ตอนที่ 63: ตัดแขน.
“เจียงหยางเซียงเทียน เจ้า..เจ้ากำลังคิดจะทำอะไร? ปล่อยพวกเราไปเดี๋ยวนี้ ลืมเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นวันนี้ซะ ไม่งั้นเจ้ารอให้สำนักหัวหยุนมาแก้แค้นได้เลย ” เฉิงหมิงเซียงพูดอย่างโหดเหี้ยม แม้แต่คนโง่ก็มองออกว่าเจี้ยนเฉินไม่ได้คิดที่จะปล่อยพวกเขาไปง่าย ๆ ตอนนี้เฉิงหมิงเซียงไม่ต้องการอะไรอย่างอื่นนอกจากเสียจากการได้ออกไปจากที่นี่และวางแผนกลับมาแก้แค้นทีหลัง
เจี้ยนเฉินยิ้มเยาะ ปล่อยเจ้าไปรึ ? มันจะไม่ง่ายเช่นนั้นหรอก”
เมื่อได้ยินเช่นนั้นเฉิงหมิงเซียงและอีกสองคนก็หน้าเสีย กาดิหยุนพูดด้วยน้ำเสียงเศร้าโศก “เจียงหยางเซียงเทียน เราอาจทำร้ายพี่ชายของเจ้า แต่ตอนนี้เจ้าก็ได้ทำให้พวกเรารับบาดเจ็บ เราควรลืมเรื่องที่ผ่านมา”
เจี้ยนเฉินเดินไปหาทั้งสามอย่างช้า ๆ กระบี่วายุโปรยของเขาปล่อยพลังปราณออกมาอย่างต่อเนื่อง สามคนมองไปที่กระบี่ ราวกับว่ามันห่อหุ้มตัวเองอย่างช้า ๆ ด้วยแสงสีเงินสว่าง
“ลืมเรื่องที่ผ่านมาหรือ ? มันควรง่ายขนาดนั้นเลยหรือ ? วันนี้ข้าจะแค่ตัดแขนของพวกเจ้าทิ้ง หากมีวันหน้า พวกเจ้าคงไม่มีชีวิตรอดกลับไป”
เจี้ยนเฉินเดินทางมาถึงด้านหน้าของกาดิหยุนแล้ว กระบี่วายุโปรยก็พุ่งลงมาในแนวโค้งราวกับสายฟ้าสีเงินพุ่งเข้าหาไหล่ของกาดิหยุน
“อ๊า …”
กาดิหยุนส่งเสียงกรีดร้องดังลั่น ใบหน้าของเขาบ่งบอกถึงความเจ็บปวดอย่างรุนแรง เขาหน้าซีดเผือด เลือดพุ่งออกมาจากจากไหล่ของแขนขวา มันตกลงมาบนพื้นดินอย่างไร้ค่า
เจี้ยนเฉินตัดแขนขวาของกาดิหยุน
ใบหน้าของเฉิงหมิงเซียงและลั่วเจี้ยนเปลี่ยนไปทันที พวกเขาเฝ้าดูในสภาพที่ตัวสั่น พวกเขามองแขนที่ถูกตัดออกอย่างโหดเหี้ยม แล้วจากนั้นเสียงกรีดร้องของกาดิหยุนทำให้พวกเขาหน้าซีด
ศิษย์คนอื่น ๆ อีกสิบคนมองเจี้ยนเฉินด้วยความกลัว การกระทำแบบนี้เป็นสิ่งที่พวกเขาไม่คาดหวังว่าจะได้เห็น ใครจะรู้ว่าเขาเป็นคนไร้ความปราณีและสามารถตัดแขนใครบางคนอย่างโหดเหี้ยมโดยไม่ลังเล ? การกระทำที่โหดร้ายนี้ทำให้พวกเขาวิตกกังวลและหวาดกลัวอย่างมาก แต่มีประกายแห่งความหวังเล็ก ๆ พวกเขาโชคดีที่ไม่ได้ทำร้ายเจียงหยางหู่ หากไม่ใช่เพราะความจริงนี้ ไม่สงสัยเลยว่าพวกเขาต้องมีชะตากรรมเจ่นเดียวกับลั่วเจี้ยน, เฉิงหมิงเซียงและกาดิหยุนในการสูญเสียแขน
