ตอนที่ 62: ความแข็งแกร่งที่แท้จริง
ใบหน้าของเฉิงหมิงเซียงแข็งทื่อ ในครั้งนี้แม้ว่าคู่ต่อสู้เพิ่งจะตัดผ่านระดับเซียน,แต่เขาก็เผชิญหน้ากับคู่ต่อสู้อย่างจริงจังเป็นครั้งแรก
“เฉิงหมิงเซียง เจ้าทำร้ายพี่ชายของข้า อย่าคิดว่าตัวเองจะได้ออกจากที่นี่โดยปราศจากบาดแผล” เจี้ยนเฉินกล่าวอย่างเย็นชา
เฉิงหมิงเซียงยิ้มเยาะและพูดว่า “เจียงหยางเซียงเทียน ข้ายอมรับว่าข้าดูเบาเจ้าเกินไป แต่ถ้าเจ้าต้องการเอาชนะข้าด้วยระดับเซียนที่เจ้าเพิ่งตัดผ่าน มันคงจะเป็นไปไม่ได้”
เจี้ยนเฉินแสยะยิ้ม เขามองเฉิงหมิงเซียงด้วยความรังเกียจ ” เจ้าก็รอดูว่าข้าจะทำได้หรือไม่ ! ” เจี้ยนเฉินกระโจนไปข้างหน้า ข้อมือของเขาควบคุมกระบี่วายุโปรยและหลบหนีการตรึงกระบี่ของเฉิงหมิงเซียงโดยการกระแทกกับด้านข้างของกระบี่อย่างรุนแรง.
“เคร้ง !”
เมื่อเสียงของโลหะดังขึ้นในอากาศ กระบี่ของเฉิงหมิงเซียงก็ตกเป็นรองกระบี่วายุโปรย เจี้ยนเฉินฟันกระบี่ของเขาไปอย่างแรงจนแขนที่ถือกระบี่ของเฉิงหมิงเซียงชาด้วยความเจ็บปวด.
ในเวลาเดียวกัน เจี้ยนเฉินก็กระโดดขึ้นไปกลางอากาศ แล้วแทงกระบี่วายุโปรยเหมือนลำแสงสีเงินพุ่งเข้าหาหน้าอกของเฉิงหมิงเซียง
เฉิงหมิงเซียงเริ่มหน้าซีดด้วยความหวาดกลัว เจี้ยนเฉินรวดเร็วเกินไปสำหรับเขาที่จะตามทัน เขาตั้งตัวไม่ทันและทำได้เพียงมองดูเมื่อใบมีดสีเงินพุ่งเข้ามาทางเขาด้วยความเร็วที่นึกไม่ถึง เขาไม่สามารถตอบโต้หรือเคลื่อนไหวได้เลย
กระบี่วายุโปรยแทงทะลุเครื่องแบบของเฉิงหมิงเซียงและปักลงไปในอกของเขาทันที แต่ด้วยการควบคุมที่เหนือกว่าของเจี้ยนเฉินกระบี่ไม่ได้ปักลงลึกเกินไป
หลังจากรู้สึกเจ็บปวดอย่างรุนแรงที่หน้าอก เฉิงหมิงเซียงก็ถอยหนีทันที ทำให้กระบี่ของเจี้ยนเฉินถูกดึงออกมา
เฉิงหมิงเซียงมองลงไปที่เลือดซึ่งหยดลงบนเครื่องแบบของเขาด้วยสีหน้าหวาดกลัว ฉากเมื่อสักครู่ฉายซ้ำไปซ้ำมาในหัวของเขา เขาไม่สามารถหลบกระบี่ได้เลย ในชีวิตทั้งชีวิตของเขา เขาสามารถสาบานได้ว่านี่คือการฟันกระบี่ที่เร็วที่สุดที่เขาเคยเห็นมา เขาเริ่มรู้สึกหวาดกลัวต่อความแข็งแกร่งของเจี้ยนเฉิน แต่เขาก็ไม่เข้าใจว่าเซียนมือใหม่จะแข็งแกร่งถึงเพียงนี้ได้อย่างไร
เจี้ยนเฉินไม่ได้วางแผนที่จะปล่อยเขาไปอย่างง่ายดายเกินไป เขาใช้ย่างก้าวพริบตาทันที เขาพุ่งเข้าไปอีกครั้งเหมือนปีศาจที่ถูกครอบงำและมีแสงสีเงินวูบวาบ เขาใช้กระบี่ปักหน้าอกของเฉิงหมิงเซียงด้วยความเร็วสูง
“อ๊า !”
