บทที่ 101 ฮวาเยี่ยนอู่

คนใสซื่ออย่างข้ามีเมตตาจะตาย

กบตัวยักษ์พลันหายไปจากที่เดิม บนพื้นเหลือเพียงรองเท้าที่ถูกพิษกัดกร่อนคู่หนึ่ง

เรื่องราวเกิดขึ้นอย่างกะทันหันเกินไป ผู้บำเพ็ญเซียนรอบด้านรู้กันหมดแล้ว ว่าที่นี่มีคนซ่อนกายได้ ผู้บำเพ็ญเซียนโลกหนานซานบางคนกำลังมาที่นี่ เคยเห็นจินเฟยเหยาพาพั่งจื่อนั่งกินอาหารบนพรมบิน เมื่อครู่เห็นกบหายไป ก็รู้ว่าคนที่ซ่อนกายเป็นคนของโลกหนานซาน

ส่วนผู้บำเพ็ญเซียนโลกเซียวไท่ไม่รู้ว่าคนผู้นี้เป็นศัตรูหรือเป็นมิตร กลัวว่าจินเฟยเหยาจะลอบกัด ทางหนึ่งรับมือคู่ต่อสู้ อีกทางหนึ่งดึงการรับรู้และพลังมาสังเกตดูรอบด้านป้องกันคนผู้นี้ลอบโจมตี เช่นนี้แล้ว ผู้บำเพ็ญเซียนโลกหนานซานบนศิลาลอยได้ก็ไม่ต้องแบ่งแยกสมาธิ เป็นฝ่ายมีเปรียบอย่างช้าๆ

จินเฟยเหยาไม่มีเวลาว่างไปลอบกัดผู้บำเพ็ญเซียนโลกเซียวไท่ ยามนี้นางกำลังซ่อนตัวอยู่หลังศิลาก้อนหนึ่ง นำน้ำออกมาล้างเท้าทั้งคู่ น้ำพิษของพั่งจื่อร้ายกาจจริงๆ ตอนนั้นนางยกเท้าขึ้นเตะพั่งจื่อออกไป รองเท้าถูกกัดกร่อนทันที ยังดีที่รองเท้าที่นางสวมเป็นรองเท้าเวทชั้นกลาง ถ้าเป็นรองเท้าธรรมดา เกรงว่าพอสัมผัสโดนน้ำพิษก็กลายเป็นเถ้าไป

แม้แต่จินเฟยเหยาที่มีร่างกายแข็งแกร่ง หนังหนากว่ามุมกำแพงเมือง ก็ถูกน้ำพิษของพั่งจื่อทำให้หนังเท้าหลุดออกมา บนเท้าทั้งปวดแสบปวดร้อน หลังจากนางเตะพั่งจื่อ ก็ใช้ออกด้วยไฟนรกที่ทั้งดุร้ายทั้งแข็งแกร่ง เนื่องจากเท้าเหยียบบนน้ำพิษล้วนๆ เกิดควันดังชี่ๆ ไม่ว่าใครก็ทานทนไม่ได้ ย่อมต้องอยากรีบกำจัดคู่ต่อสู้โดยเร็ว

มือหนึ่งจัดการคู่ต่อสู้ อีกมือหนึ่งนางรีบถอดรองเท้าออกมาโยนทิ้ง เท้าที่เตะพั่งจื่อเป็นเท้าซ้าย ตอนร่อนลงเท้าขวาก็เหยียบลงในน้ำพิษของพั่งจื่อที่หยดลงมา ต้องโยนรองเท้าทิ้งหมดทั้งสองข้างพอดี นางค้นในกระเป๋าเก็บของ นึกถึงว่าตนเองไม่ได้พกรองเท้ามาเหลือเฟือ รองเท้าเวทเช่นนี้ สวมใส่นานปีก็ไม่ชำรุด นางเตรียมทุกอย่างมาพร้อม แต่ไม่ได้นึกว่าต้องพกรองเท้ามาด้วย

จินเฟยเหยาตะลึงงัน ได้แต่ค้นหาหนังสัตว์ที่ทนทานออกมาชิ้นหนึ่ง ฉีกเป็นเส้นพันบนเท้า แค่หุ้มตรงหนังที่หลุดไว้ ตรงที่อื่นๆ ต่อให้นางเหยียบโดนมีด ก็ไม่ได้รับบาดเจ็บ