เจี้ยนเฉินทำราวกับว่าเหตุการณ์ตรงหน้ามันเป็นเรื่องเล็กน้อย ใบหน้าของเขาไม่เปิดเผยอารมณ์ใด ๆ ในระหว่างการกระทำที่รุนแรง ไม่ว่าจะเป็นเลือดที่สาดกระเซ็นบนพื้นดินหรือเสียงกรีดร้องอันเจ็บปวดของกาดิหยุนก็ไม่มีผลกับเขา เขามองลั่วเจี้ยนและเดินเข้าไปใกล้เขาด้วยกระบี่ที่เปียกชุ่มไปด้วยเลือด
ขณะที่เจี้ยนเฉินเดินเข้าไป ใบหน้าของลั่วเจี้ยนก็เต็มไปด้วยความกลัว เขาไม่สนใจความเจ็บปวดจากบาดแผล เขาเริ่มคลานถอยหนีเจี้ยนเฉินอย่างช้า ๆ เหมือนหอยทากที่คืบคลานขณะที่ร้องตะโกนว่า เจียงหยางเซียงเทียน … เจ้ากำลังทำจะอะไร ? อย่า..อย่าเข้ามาใกล้ ! “
เจี้ยนเฉินยังคงเดินช้า ๆ ไปหาลั่วเจี้ยน ด้วยสายตาที่จ้องมองอย่างเย็นชาไร้ความเมตตา เขาค่อย ๆ ยกกระบี่วายุโปรยขึ้นมา
เมื่อลั่วเจี้ยนเห็นเจี้ยนเฉินยกกระบี่สีเงิน เขาก็ยิ่งหวาดกลัวมากขึ้น เขาทิ้งท่าทางหยิ่งยโสและเริ่มวิงวอนต่อเขาว่า “เจียงหยางเซียงเทียน ได้โปรด..ข้าขอร้องเจ้า..ได้โปรดอย่าตัดแขนของข้า ถ้าเจ้าปล่อยข้าไป ข้า ลั่วเจี้ยน ขอสาบานว่าข้าจะตอบแทนเจ้าอย่างแน่นอน”
เจี้ยนเฉินไม่แสดงท่าทีว่าจะหยุด เขาแกว่งกระบี่กลายเป็นแสงสีเงินโค้งอีกครั้งหนึ่ง เขาตัดแขนของลั่วเจี้ยนอย่างรวดเร็วภายใต้สายตาที่ไม่เชื่อของเจ้าของ
“อ๊า ! “
ลั่วเจี้ยนส่งเสียงกรีดร้องอันน่าสะพรึงกลัว แขนขวาของเขาถูกแยกออกจากไหล่ ทำให้เลือดพุ่งกระจายไปทั่วพื้น
” เจียงหยางเซียงเทียน ข้าจะไม่ปล่อยเจ้าไป..” ลั่วเจี้ยนมีสีหน้าฉุนเฉียวในขณะที่เขาส่งเสียงคำรามด้วยความโกรธ ดวงตาของเขาแดงก่ำเมื่อเขาจ้องมองเจี้ยนเฉินด้วยความเกลียดชังที่รุนแรง
เจี้ยนเฉินไม่สนใจเสียงร้องของลั่วเจี้ยนและเดินไปหาเฉิงหมิงเซียงแทน
ใบหน้าของเฉิงหมิงเซียงยังคงเป็นสีขาวซีด มีเพียงความเสียใจเพียงอย่างเดียวในใจเมื่อเขาตระหนักว่าตัวเองอ่อนแอกว่าเจี้ยนเฉิน หากไม่ใช่เพราะความจริงที่ว่าเขามีพรรคพวกสิบคนในระดับเซียน เขาคงไม่ถูกบีบบังคับให้อยู่ในสถานการณ์ที่ลำบากเช่นนี้
เมื่อเห็นสิ่งที่เกิดขึ้นกับลั่วเจี้ยน เฉิงหมิงเซียงไม่สามารถระงับความรู้สึกหวาดกลัวในหัวใจขณะที่เขาพยายามสงบจิตใจลง ” เจียงหยางเซียงเทียน ถ้าเจ้าไม่ต้องการนำหายนะมาสู่..”