เฉิงหมิงเซียงตะโกนออกมาอย่างน่าสังเวชในขณะที่เขาเห็นเลือดพุ่งกระฉูดออกมาอีกครั้ง เลือดจากด้านซ้ายของหน้าอกเริ่มกระเด็นไปทางด้านขวา บาดแผลนั้นลึกจนสามารถมองเห็นกระดูกข้างใน ขณะที่เลือดในร่างกายของเขาฉีดพุ่งออกมาอย่างรุนแรง ทำให้เปื้อนครึ่งบนของเครื่องแบบทั้งหมด
ความโกรธเกรี้ยวในดวงตาของเจี้ยนเฉินไม่ได้จางหายไปเลยในขณะที่เขากวัดแกว่งกระบี่วายุโปรยหลังจากที่สร้างบาดแผลบนร่างของเฉิงหมิงเซียง
บาดแผลของเฉิงหมิงเซียงเพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่อง มันดูน่ากลัวกว่าแผลก่อนหน้านี้ในขณะที่มันลึกเข้าไปในร่างกาย ไม่เพียงแต่ร่างกายของเขาจะถูกหั่นบาง ๆ เท่านั้น แต่เครื่องแบบของเขาก็เริ่มขาดและผ้าที่เหลือก็กลายเป็นสีแดงในพริบตาต่อมา
เมื่อเห็นว่าสมาชิกที่แข็งแกร่งที่สุดของพวกเขา เฉิงหมิงเซียงดูไร้พลังเมื่อต่อกรกับเจี้ยนเฉิน ลูกศิษย์คนอื่น ๆ นับโหลจึงเงียบสนิทเหมือนท่อนไม้ เมื่อเห็นว่าเฉิงหมิงเซียงกำลังกรีดร้องอย่างไม่หยุดหย่อน สิ่งนี้ได้พลิกคว่ำสิ่งที่พวกเขาคิดเกี่ยวกับเฉิงหมิงเซียงอย่างสมบูรณ์ เมื่อพวกเขามองเฉิงหมิงเซียงด้วยสีหน้าตกตะลึง
ลั่วเจี้ยนตอบโต้เป็นคนแรก ถึงแม้เขาจะประหลาดใจกับการแสดงความแข็งแกร่งของเจี้ยนเฉิน แต่เขาก็มีสหายอีกอย่างน้อยสิบคนที่อยู่ในระดับเซียน เขาส่งเสียงขึ้นมาด้วยความกล้าหาญที่เพิ่มขึ้นอย่างมาก “ทุกคน เตรียมพร้อมโจมตี แม้ว่าเขาจะแข็งแกร่งแต่เขาก็ตัวคนเดียว เราจะกลัวเพียงแค่คนเพียงคนเดียวได้อย่างไร” ลั่วเจี้ยนยกกระบี่สีเขียวขึ้นมา เขากัดฟันและพุ่งเข้าหาเจี้ยนเฉิน
เมื่อได้ยินคำพูดของลั่วเจี้ยน ลูกศิษย์ต่างก็ตื่นตัว เมื่อมองหน้ากันเอง ความกลัวที่เจี้ยนเฉินฝังไว้ในใจของพวกเขาก็ถูกขับออกไปทันที ลูกศิษย์แต่ละคนพุ่งเข้าใส่เจี้ยนเฉินด้วยความเย่อหยิ่งพร้อมกับอาวุธ, กระบี่, มีด, และหอกในมือของตัวเอง
ดวงตาของเจี้ยนเฉินเปล่งประกายเมื่อเขามองผู้คนที่วิ่งเข้ามา เขาไม่ได้ถอยหนี เขาโจมตีโดยการใช้กระบี่วายุโปรยแทงเข้าไปในท้องของคนที่อยู่ใกล้ที่สุดทันที
“พัพ !”
กระบี่ของเจี้ยนเฉินไถลเข้าสู่ร่างกายของบรรดาศิษย์ได้อย่างง่ายดาย ลูกศิษย์เหล่านี้ไม่มีประสบการณ์การต่อสู้ ดังนั้นจึงไม่มีวิธีที่พวกเขาจะสามารถตอบโต้ได้
“อ๊า ! “
ไปตายซะ!