นางพันหนังสัตว์พลางถ่ายทอดเสียงบอกพั่งจื่อ “ข้าว่านะพั่งจื่อ น้ำพิษของเจ้าร้ายกาจจริงๆ ขนาดข้าเปื้อนนิดเดียวหนังยังหลุดมาชั้นหนึ่งเลย”

รอจนนางพันหนังสัตว์เสร็จ พั่งจื่อ ที่อยู่ในกระเป๋าสัตว์ภูติก็ไม่ส่งเสียงสักแอะ จินเฟยเหยาตระหนักได้ว่าอารมณ์ของมันดูเหมือนไม่ถูกต้อง นึกว่ามันไม่พอใจเนื่องจากเข้าไปในกระเป๋าสัตว์ภูติ จึงเอ่ยจากใจจริง “ปกติให้เจ้าฝึกบำเพ็ญ เจ้าก็แอบเกียจคร้าน ตอนนี้คนที่ย่ำแย่ที่สุดข้างนอกล้วนเป็นผู้บำเพ็ญเซียนขั้นสร้างฐาน อย่างน้อยเจ้าต้องบรรลุขั้นสามจึงสามารถออกมาต้านทานได้ ตอนนี้เจ้าก็รู้สึกผิดหน่อย ข้าจะเปลี่ยนให้เจ้าอยู่ในอ่างมายาจิ่งเทียนแทน รอจนปลอดภัยข้าจะปล่อยเจ้าออกมา เจ้าอยากจะเล่นอะไรก็เล่นไป”

“อ๊บ…” พั่งจื่อในถุงสัตว์ภูติร้องเสียงเบาราวกับยุง

จินเฟยเหยาได้ยินไม่ชัด หลังจากตะลึงงัน จึงเอ่ยถาม “เจ้าว่าอะไรนะ? ข้าได้ยินไม่ชัด พูดดังๆ อีกรอบหนึ่งสิ”

“อ๊บ!” พั่งจื่อคำรามลั่นอย่างไม่พอใจ

“หา? ที่แท้เจ้าไม่สบายใจเพราะเรื่องนี้” หลังได้ยินเสียงของพั่งจื่อชัดเจน จินเฟยเหยาก็ปิดปากหัวเราะ

ที่แท้ความหยิ่งในศักดิ์ศรีของพั่งจื่อถูกทำร้ายเนื่องจากการแสดงออกอันไร้ความสามารถเมื่อครู่ ดังนั้นจึงเศร้าซึมอย่างยิ่ง จินเฟยเหยาฉวยโอกาสนี้เตรียมสั่งสอนมันสักครา “พั่งจื่อ เจ้ามีจิตใจเช่นนี้เป็นเรื่องดี ทว่าจะหน้าม่อยคอตกตลอดไปไม่ได้ ต้องพยายามทำจิตใจให้ร่าเริง ครั้งที่แล้วข้าซื้อยาสัตว์ภูติให้พวกเจ้า เจ้าก็ไม่กินสักนิด การฝึกบำเพ็ญของสัตว์ภูติจำเป็นต้องใช้ความพยายามของเจ้าเอง ต่อไปเจ้าตั้งใจฝึกฝนให้ดี เลื่อนขั้นจนร้ายกาจ ถึงตอนนั้นคิดจะทุบตีผู้บำเพ็ญเซียนคนใดก็ได้ ทำให้ชื่อเสียงของไท่จื่อโซ่วเลื่องลือออกไป ทำให้คนที่ได้ยินชื่อของเจ้าประหวั่นพรั่นพรึง”

ฟังคำหลอกล่อของจินเฟยเหยา พั่งจื่อมีความมั่นใจมากขึ้น สภาพจิตใจก็ดีขึ้น

จินเฟยเหยาฉวยโอกาสที่มันอารมณ์ดีขึ้น ย้ายมันไปไว้ในอ่างมายาจิ่งเทียน แล้วโยนกระเป๋าเก็บของที่บรรจุยาสัตว์ภูติเข้าไป สั่งให้มันตั้งใจฝึกบำเพ็ญ ไม่ต้องสนใจเรื่องภายนอก เอ่ยจบนางก็สำนึกเสียใจ เจ้าเนรคุณพั่งจื่อจะเป็นห่วงเรื่องภายนอกได้อย่างไร

จัดการพั่งจื่อเสร็จ จินเฟยเหยาก็ยื่นศีรษะออกมาจากด้านหลังศิลา มองไปรอบด้าน เห็นผู้บำเพ็ญเซียนโลกหนานซานกำลังต่อสู้อย่างสุดความสามารถ นางรู้สึกว่าตนเองใช่สมควรไปช่วยเหลือหรือไม่ ถ้าผู้บำเพ็ญเซียนโลกหนานซานตายหมด ตนเองคนเดียวคงหนีไม่รอด