เมื่อได้ยินคำพูดของเฉิงหมิงเซียงทำให้เกิดปฏิกิริยาตอบโต้จากเจี้ยนเฉินทันที แสงจ้าปรากฏขึ้นบนดวงตาของเขาขณะที่เขาพุ่งไปข้างหน้าเข้าหาเฉิงหมิงเซียง ก่อนที่เขาจะสามารถพูดจบประโยค เจี้ยนเฉินได้ตัดแขนขวาของเขาไปแล้ว
เฉิงหมิงเซียงหยุดตะโกน ใบหน้าของเขาเต็มไปด้วยความเจ็บปวด เขาไม่เหมือนกาดิหยุนหรือลั่วเจี้ยนที่กรีดร้อง เสียงกรีดร้องด้วยความเจ็บปวดได้ถูกระงับไว้ในลำคอของเขา แต่ใบหน้าของเขายังคงบิดเบี้ยวไปกับการแสดงออกที่แตกต่างกัน ดูเหมือนว่าความเจ็บปวดของเขาจะมากกว่าอีกสองคน
เจี้ยนเฉินมองทั้งสามคนด้วยสายตาที่ไม่แยแสและเขาก็พูดอย่างเย็นชาว่า วันนี้ข้าตัดแขนของพวกเจ้า ครั้งต่อไป ข้าจะไม่ไว้ชีวิตของพวกเจ้าแน่ อย่าคิดว่าข้าแค่ขู่ ข้าเป็นคนรักษาคำพูด” ดวงตาของเจี้ยนเฉินมองไปที่ศิษย์คนอื่น
ขณะที่เขามองศิษย์แต่ละคน พวกเขารีบหลบสายตาและจ้องมองลงไปที่พื้นด้วยความกลัว เมื่อใดก็ตามที่เจี้ยนเฉินมองพวกเขาด้วยกระบี่ที่เปื้อนเลือด ไม่มีใครคิดที่จะพยายามตอบโต้เลย
เจี้ยนเฉินมองกระบี่วายุโปรย เขาคิดครู่หนึ่ง หลังจากนั้นเขาจึงถือกระบี่หันลงไปที่พื้น เลือดทั้งหมดที่สะสมอยู่บนกระบี่เริ่มไหลไปที่ปลายกระบี่แล้วค่อย ๆ หยดลงบนพื้นดินที่มีฝุ่นละอองช้า ๆ ทำให้กระบี่วายุโปรยกลับมาส่องแสงระยิบระยับเปล่งประกายอีกครั้ง
เมื่อกระบี่วายุโปรยสะอาด เจี้ยนเฉินก็กลับไปยังเจียงหยางหู่ หลังจากที่ได้เห็นพี่ชายที่โชกเลือด ความเย็นชาในสายตาของเจี้ยนเฉินค่อย ๆ อ่อนลง เขาพูดด้วยความกังวลว่า” พี่ใหญ่ กลับกันเถอะ”
เจียงหยางหู่พยักหน้าอย่างตกตะลึง ตอนนี้ตาของเขาเบิกกว้างหลังจากจ้องมองการต่อสู้ทั้งหมดที่เพิ่งเกิดขึ้น เขาได้เห็นชัยชนะของเจี้ยนเฉินด้วยสายตาที่ไม่อยากจะเชื่อในสิ่งที่เห็น
เจี้ยนเฉินยื่นมือไปทางเจียงหยางหู่ที่โชกเลือดและทั้งคู่ก็หันหลังกลับ เดินกลับไปที่หอพักทางถนนที่เงียบสงบ แต่อย่างไรก็ตามทั้งคู่ก็ยังเห็นผู้คนจำนวนมากพอที่จะกระจายข่าวไปทั่วสำนักว่าเจียงหยางหู่ได้รับบาดเจ็บอย่างหนัก
ไม่นานหลังจากที่เจี้ยนเฉินกลับไปที่ห้อง ศิษย์ที่อยู่ในป่าก็ช่วยทั้งสามคนที่บาดเจ็บและเริ่มเดินไปเรื่อย ๆ จนถึงสำนัก ช่วงเวลาที่พวกเขามาถึง ทุกคนต่างตกตะลึง โดยเฉพาะอย่างยิ่งเมื่อได้เห็นศิษย์สามคนแขนขาด ไม่มีใครเชื่อสายตาตัวเอง
