ที่สำคัญที่สุดใบไม้นั้นบอบบางและมีแนวโน้มที่จะฉีกขาดทันทีที่สัมผัสมันเบา ๆ การใช้กระบี่ทำสิ่งดังกล่าวโดยไม่ทิ้งร่องรอยฉีกขาดใด ๆ เป็นเรื่องยากเหมือนการปีนป่ายขึ้นสู่สวรรค์

หากผู้คนทราบว่าเจี้ยนเฉินทำอะไรได้บ้าง ชื่อของเขาจะถูกประกาศและเป็นที่รู้จักทั่วทั้งทวีปเทียนหยวนภายในพริบตา

เจี้ยนเฉินมองดูใบไม้ที่ร่วงหล่นลงมาบนพื้นทีละใบด้วยใบหน้าที่ยิ้มแย้มและพูดพึมพำกับตัวเองว่า “แม้ว่าความเร็วในการใช้กระบี่ของข้าจะลดลง แต่การควบคุมก็พัฒนาขึ้นอย่างมากจนถึงระดับที่ไม่สามารถเปรียบเทียบกับอดีตได้ ราวกับว่ากระบี่ได้กลายเป็นส่วนหนึ่งของร่างกายของข้า บางทีนี่อาจเป็นข้อได้เปรียบของอาวุธเซียนของโลกนี้”

ทันใดนั้นหูของเจี้ยนเฉินก็ตรวจพบเสียงบางอย่าง เจี้ยนเฉินมุ่งเน้นไปที่ต้นกำเนิดของเสียง เขาหันไปทางบริเวณพุ่มไม้และปล่อยให้กระบี่สีเงินหายไป

ในช่วงต่อมา พุ่มไม้ที่เจี้ยนเฉินมองดูก็เริ่มสั่นไหวมากขึ้นก่อนที่ร่างที่เปื้อนเลือดพร้อมกับชุดที่ฉีกขาดจะพรวดพราดออกมา

เพียงแค่มองดูเสื้อผ้าของคนผู้นั้น เจี้ยนเฉินก็รู้โดยทันทีว่านี่เป็นลูกศิษย์ของสำนักคากัต เขาสงสัยมากว่าทำไมลูกศิษย์คนนี้ถึงโชกเลือดทั้งร่างกาย ไม่มีสัตว์อสูรอยู่แถว ๆ นี้ ดังนั้นจึงไม่มีเหตุผลว่าทำไมเขาถึงได้รับบาดเจ็บ สำนักคากัตยังมีกฎเกณฑ์ที่เข้มงวดเกี่ยวกับการต่อสู้ระหว่างลูกศิษย์ด้วยกันเอง อนุญาตให้มีการฝึกซ้อมกัน ส่วนการต่อสู้ที่อาจนำไปสู่การบาดเจ็บสาหัสไม่ได้รับอนุญาตเด็ดขาด

อย่างไรก็ตามเมื่อเจี้ยนเฉินมองหน้าลูกศิษย์คนนั้น เขาก็ตกตะลึงทันที ใบหน้าของเขาแข็งทื่อด้วยความตกใจขณะที่เขามองดูปริมาณของเลือดที่ครอบคลุมครึ่งใบหน้าของลูกศิษย์คนนั้น เจี้ยนเฉินไม่อยากเชื่อในสิ่งที่เห็น เขาอ้าปากร้องตะโกนเสียงดังออกมา

พี่ใหญ่ ! เสียงตะโกนดังกึกก้อง ในไม่ช้าเขาก็พุ่งกระโดดข้ามผ่านมา 30 เมตรด้วยสีหน้าเคร่งเครียด เขามายืนอยู่ตรงหน้าพี่ชายที่โชกเลือดและได้รับบาดเจ็บ

แววตาของเจี้ยนเฉินเป็นประกายโกรธแค้นเมื่อเห็นบาดแผลที่น่าสยดสยองของเจียงหยางหู่และเลือดที่ยังคงไหลออกมาจากหัวของเขา ” พี่ใหญ่ เกิดอะไรขึ้นกับท่าน ใครทำร้ายท่าน ? ” ความแค้นพุ่งพล่านไปทั่วร่างกายในขณะที่เขามองไปยังพี่ชายของเขาที่บาดเจ็บสาหัส