ในขณะนั้นเจี้ยนเฉินได้ถูกล้อมรอบแล้ว
เจี้ยนเฉินเยาะเย้ย กระบี่วายุโปรยเปล่งประกายเล็กน้อยเต็มไปด้วยปราณกระบี่อันทรงพลัง มือขวาของเจี้ยนเฉินกลายเป็นภาพพร่ามัว เนื่องจากกระบี่วายุโปรยดูเหมือนจะพุ่งทะลุทั้งสี่ทิศทางอย่างรวดเร็วดุจสายฟ้า ทุกครั้งที่เขากวัดแกว่งกระบี่ออกไป เขาสามารถปะทะอาวุธอื่นได้อย่างแม่นยำ หลังจากระยะเวลาอันสั้น เจี้ยนเฉินก็กวัดแกว่งกระบี่ของเขาออกไป 10 ครั้ง
” เคร้ง” ” เคร้ง !” “เคร้ง !”
เสียงโลหะปะทะกับโลหะดังขึ้น เสียงทั้งหมดรวมเข้าเป็นหนึ่งเดียวกัน
เมื่อกระบี่วายุโปรยในมือของเจี้ยนเฉินปะทะกับอาวุธเซียน ท่าทางของลูกศิษย์ที่เป็นเซียนขั้นกลางที่อยู่รอบ ๆ เปลี่ยนไปอย่างมาก พวกเขาถอยกลับ อาวุธเซียนในมือสั่นจากการปะทะกัน กระบี่ของเจี้ยนเฉินดูเหมือนจะเล็กมากแต่มันก็ซ่อนพลังรุนแรงไว้เบื้องหลัง หลังจากการปะทะกันครั้งเดียวด้วยกระบี่ อาวุธเซียนของทุกคนก็สั่นสะเทือนอย่างรุนแรงทำให้แขนของศิษย์เหล่านั้นชา
ในขณะที่ปิดกั้นการโจมตีทั้งหมด ท่าทีของเจี้ยนเฉินก็ไม่เปลี่ยนแปลง เขาไม่ได้หยุดการเคลื่อนไหวเลยและเท้าของเขาทิ้งร่องรอยไว้บนพื้นในขณะที่เขาใช้การเคลื่อนไหวเหมือนสัตว์ดุร้ายเพื่อพุ่งเข้าหากลุ่มคน กระบี่วายุโปรยในมือของเขากวัดไกวในอากาศด้วยความเร็วสูงกลายเป็นสีเงินเรืองแสง แสงทำให้มันดูเหมือนว่ามีภาพกระบี่หลายล้านภาพที่ค้างอยู่ในอากาศโดยที่มันหายไปในชั่วพริบตา
“อ๊า ! “
“อ๊า ! “
ด้วยการเคลื่อนไหวที่เหมือนสัตว์ดุร้าย เสียงโอดโอยจึงดังกระหึ่มดังขึ้นในอากาศ เสียงร้องโหยหวนทำให้คนที่มีจิตใจอ่อนแอกว่าหวาดกลัวอย่างแน่นอน ความเยือกเย็นจึงแผ่ซ่านไปทั่วผืนป่า
เจียงหยางหู่ที่มีเลือดปกคลุมยืนอยู่ด้านข้าง เขาจ้องมองการเคลื่อนไหวอยู่ตลอดเวลาราวกับปีศาจของเจี้ยนเฉินด้วยความมึนงง เจี้ยนเฉินกำลังทำให้ศิษย์หลายคนร้องด้วยความตกใจ ในขณะนี้ความคิดของเขาเริ่มหยุดชะงัก เขาสูญเสียความคิดของเขาไปโดยสิ้นเชิง
ในขณะนั้นศิษย์หลายสิบคนล้มลงไปกองกับพื้นแล้ว ใบหน้าที่ไร้ชีวิตชีวาของพวกเขาเต็มไปด้วยความเจ็บปวดและเครื่องแบบที่สะอาดและเรียบร้อยของพวกเขาถูกฉีกขาดไปทั่ว แต่ละรอยมีคราบเลือด ทำให้เครื่องแบบกลายเป็นสีแดงเข้ม ยิ่งไปกว่านั้นแสงสีขาวยังส่องประกายอยู่ทั่วร่างกาย เพิ่มบาดแผลบนร่างกายอย่างรวดเร็ว ตั้งแต่ลำตัวส่วนบนจนถึงขา ทั้งร่างมีบาดแผลที่น่ากลัว เลือดจากบาดแผลไหลราวแม่น้ำ ร่างของแต่ละคนมีชุ่มไปด้วยเลือด
เจี้ยนเฉินล้อมรอบศิษย์เหล่านั้นเป็นวงกลมด้วยความเร็วสูง กระบี่วายุโปรยในมือของเจี้ยนเฉินเฉือนร่างกายของพวกเขาอย่างต่อเนื่อง ทำให้เลือดกระเด็นและเสื้อผ้าที่ฉีกขาดลอยออกไปในอากาศ