นางครุ่นคิด ตัดสินใจช่วยเหลือผู้บำเพ็ญเซียนโลกหนานซานกำจัดผู้บำเพ็ญเซียนโลกเซียวไท่พวกนั้นก่อน คนมากกำลังก็มาก ไม่แน่ว่าในนั้นอาจจะมีคนที่ศึกษาเรื่องวงเวทที่สามารถเปิดวงเวทส่งตัวอันนั้นได้

เห็นเบื้องหน้ามีคนสองคนกำลังต่อสู้กัน คนฝั่งโลกหนานซานดูเหมือนจะต้านทานไว้ไม่อยู่ สีหน้าซีดขาว จินเฟยเหยาเหลียวซ้ายแลขวา ใช้เท้าเตะก้อนศิลาขนาดสูงครึ่งตัวคนข้างกายก้อนหนึ่งขึ้น โยนใส่กระเป๋าเก็บของก่อน จากนั้นแอบเดินไปหาผู้บำเพ็ญเซียนโลกเซียวไท่

นางมาถึงด้านหลังของผู้บำเพ็ญเซียนโลกเซียวไท่คนนี้และยืนนิ่ง ผู้บำเพ็ญเซียนคนนี้ก็ไม่รู้สึกว่าด้านหลังมีคน ทุ่มเทสมาธิทั้งหมดควบคุมของวิเศษโจมตีคู่ต่อสู้ จินเฟยเหยาเห็นว่าได้โอกาส ก็นำหินก้อนใหญ่ออกมา อย่างเหนือความคาดหมาย ชูสองมือทุ่มหินไปใส่ผู้บำเพ็ญเซียนคนนั้น

ได้ยินเสียงดังตุ้บ ศิลายักษ์โดนศีรษะของเขาพอดี ถูกจินเฟยเหยาทุบล้มลงพื้นทันที นางยังเกรงว่าร่างกายของผู้บำเพ็ญเซียนขั้นสร้างฐานจะแข็งแกร่งฆ่าไม่ตาย จินเฟยเหยาจึงใช้เท้าเหยียบ แล้วใช้ไฟนรกดวงหนึ่งเผา ในเวลาชั่วประกายไฟก็สังหารเขาตาย

นางหยิบกระเป๋าเก็บของขึ้นมาอย่างว่องไว แอบเดินออกไปเงียบๆ แล้วค้นหาเป้าหมายถัดไป

ในขณะที่นางคิดจะลอบโจมตีคนอื่น กลางอากาศก็มีเสียงร้องแหลมของมังกรคำรามดังมา ถึงกับกลบเสียงน้ำตก จากนั้นพลังวิญญาณสายหนึ่งก็พุ่งออกมา ตามหลังมันคือคลื่นกระแทกอันแข็งแกร่งสายหนึ่ง

ทุกคนทยอยกันหยุดมือ ขับเคลื่อนของวิเศษป้องกันทั่วร่าง ฤทธิ์ซ่อนกายบนร่างจินเฟยเหยาภายใต้คลื่นกระแทกอันแข็งแกร่งนี้ คิดไม่ถึงว่าจะหมดฤทธิ์ และปรากฏร่างออกมา

ที่แท้เป็นใครกันแน่ อานุภาพเวทมนตร์มหาศาลขนาดนี้ จินเฟยเหยาไม่รู้ว่าหากผู้บำเพ็ญเซียนขั้นหลอมรวมต่อสู้กันอานุภาพจะมหาศาลถึงปานใด ทว่าคลื่นกระแทกนี้มีความแข็งแกร่งเหนือกว่านางลิบลับ ในขณะนี้เอง เงาร่างคนสองสายหนึ่งแดงหนึ่งเขียว พุ่งวูบจากในทางเดินศิลา หยุดอยู่กลางอากาศเหนือศิลาลอยได้

แสงสีแดงด้านหน้าเป็นสตรีงามหยาดเยิ้มสวมชุดกระโปรงสีแดงเพลิงทั้งตัว ผ้าไหมสีแดงยาวหนึ่งจั้งกว่าเปล่งแสงสีแดงล่องลอยอยู่กลางอากาศ ในท่วงท่าการยกมือวางเท้าของสตรีผู้นี้มีเงามายาเป็นสายๆ ทำให้ดูแล้วนางเต็มไปด้วยกลิ่นอายภาพฝัน ส่วนของวิเศษที่นางเหยียบใต้เท้ายิ่งแปลกประหลาด กลับเป็นเมฆดอกไม้ที่สร้างขึ้นจากกลุ่มดอกไม้เล็กๆ หลากชนิด ด้านล่างเมฆดอกไม้มีภาพเสมือนของดอกไม้ล่องลอยเบาๆ และร่วงลงด้านล่างอย่างต่อเนื่อง ตลอดร่างงดงามหรูหราถึงขีดสุด