เมื่อพูดถึงเจียงหยางหู่พี่ชายของเขา นอกจากมารดาแล้ว เขาเป็นคนเดียวที่เจี้ยนเฉินรักและห่วงใยเพราะเจียงหยางหู่ปฏิบัติต่อเขาเหมือนเป็นน้องชายคนเล็กจริง ๆ เจี้ยนเฉินจึงต้องการที่จะตอบแทนความดีนั้น เมื่อเขามาที่สำนักคากัตเป็นครั้งแรก เจียงหยางหู่เป็นคนพาเขาไปเที่ยวชมรอบ ๆ สถานที่และอธิบายกฎให้เขาฟัง เขาเผชิญหน้ากับอันตรายที่โหดร้ายหลังจากต้องปะทะกับสัตว์อสูรระดับ 1 และเขาฆ่ามันเพื่อนำแกนอสูรเป็นของขวัญแก่เจี้ยนเฉินโดยไม่คำนึงถึงชีวิตของตัวเอง ถึงแม้ว่าสัตว์อสูรระดับ 1 จะไม่เป็นภัยคุกคามต่อเจี้ยนเฉิน แต่เจียงหยางหู่ก็ไม่ได้มีประสบการณ์การต่อสู้หรือทักษะการต่อสู้มากเท่าเจี้ยนเฉิน ในเวลานั้น เจียงหยางหู่มีความแข็งแกร่งของพลังเซียนระดับ 10 ดังนั้นการต่อสู้กับสัตว์อสูรระดับ 1 จึงไม่ใช่เรื่องง่ายสำหรับเขาเลย

ต่อมาพี่ชายของเขาได้ต่อสู้กับกาดิหยุนแทนเขาทั้ง ๆ ที่รู้ตั้งแต่ก่อนท้าประลองว่าพละกำลังของตัวเองนั้นด้อยกว่าเมื่อเปรียบเทียบกับคู่ต่อสู้

เจี้ยนเฉินรู้สึกอย่างชัดเจนว่าเจียงหยางหู่ห่วงใยเขาจากส่วนลึกของจิตใจ และจากนั้นเป็นต้นมาเจี้ยนเฉินก็ปฏิบัติต่อเขาเหมือนพี่น้องที่สนิทสนมรักใคร่กลมเกลียว

ในชีวิตก่อนหน้านี้ เจี้ยนเฉินเป็นเด็กกำพร้าที่บิดามารดาของเขาถูกสังหารโดยกองทัพของศัตรูในสงคราม ตั้งแต่แรกเกิดเขาไม่มีครอบครัวหรือเพื่อนและไม่เคยรู้จักอ้อมกอดอันอบอุ่นของครอบครัว แต่ตอนนี้พระเจ้าได้ทรงจัดสรรชีวิตที่ดีให้แก่เจี้ยนเฉิน เขาจะรักษาทะนุถนอมมันไว้อย่างแน่นอน และเจียงหยางหู่ก็คือบุคคลที่สำคัญที่สุดในชีวิตของเขารองลงมาเป็นอันดับสองหลังจากมารดาของเขา ไป๋หยุนเทียน ดังนั้นเมื่อเจี้ยนเฉินเห็นว่าเจียงหยางหู่ถูกทำร้ายจนอยู่ในสภาพเช่นนี้ จิตใจของเจี้ยนเฉินจึงเดือดดาลด้วยความโกรธแค้นที่ไม่เคยเกิดขึ้นมาก่อน สายตาของเขาในตอนนี้น่ากลัวมากจนสามารถสังหารคนได้

เมื่อเห็นเจี้ยนเฉินปรากฏตัวขึ้น เจียงหยางหู่ก็มองเขาด้วยท่าทางงุนงง อย่างไรก็ตามใบหน้าของเขาเปลี่ยนไปอีกครั้งเมื่อเขาพูดอย่างกระวนกระวาย ” น้องสี่ ทำไม..ทำไมเจ้าถึงมาอยู่ที่นี่ รีบหนีไป ! ออกไปให้พ้นจากตรงนี้ พวกเขากำลังตามมา ! ” เจียงหยางหู่ดูร้อนใจ เขาไม่ได้คิดว่าเขาจะเจอเจี้ยนเฉินที่นี่

แทนที่จะวิ่งไปข้างหน้า เจี้ยนเฉินกลับทำหน้าถมึงทึง เขาถามเบา ๆ ว่า ” พี่ใหญ่ ใครกันที่ทำร้ายท่านจนได้รับบาดเจ็บถึงเพียงนี้ ? ” ในน้ำเสียงของเขาเต็มไปด้วยความโกรธแค้น