ข่าวของศิษย์ที่ได้รับบาดเจ็บแพร่กระจายทั่วสำนักเหมือนการจุดกองฟาง ข่าวดังกล่าวแพร่กระจายไปยังอาจารย์ ซึ่งเขารีบรายงานรองอาจารย์ใหญ่ไป่เอินทันที เมื่อไป่เอินได้ยินว่าเฉิงหมิงเซียง, ลั่วเจี้ยนและกาดิหยุนถูกตัดแขน เขาจึงได้ให้ความสำคัญเป็นพิเศษกับเรื่องนี้และส่งพวกเขาไปหาหมอของสำนักทันที
ขณะที่ไป่เอินมาถึงห้องรักษาของสำนัก กลุ่มคนจำนวนมากได้รวมตัวกันที่ด้านนอก พวกเขามารอฟังข่าวและส่งเสียงดังอื้ออึง
รองอาจารย์ใหญ่จางไป่เอินผลักเหล่าศิษย์ออกไปและเดินเบียดเสียดเข้าไปในห้องรักษาเพื่อดูสถานการณ์ มีศิษย์ที่เลือดท่วมนับสิบคนนอนอยู่บนแคร่ ตรงกลางห้องมีชายวัยกลางคน 2 คนและมีผู้หญิงกำลังยืนปิดตาอยู่ พวกเขาวางมือด้านบนศิษย์ทั้งสามคน เปล่งแสงสีขาวน้ำนมจากมือของพวกเขาให้ส่องไปทางศิษย์เหล่านั้น
แสงไฟสีขาวน้ำนมปกคลุมไปด้วยบาดแผลที่น่ากลัวของนักเรียนทั้งสามคน มันปิดบาดแผลอย่างรวดเร็ว การรักษานั้นเป็นไปอย่างรวดเร็วอย่างไม่อาจหยั่งรู้ และภายในระยะเวลาอันสั้น บาดแผลของศิษย์ทั้งสามก็หายไปอย่างไร้ร่องรอย
เมื่อบาดแผลหายไป สีหน้าของทั้งสามคนก็เปลี่ยนไปอย่างชัดเจน ตอนนี้พวกเขาไม่แสดงสีหน้าที่บ่งบอกถึงความเจ็บปวด ในทางตรงกันข้ามพวกเขาดูผ่อนคลายมากขึ้น ในเวลาเดียวกันสามารถเห็นร่องรอยของความตกใจลึกลงไปในดวงตา
หลังจากรักษาศิษย์ทั้งสามคน ชายสองคนและหญิงหนึ่งคนก็คำนับไป่เอิน หลังจากนั้นพวกเขาจึงรักษาศิษย์ที่เหลืออีกสิบคนหรือมากกว่านั้นที่นอนอยู่ตรงกลางห้อง
รองอาจารย์ใหญ่มีสีหน้าวิตกกังวลในขณะที่สายตาของเขากวาดไปทั่วศิษย์นับสิบ เขาจ้องมองเฉิงหมิงเซียงและอีกสองคนที่เสียแขนขวาเป็นเวลานาน ท่าทีของเขาเปลี่ยนไปเมื่อเขาแผดเสียงว่า” เกิดอะไรขึ้นที่นี่ ? ใครทำให้พวกเจ้าบาดเจ็บถึงขั้นนี้ ? เป็นคนร้ายต่างเมืองหรือ? หืมม พวกเขาไม่รู้หรือว่าทุกอย่างภายในขอบเขต 100 กม. นี้เป็นอาณาเขตของสำนักคากัต? แค่คิดว่ามีคนกล้าเข้ามาในสำนักคากัตและทำร้ายศิษย์ที่นี่ มันช่างกล้าดีมาก” ไป่เอินโกรธเป็นฟืนเป็นไฟ เห็นได้ชัดว่าเขาคิดว่าเฉิงหมิงเซียงและศิษย์อีกสิบกว่าคนได้รับบาดเจ็บจากคนนอก
“รองอาจารย์ใหญ่ นี่เป็นฝีมือของเจียงหยางเซียงเทียน เขาทำร้ายเรา” ศิษย์คนหนึ่งพูดออกมาอย่างอ่อนแรง
” ใช่แล้ว รองอาจารย์ใหญ่ ท่านต้องเรียกร้องความยุติธรรมให้กับเรา เจียงหยางเซียงเทียนไม่เพียงแต่ทำให้เราบาดเจ็บ เขายังตัดแขนของนายน้อยเฉิงและอีก 2 คน..”