อาการบาดเจ็บของเจียงหยางหู่ส่งผลต่ออารมณ์ของเจี้ยนเฉินเป็นอย่างมาก เจี้ยนเฉินยังไม่ได้สังหารใครแต่เขาจะไม่ยอมเบามือกับศิษย์เหล่านี้แน่ ถ้าคนเหล่านี้ไม่ได้เข้าเรียนในสำนักเดียวกันกับเจี้ยนเฉิน และถ้าเจี้ยนเฉินไม่กังวลเกี่ยวกับการสร้างเรื่องบาดหมางกับตระกูลของพวกเขา เขาคงจบชีวิตของคนเหล่านี้โดยไม่ลังเล
” เจียงหยางเซียงเทียน โปรดเมตตาเราด้วย ได้โปรดเมตตาพวกเราด้วย เราจะไม่กล้าทำแบบนี้อีกแล้ว”
” ท่านเจียงหยางเซียงเทียน โปรดปล่อยเราไปไปคราวนี้ เราจะไม่ทำอีกแล้ว “
ในที่สุดคนที่ไม่สามารถทนทรมานได้อีกต่อไปเริ่มร้องขอความเมตตา ทันทีที่คนแรกเริ่มร้องขอความเมตตา คนอื่น ๆ ทั้งหมดก็เริ่มร้องขอชีวิตของพวกเขาเช่นกัน อย่างไรก็ตามคนที่มีอารมณ์แปรปรวนบางคนยังคงกัดฟันและรั้งตัวเองไว้ พวกเขาคิดที่จะวิ่งหนีแต่ทั้งขาและแขนของพวกเขามีบาดแผลที่น่าสยดสยอง การเคลื่อนไหวเพียงเล็กน้อยทำให้พวกเขาต้องกัดฟันด้วยความเจ็บปวด ไม่มีทางที่พวกเขาจะวิ่งหนีได้เพราะพวกเขาไม่สามารถทนต่อความเจ็บปวดที่รุนแรงเช่นนี้ได้เลย
เจี้ยนเฉินหยุดการเคลื่อนไหว ท่าทางของเขาเย็นชาและไม่แยแส สีหน้าของเขาสงบมากอีกทั้งเขายังหายใจตามปกติ เขาถือกระบี่วายุโปรยที่กำลังมีเลือดหยดลงมา
ร่างของเจี้ยนเฉินสูงและเหยียดตรงราวกับอยู่บนภูเขา เขายืนนิ่งไม่ไหวติง ดวงตาของเขาส่องประกายเย็นชาราวกับว่ามันสามารถทะลุจิตวิญญาณของคนได้ เขาค่อย ๆ กวาดสายตามองไปทั่วศิษย์หลายคนที่กำลังนอนซมอยู่บนพื้นและพูดว่า “ข้าจะปล่อยพวกเจ้าไป แต่พวกเจ้าต้องตอบคำถามข้ามาว่าใครทำร้ายพี่ชายของข้า”
“นายน้อยเฉิง, ลั่วเจี้ยน, และกาดิหยุนเป็นคนทำ …”
“ใช่แล้ว สามคนนั้นทำร้ายเจียงหยางหู่..”
“ทั้งสามทำให้เจียงหยางหู่บาดเจ็บ เราไม่ได้ทำอะไรเลย”
เหล่าลูกศิษย์พยายามดิ้นรนที่จะพูดแก้ตัวก่อน พวกเขากลัวว่าถ้าพวกเขาตอบช้าไปเจี้ยนเฉินจะไม่พอใจ ในตอนนี้พวกเขาละทิ้งความคิดที่จะทำร้ายเจี้ยนเฉินและเสียใจอย่างสุดซึ้งกับการกระทำของตัวเอง
ในบรรดาคนเหล่านั้น ครึ่งหนึ่งเป็นพวกที่เจี้ยนเฉินเอาแกนอสูรของพวกเขาไปในป่า อีกครึ่งหนึ่งไม่ได้มีเรื่องบาดหมางกับเจี้ยนเฉิน เฉิงหมิงเซียงเรียกตัวพวกเขามาเอง
ดวงตาของเจี้ยนเฉินทอประกายโหดเหี้ยม เขาจ้องเขม็งไปที่เฉิงหมิงเซียง, ลั่วเจี้ยน, และกาดิหยุนอย่างเห็นได้ชัดถึงความอำมหิตในแววตาของเขา
ภายใต้การจ้องมองของเจียนนเฉิน เฉิงหมิงเซียงและอีกสองคนรู้สึกหนาวเหน็บใจ และทุกคนแสดงความหวาดกลัว