มือของเจียงหยางหู่จับตัวเจี้ยนเฉินไว้แน่น เขาพูดต่อไปอย่างรีบเร่งว่า “น้องสี่ ไม่ต้องห่วงข้าและรีบหนีออกจากที่นี่ทันที ใช้เส้นทางหลังอ้อมกลับไปที่สำนัก ไม่เช่นนั้นพวกเขาจะเจอเจ้าแน่นอน” เขารู้ว่าพลังของเจี้ยนเฉินนั้นแข็งแกร่งมากเนื่องจากเขาสามารถจัดการกับเซียนขั้นกลางได้ แต่เจียงหยางหู่ก็ไม่คิดว่าเขาจะสามารถรับมือกับเซียนนับสิบคนได้ อีกทั้งยังมีเฉิงหมิงเซียงที่อยู่ในขั้นสูง

เจี้ยนเฉินไม่ยอมขยับไปไหนเหมือนรูปปั้นหินที่ไม่สามารถเคลื่อนไหวได้ เจียงหยางหู่พยายามผลักไสเขาแต่ไม่ได้ผล ด้วยสายตาที่เต็มเปี่ยมไปด้วยแรงอาฆาต เขาจ้องมองไปที่พุ่มไม้ รอให้ใครบางคนออกมา

ในที่สุดลูกศิษย์ที่ใส่เครื่องแบบสิบกว่าคนก็เดินเข้ามาในระยะสายตา โดยมีลั่วเจี้ยนและเฉิงหมิงเซียงเดินนำข้างหน้ากลุ่ม

เมื่อเฉิงหมิงเซียงและลั่วเจี้ยนเห็นเจี้ยนเฉิน พวกเขาก็รู้สึกตื่นเต้นมาก ลั่วเจี้ยนยิ้มกว้างพลางกล่าวว่า “เจียงหยางเซียงเทียน ในที่สุดเราก็เจอตัวเจ้าจนได้ เจ้าปล่อยให้ข้าสงสัยอยู่ตั้งนานว่าเจ้าไปมุดหัวอยู่ที่ไหน” โดยไม่จำเป็นต้องแนะนำตัว กลุ่มคนนั้นล้อมรอบเจี้ยนเฉินและพี่ชายของเขาเป็นวงกลมทันที

เจียงหยางหู่ตกใจที่เห็นว่าเขาและน้องชายของเขาถูกล้อมรอบ เขาไม่ได้พูดอะไรนอกจากถอนหายใจ

แม้กลุ่มคนที่ล้อมรอบจะหยิ่งผยอง เจี้ยนเฉินก็ไม่ได้มีสีหน้าหวาดกลัวเลยและยังคงสงบนิ่งอยู่ ราวกับว่าเขาไม่ได้สังเกตเห็นผู้คนมากมายที่อยู่รอบตัวเขาเลย

ใบหน้าของเจี้ยนเฉินแข็งกระด้างขณะที่ดวงตาของเขากวาดไปทั่วใบหน้าของผู้คนที่อยู่รอบตัวเขา บางคนมีสีหน้าตกใจกลัว พวกเขารู้สึกเย็นเยือกในใจราวกับว่าการจ้องมองของเจี้ยนเฉินเป็นกระบี่ที่เยือกเย็นซึ่งแทงทะลุจิตวิญญาณของพวกเขา

” ใครคือคนที่ทำร้ายพี่ชายของข้า ! ” เจี้ยนเฉินตะโกน “ก้าวออกมาข้างหน้าเดี๋ยวนี้ ! ” ทันใดนั้นมีพลังจำนวนมากถูกปล่อยขึ้นสู่อากาศ แม้จะมีกลุ่มคนนับสิบอยู่ตรงหน้า เจี้ยนเฉินก็ไม่หวาดหวั่นและเชิดหน้าของเขาขึ้นสูงเพื่อเป็นสัญลักษณ์ของความมุ่งมั่นที่จะไม่ยอมแพ้

คำสั่งอันทรงพลังของเจี้ยนเฉินนั้นมาพร้อมกับการปล่อยพลังปรานที่แข็งแกร่ง ทำให้พวกเขาทุกคนก้าวถอยหลังไปตามสัญชาตญาณ ท้ายที่สุดแล้วเจี้ยนเฉินก็กำลังเดือดพล่านไปด้วยความโกรธแค้นซึ่งเด็กที่ยังไม่สิ้นกลิ่นน้ำนมซึ่งยืนอยู่เบื้องหน้าเขา พวกเขาจะไม่สามารถยืนหยัดต่อสู้กับมันได้

เฉิงหมิงเซียงตระหนักว่าเจี้ยนเฉินข่มขู่เขาด้วยคำสั่ง เขาก็โกรธมาก เขาคิดว่าด้วยความแข็งแกร่งของพลังเซียนระดับสูง มันควรจะเป็นเขาที่เป็นคนข่มขู่ เขาไม่สามารถยอมรับผลลัพธ์ที่ตรงกันข้ามกันได้

