เห็นฮวาเยี่ยนอู่พุ่งเข้ามา จินเฟยเหยาพลันรู้สึกว่าไม่ถูกต้อง เห็นท่าทางของนางราวกับคิดจะจับตนเอง จินเฟยเหยาจึงหาโอกาสเหมาะในขณะที่ฮวาเยี่ยนอู่เข้ามาใกล้ ถอยไปข้างหลังอย่างรวดเร็วทำให้นางคว้าน้ำเหลว

เห็นตนเองจับคนผู้นี้ไม่ได้ ฮวาเยี่ยนอู่ขมวดคิ้ว กำลังคิดจะพูดอะไรบางอย่างกับจินเฟยเหยา การโจมตีของโม่อวี่จู๋ก็ไล่ตามมาถึง ไผ่ซวีชิงยาวเหยียดหวดมาอย่างคมกริบ พกพาเสียงสายฟ้า ในนั้นบางครั้งยังมีอัสนีสีม่วงแลบแปลบปลาบ

“อัสนีไผ่เขียว! โม่อวี่จู๋ พลังการบำเพ็ญเพียรของเจ้าถึงขั้นหลอมรวมเทียมแล้ว!” เห็นอัสนีแลบแปลบปลาบ ฮวาเยี่ยนอู่ตกใจจนหน้าซีด

นี่คือการต่อสู้ระหว่างยอดฝีมือ ผู้อ่อนแอถอยออกไปจะดีกว่า ดังนั้นผู้อ่อนแออย่างจินเฟยเหยาจึงรีบหลบ

ฮวาเยี่ยนอู่ล่าถอยอย่างเร่งร้อนหลายก้าว ผ้าไหมแดงในมือพลันลอยขึ้น พุ่งตรงเข้าใส่จินเฟยเหยา ทว่าปากนางร้องตะโกนเสียงดังว่า “สหายเซียนท่านนี้ ข้าจะช่วยเจ้าอีกแรง”

“ช่วยอีกแรงอะไร? ข้าไม่เคยพูดเรื่องเช่นนี้” จินเฟยเหยาเบิกตาโตมองนาง คนผู้นี้เหตุใดจึงชั่วร้ายแบบนี้ คิดจะใช้ข้าเป็นโล่กันลูกธนู

การถ่ายทอดเสียงของฮวาเยี่ยนอู่ก็มาถึงในเวลาเดียวกัน “สหายเซียนท่านนี้ ตอนนี้เป็นช่วงเวลาแห่งความเป็นความตายของโลกหนานซาน เพื่อให้ผู้บำเพ็ญเซียนโลกหนานซานเหล่านี้เชื่อคำพูดของข้า ข้าได้แต่ให้เจ้าเสียสละ”

“เจ้าบ้าหรือเปล่า ทำไมเจ้าไม่เสียสละตนเองเล่า” จินเฟยเหยาจึงเข้าใจ นางคิดจะผลักตนเองให้โม่อวี่จู๋สังหาร ให้ผู้บำเพ็ญเซียนที่สงสัยเหล่านั้นเห็นโม่อวี่จู๋สังหารผู้บำเพ็ญเซียนโลกหนานซานกับตา ถึงกับคิดร้ายต่อข้า! เพลิงโทสะของจินเฟยเหยาแผดเผา ดูแคลนกันเกินไปแล้ว เจ้าบอกให้เสียสละก็ต้องเสียสละหรือ

นางใช้มือคว้าผ้าไหมแดงที่บินมา ไฟนรกปะทุจากในมือเผาไหม้ไปตามผ้าไหมสีแดง มือซ้ายที่ว่างดีดคราหนึ่ง ฟองแสงนรกก็ลอยไปหาฮวาเยี่ยนอู่

เห็นจินเฟยเหยาต่อต้าน ส่วนไผ่ซวีชิงของโม่อวี่จู๋ก็หวดมาแล้ว ฮวาเยี่ยนอู่ได้แต่ดึงปิ่นดอกไม้บนศีรษะลงมา วาดวงแสงกลางอากาศ โล่แสงสีแดงกุหลาบอันหนึ่งปรากฏขึ้นเบื้องหน้านาง กลีบดอกไม้เริงระบำทั่วท้องนภาน่ามองยิ่ง โล่แสงเพิ่งปรากฏ ไผ่ซวีชิงของโม่อวี่จู๋ก็หวดมาถึง พกพาสายฟ้าโจมตีบนโล่แสงสีกุหลาบ