ส่วนแสงสีเขียวด้านหลังนางเป็นโม่อวี่จู๋ ศิษย์พี่ใหญ่แห่งหอซวีชิง ท่าทางของเขาแตกต่างกับบนแท่นมองฟ้าในเมืองลั่วเซียนก่อนหน้านี้ ตอนนั้นเขาเรียบง่ายธรรมดาอย่างยิ่ง ทว่าตอนนี้กลับมีปราณเซียนกดดันผู้คน เท้าเหยียบหมื่นลูกข่างซึ่งเป็นของวิเศษเช่นเดียวกับไป๋เจี่ยนจู๋ ภาพเสมือนของใบไผ่ขนาดยักษ์สี่ใบลอยอยู่ข้างหลังแผ่นหลังราวกับปีก มือถือไผ่ซวีชิงเล็กๆ เปล่งแสงสีเขียวอย่างสง่างาม

ทั้งสองคนเหาะไปถึงศิลาลอยได้ ก็ถูกผู้บำเพ็ญเซียนโลกหนานซานจำนวนมากจดจำได้ ราวกับได้กินยาสงบใจ ทยอยกันตะโกนเสียงดังลั่น

“โม่อวี่จู๋แห่งหอซวีชิง ยังมีฮวาเยี่ยนอู่แห่งหอเฟยเทียน”

“ดียิ่งนัก ขอเพียงมีคนของพวกเขาสองสำนักอยู่ ก็ไม่ต้องเกรงกลัวคนของโลกเซียวไท่พวกนี้”

ส่วนจินเฟยเหยาเห็นคนทั้งสองกำลังดึงดูดสายตาของทุกคน ก็รีบหลบหลังก้อนหินอีกครั้ง โผล่ศีรษะครึ่งหนึ่งออกมามองดูรอบด้าน ระแวดระวังการปรากฏตัวของไป๋เจี่ยนจู๋ตลอดเวลา

เห็นผู้บำเพ็ญเซียนโลกหนานซานด้านล่างร่ำร้องอย่างตื่นเต้นยินดี ฮวาเยี่ยนอู่ก็เอ่ยกับโม่อวี่จู๋อย่างเย็นชา “ฮึ คนเหล่านี้ยังไม่รู้ หอซวีชิงที่เที่ยงธรรมที่สุดในใจของพวกเขา ทรยศโลกหนานซานตั้งแต่แรกแล้ว ในศิลารองรับฟ้าแห่งนี้ สองมือเต็มไปด้วยโลหิตสดของผู้บำเพ็ญเซียนโลกเดียวกัน”

“ฮวาเยี่ยนอู๋ ตอนนี้ยังพูดเช่นนี้มีจุดประสงค์ใด เมื่อครู่เจ้าใช้ออกด้วยเก้าร่ายรำเหินฟ้า ต้องใช้พลังวิญญาณในตัวไปมากกว่าครึ่งแน่ ตอนนี้คิดจะถ่วงเวลาเพื่อฟื้นฟูพลังวิญญาณหรือ? เจ้าไม่ต้องฝากความหวังไว้กับพวกเขา เจ้าน่าจะกระจ่างในความแข็งแกร่งของข้าดี ต่อให้ไม่มีคนของโลกเซียวไท่ช่วยเหลือ คนของโลกหนานซานพวกนี้ก็ไม่อาจหนีรอดเงื้อมมือของหอซวีชิงเราได้” โม่อวี่จู๋สงบนิ่งอย่างยิ่ง สังหารคนมากเข้า ย่อมไม่คิดมากอีกเป็นธรรมดา

ฮวาเยี่ยนอู่เห็นแผนการถ่วงเวลาของตนเองถูกเขารู้ ได้แต่มองเขาอย่างมีโทสะ เมื่อครู่ตนเองใช้เก้าร่ายรำเหินฟ้าหนีออกมา ใช้พลังวิญญาณมากเกินไปแต่แรก คิดไม่ถึงว่าคนของหอซวีชิงจะร้ายกาจเช่นนี้ ถึงจะบอกว่าอยู่ขั้นเดียวกัน ทว่าความแข็งแกร่งกลับเหนือกว่านางลิบลับ แปลกประหลาดเกินไปแล้ว