” เจียงหยางเซียงเทียน เจ้ากำลังรนหาที่ตายตอนนี้ ! ” เฉิงหมิงเซียงส่งเสียงคำราม กระบี่สีแดงที่ลุกเป็นไฟปรากฏอยู่ในมือของเขา และเปล่งประกายสีแดงออกมาเมื่อมันพุ่งไปยังหน้าอกของเจี้ยนเฉิน

“ฮึ่ม ! ” เมื่อเห็นแสงกระบี่พุ่งเข้ามา สายตาของเจี้ยนเฉินก็เปล่งประกายออกมาด้วยความมุ่งมั่นอย่างแรงกล้า กระบี่วายุโปรยของเขาปรากฏขึ้นในมือขวาทันที เขาสกัดกั้นการแทงจากกระบี่อีกเล่มไว้ได้เร็วพอ ๆ กับสายฟ้า

“ดิ๊ง”

เสียงดังที่คมชัดดังขึ้นเมื่อกระบี่ทั้งสองปะทะกัน ปลายกระบี่ของทั้งสองกดทับกัน

เมื่อเห็นว่ากระบี่ทั้งสองปะทะกันอย่างไร ดวงตาของเฉิงหมิงเซียงก็เบิกกว้างด้วยความตกใจ เขาไม่อยากว่าจะเชื่อว่ามีเหตุการณ์เช่นนี้เกิดขึ้น แม้ว่าเจี้ยนเฉินจะเป็นคู่ต่อสู้ของเขา แต่การที่กระบี่สองเล่มบรรจบกันเมื่อนักกระบี่ทั้งคู่แทงออกมาพร้อมกัน มันไม่ใช่สิ่งที่บุคคลทั่วไปสามารถทำได้ โดยเฉพาะอย่างยิ่งเมื่อพิจารณาถึงความแตกต่างของขนาดระหว่างกระบี่ทั้งสอง และความเร็วที่พวกเขาแทงกระบี่ของพวกเขาไปข้างหน้า และการที่เขาสามารถทำสิ่งดังกล่าวอย่างไร้ที่ตินี่ไม่ใช่สัญญาณของคนอ่อนแอ มันบ่งบอกว่าการควบคุมอาวุธเซียนของบุคคลนั้นทำได้ดีกว่าอาวุธเซียนทั่วไป

อย่างไรก็ตามเจี้ยนเฉินเซียนมือใหม่กลับทำเช่นนั้นได้อย่างง่ายดาย สิ่งนี้ทำให้เฉิงหมิงเซียงแทบไม่อยากเชื่อสายตา เขาคิดว่านี่เป็นเรื่องบังเอิญ แต่เมื่อเขาเห็นใบหน้าอันสงบของเจี้ยนเฉิน หัวใจของเขาก็ขจัดความคิดฟุ้งซ่านในทันที

อีกสิ่งหนึ่งที่ทำให้เฉิงหมิงเซียงตกตะลึงคือกระบี่ในมือของเจี้ยนเฉิน เนื่องจากกระบี่นั้นเล็กมากเมื่อเปรียบเทียบกับกระบี่ของเขา เขาจึงคิดว่ามันเป็นเพียงเข็มชุนผ้า มันยาว 4 ฟุตและกว้าง 2 นิ้ว ดังนั้นมันจึงดูบอบบางในสายตาของเขา จนดูเหมือนว่าหากมีอาวุธที่แข็งแกร่งโจมตีมัน มันอาจหักเป็นสองท่อน

เฉิงหมิงเซียงสาบานได้ว่าตั้งแต่เกิดมา นี่เป็นครั้งแรกที่เขาเคยเห็นกระบี่เช่นนี้ ภายในทวีปเทียนหยวน เซียนทุกคนมีอาวุธเซียนซึ่งส่วนมากจะเป็นกระบี่ขนาดใหญ่ เพราะพวกเขาได้รวมพลังเซียนของพวกเขาไว้ในอาวุธหนักที่แข็งแกร่ง นี่เป็นความจริงที่ได้รับการยอมรับจากผู้บ่มเพาะเกือบทุกคน

ถ้ากระบี่ขนาดเล็กของเจี้ยนเฉินไม่สามารถสกัดกั้นการโจมตีของเฉิงหมิงเซียงได้ เขาคงได้เยาะเย้ยเจี้ยนเฉินไปแล้ว