เสียงดังเพี๊ยะ ปิ่นปักผมดอกไม้ทนรับพลังไม่ไหว แตกเป็นชิ้นๆ ทันที โล่แสงก็กลายเป็นความว่างเปล่าตามไปด้วย ไผ่ซวีชิงมีอานุภาพไม่เบา หวดลงบนร่างของฮวาเยี่ยนอู่อย่างหนักหน่วง นางกรีดร้องอนาถ ร่างครึ่งท่อนมีอัสนีสีม่วงสว่างวาบ ชุดอาคมเสียหาย เนื้อหนังไหม้เกรียมไปแถบหนึ่ง ส่วนจินเฟยเหยาที่นางนึกว่าไม่มีพลังทำลายล้างมากนัก ไฟนรกลุกไหม้มาตามผ้าไหมสีแดง ครู่หนึ่งก็เผาไหม้ร่างของนาง

ตรงที่ไฟนรกเผาไหม้เย็นเยียบเสียดกระดูก หลังจากผิวหนังถูกเผาไหม้ก็เจ็บปวดเข้าไปถึงไขกระดูก ฮวาเยี่ยนอู่ที่ถูกโจมตีอย่างหนักหน่วงถึงสองครั้งกรีดร้องไม่หยุด ส่วนไผ่ซวีชิงของโม่อวี่จู๋ก็ไม่หยุดชะงัก หวดมาอีกครั้ง ไม่รอให้ไฟนรกของจินเฟยเหยาเผาไหม้ร่างนางทั้งหมด ฮวาเยี่ยนอู่ถูกอัสนีไผ่เขียวของโม่อวี่จู๋ฟาดไปสิบกว่าครั้ง ในไม่ช้าใบหน้าไหม้เกรียม ถูกโจมตีจนไม่เหลือแม้แต่จิตวิญญาณดั้งเดิม

จินเฟยเหยาเห็นฉากนี้ก็รีบเก็บไฟนรกกลับมาทันที รวมฟองแสงนรกเป็นฟองใหญ่อย่างรวดเร็ว ปกคลุมทั่วร่างของตนเอง กระโดดลงไปจากศิลาลอยได้ พริบตาที่นางกระโดดลงไป ไผ่ซวีชิงของโม่อวี่จู๋ก็ไล่ตามมาด้านหลัง โจมตีฟองแสงนรกเสียงดังเพี๊ยะ บินเฉียดไหล่ของจินเฟยเหยาไป

“อันตราย!” จินเฟยเหยาร้องอุทานอย่างตกใจ รีบเรียกฟองแสงนรกกลับมา ปกคลุมทั่วร่างใหม่อีกครั้ง แล้วร่วงหล่นลงไปยังด้านล่างน้ำตกอย่างรวดเร็ว

โม่อวี่จู๋เห็นผู้บำเพ็ญเซียนสตรีที่คุ้นตาอยู่บ้างคนนี้ฆ่าตัวตายในน้ำตก ก็ไม่ได้ไล่ตามไปอีก ที่นี่ยังมีผู้บำเพ็ญเซียนโลกหนานซานที่เขาต้องกำจัดอีกมาก ไม่มีเวลาไปไล่ตามนาง

ผู้บำเพ็ญเซียนโลกหนานซานมองดูฉากนี้อย่างปากอ้าตาค้าง ฮวาเยี่ยนอู่ถูกสังหารทิ้งไปเช่นนี้ การกระทำแบบนี้ไม่เหมือนชื่อเสียงตามปกติของหอซวีชิง ผู้บำเพ็ญเซียนหัวไวบางคนเชื่อคำพูดของฮวาเยี่ยนอู่แล้ว แผ่นหลังหลั่งเหงื่อเย็นเยียบลามมาถึงหน้าผาก ถ้าเป็นผู้บำเพ็ญเซียนที่มีพลังการบำเพ็ญเพียรเท่ากันยังมีความเป็นไปได้ที่จะชนะ ถ้าเจอกับคนของหอซวีชิงก็ไม่มีโอกาสชนะเลยสักนิด ฮวาเยี่ยนอู่ที่ร้ายกาจอย่างยิ่งยังถูกไผ่หวดไม่กี่ครั้งก็ตาย