ตอนนี้สิ่งที่สำคัญที่สุดคือให้คนมาถ่วงเวลาโม่อวี่จู๋ ทำเช่นนี้จึงสามารถหาเวลามาฟื้นฟูพลังวิญญาณได้ นางมองไปรอบด้านอย่างรวดเร็ว พบว่าผู้บำเพ็ญเซียนแทบทั้งหมดล้วนมีคู่ต่อสู้ เกรงว่าไม่มีใครสามารถแยกร่างมาช่วยตนเองได้ ทันใดนั้น นางเห็นหลังศิลาก้อนหนึ่งมีผู้บำเพ็ญเซียนสตรีกำลังโผล่ศีรษะออกมาดู นางจึงบินลงไปตรงสถานที่ที่สตรีผู้นั้นอยู่

จินเฟยเหยายังไม่รู้ว่าหอซวีชิงเข้ากับโลกเซียวไท่ เห็นคนทั้งสองยืนอยู่กลางอากาศไม่ลงมือกับผู้บำเพ็ญเซียนโลกเซียวไท่ ทว่ากลับสนทนากัน รู้สึกว่าแปลกประหลาดอย่างยิ่ง จากนั้นเห็นฮวาเยี่ยนอู่พลันบินมาหาตนเอง ยิ่งรู้สึกงุนงงมากขึ้น ที่นี่พลังการบำเพ็ญเพียรของข้าต่ำที่สุด จะวิ่งมาหาข้าทำไม?

ทว่าฮวาเยี่ยนอู่บินพลางใช้เวทขยายเสียงตะโกนลั่น “ผู้บำเพ็ญเซียนโลกหนานซานทุกท่าน หอซวีชิงทรยศโลกหนานซานแล้ว เข้ากับโลกเซียวไท่เข่นฆ่าผู้บำเพ็ญเซียนโลกเรา ทุกคนรีบสกัดเขาไว้”

ข่าวนี้ดุจฟ้าผ่ากลางวันแสกๆ ทำให้ผู้บำเพ็ญเซียนโลกหนานซานทั้งหมดตกตะลึงอย่างแรง คิดไม่ถึงว่าหอซวีชิงจะทรยศโลกหนานซาน เป็นไปได้อย่างไร ปกติฮวาเยี่ยนอู่เย่อหยิ่งภาคภูมิ คงไม่ใช่ว่าพูดไม่ถูกหูกับโม่อวี่จู๋จึงต่อสู้กัน ตอนนี้นางสู้ผู้อื่นไม่ได้ จึงกุข่าวลือสร้างความเดือดร้อนให้โม่อวี่จู๋นะ การกระทำเช่นนี้เด็กน้อยจริงๆ

เห็นสีหน้าของทุกคน ฮวาเยี่ยนอู่ก็รู้ว่าคำพูดสองประโยคเกลี้ยกล่อมคนเหล่านี้ไม่ได้ หลายร้อยปีมานี้ชื่อเสียงของหอซวีชิงดีงามเกินไป จึงไม่มีใครยอมเชื่อเรื่องนี้ ถ้าจะให้พวกเขาเชื่อว่าหอซวีชิงทรยศ ก็ต้องใช้โลหิตมาทำให้พวกเขาเชื่อถือ และเบื้องหน้าก็มีเครื่องเซ่นโลหิตสำเร็จรูปให้ใช้

จินเฟยเหยาได้ยินเรื่องนี้ก็ตกตะลึงอย่างยิ่ง นอกจากไป๋เจี่ยนจู๋ที่เป็นคนบ้าเจ้าคิดเจ้าแค้นแล้ว คนของหอซวีชิงทั้งหมดในสายตานางล้วนเป็นคนดี คนที่ซื่อตรงจริงใจเช่นนี้ คิดไม่ถึงว่าจะทรยศโลกหนานซาน ทำให้คนไม่อยากจะเชื่อจริงๆ ทว่า นางครุ่นคิดอย่างรวดเร็ว ทรยศโลกหนานซานแล้วเกี่ยวอะไรกับข้าด้วย การต่อสู้ช่วงชิงผลประโยชน์ระหว่างสำนักใหญ่เหล่านี้ ไม่เกี่ยวอะไรกับคนที่เหมือนมดแมลงเช่นข้าเลยสักนิด