” รองอาจารย์ใหญ่…”
ไป่เอินตกตะลึงกับเสียงเหล่านั้น เขาไม่อยากจะเชื่อ ในบรรดาศิษย์เหล่านี้คนที่อ่อนแอที่สุดคือเซียนขั้นต่ำ บางคนคือเซียนขั้นกลาง และบางคนคือเซียนขั้นสูง แม้ว่าพวกเขาจะพบกับเซียนขั้นสูง พวกเขาก็น่าจะสามารถเอาชนะเขาได้อย่างแน่นอน เขาไม่อยากจะเชื่อเลยจริง ๆ ว่าน้องใหม่ที่เพิ่งตัดผ่านระดับเซียนเมื่อไม่กี่วันก่อนทำร้ายศิษย์หลายคน ไป่เอินไม่อยากจะยอมรับความจริงนี้เลย
หลังจากได้รับการยืนยันสิ่งที่เกิดขึ้น ไป่เอินมีสีหน้าเคร่งเครียด จิตใจของเขาหนักอึ้ง เขามองหาอาจารย์ใหญ่ทันที สิ่งที่เกิดขึ้นที่นี่ซับซ้อนเกินกว่าที่ไป่เอินจะแก้ไขได้
หลังจากที่ไป่เอินเล่าถึงสถานการณ์ทั้งหมดให้กับอาจารย์ใหญ่ฟัง อาจารย์ใหญ่ถึงกับตกตะลึง เขาลุกพรวดจากเก้าอี้ด้วยท่าทางตกใจและพูดว่า “อะไรนะ ? ที่เจ้าพูดมามันจริงรึ? เฉิงหมิงเซียง, ลั่วเจี้ยนและกาดิหยุนถูกเจียงหยางหมิงเซียงตัดแขนจริง ๆ หรือ ? “
” ขอรับ อาจารย์ใหญ่ ข้าไปเห็นมาด้วยตาของตัวเองแล้ว แขนของทั้งสามถูกตัดออกไปจริง ๆ ” ไป่เอินกล่าวอย่างเคร่งขรึม
” อ้า..” อาจารย์ใหญ่ถอนหายใจอย่างหนักและพูดว่า “คราวนี้สถานการณ์แย่มาก..เจียงหยางเซียงเทียนคนนี้บ้าบิ่นเกินไป กาดิหยุนและลั่วเจี้ยนนั้นคงไม่มีปัญหาอะไร แต่ตระกูลเจียงหยางจะรับมือกับสำนักหัวหยุนไหวรึ ? “
“อาจารย์ใหญ่ แล้วเราควรทำเช่นไรดี ? ในอาณาจักรเกอซุนของเรา ไม่ใช่จะหาอัจฉริยะเช่นเจียงหยางเซียงเทียนได้ง่าย ๆ เราไม่สามารถยืนนิ่งเฉยดูอัจฉริยะที่ไร้ขีดจำกัดตายต่อหน้าต่อตาโดยที่เขายังไม่เติบโตได้ มิฉะนั้นสิ่งนี้จะเป็นการสูญเสียครั้งใหญ่มากสำหรับอาณาจักรเกอซุน” รองอาจารย์ใหญ่ไป่เอินกล่าวด้วยน้ำเสียงที่หนักใจ