เพื่อเอาชีวิตรอด ผู้บำเพ็ญเซียนบางคนละทิ้งการต่อสู้ที่กำลังดำเนินอยู่ แล้วพุ่งเข้าไปในทางเดินศิลาอย่างไม่คิดชีวิต คิดเพียงว่าถ้าหนีเข้าไปในทางเดินศิลา บางทีอาจจะมีโอกาสรอดเล็กน้อย

ผู้บำเพ็ญเซียนโลกหนานซานที่หนีเข้าไปในทางเดินศิลา โม่อวี่จู๋และผู้บำเพ็ญเซียนโลกเซียวไท่ไม่ได้ไล่ตามไป ทว่าเฝ้าอยู่ที่วงเวทส่งตัวแทน ขอเพียงพวกเขาคิดจะไปจากศิลารองรับฟ้า สุดท้ายก็ต้องมาที่วงเวทส่งตัวอันนี้ นอกจากอยากตายในศิลารองรับฟ้าหรือเลียนเยี่ยงผู้บำเพ็ญเซียนสตรีเมื่อครู่ กระโดดลงในน้ำตกหาที่ตายเอง

จินเฟยเหยาร่วงน้ำตก พริบตาก็ถูกลำน้ำอันรุนแรงกลืนกิน แรงกระแทกอันทรงพลังของน้ำตกทำให้นางสลบไปทันที นางหมดสติไป ทว่าฟองแสงนรกถูกควบคุมโดยการรับรู้ ทั้งยังมีความยืดหยุ่นดียิ่ง ไม่ได้ถูกแรงกระแทกมหาศาลทำลาย จินเฟยเหยาที่มีฟองแสงนรกห่อหุ้มจึงถูกลำน้ำอันเชี่ยวกราดพัดไป พริบตาก็ไม่เหลือแม้แต่เงา

ไม่รู้ว่าสลบไปนานเพียงไร ในที่สุดจินเฟยเหยาก็ฟื้นขึ้นมา นางลุกขึ้นนั่ง สั่นศีรษะคิดจะทำให้สมองตนเองแจ่มใสหน่อย รอบด้านมืดมิด ยื่นมือออกมามองไม่เห็นนิ้วทั้งห้า นางใช้มือลูบคลำ รู้ว่าตนเองอยู่ในฟองแสงนรก อีกทั้งหูยังรู้สึกถึงแรงกดดัน มีเสียงหึ่งๆ อยู่ตลอดเวลา

จินเฟยเหยานำหินแสงราตรีออกมาจากในกระเป๋าเก็บของ รอบด้านก็สว่างไสวขึ้น จึงพบว่าตนเองอยู่ก้นลำน้ำ กำลังถูกกระแสน้ำอันเชี่ยวพัดไป จำได้ว่าตนเองกระโดดลงมาจากน้ำตก ท่าทางน่าจะถูกกระแสน้ำพัดไป เพียงแต่ไม่รู้ว่าลำน้ำใต้ดินสายนี้จะนำไปสู่สถานที่ใด จินเฟยเหยารู้สึกเริ่มเวียนศีรษะอย่างกะทันหัน หายใจลำบาก จึงพบว่าอากาศภายในฟองแสงนรกไม่พอใช้

การค้นพบนี้ทำให้จินเฟยเหยาตกใจ ถ้าไม่มีอากาศ มิหายใจไม่ออกตายหรือ

ในห้วงสับสนลนลาน จินเฟยเหยาพลันนึกได้ว่าในอ่างมายาจิ่งเทียนมีอากาศ รีบนำอ่างมายาจิ่งเทียนออกมา จากนั้นนางก็เข้าไปในอ่างมายาจิ่งเทียน พริบตาอากาศสดชื่นพุ่งเข้ามาปะทะหน้า นางนอนบนพื้นสูดลมหายใจจนเพียงพอจึงได้สติคืนมา จากนั้นกลิ่นหอมก็ลอยเข้าจมูกนาง จินเฟยเหยาเงยหน้าขึ้นมอง ไกลออกไปหน้าหอน้อยที่รื้อออกครึ่งหนึ่ง พั่งจื่อ ต้านิว และเนี่ยนซีกำลังนั่งล้อมวงกัน ใต้ก้นที่พวกมันนั่งอยู่มีศิลาวิญญาณเป็นประกาย มือถือตะเกียบเรียบลื่น กำลังย่างเนื้ออย่างสบายอกสบายใจ

“เจ้าพวก…เจ้าพวกเศษสวะกลุ่มนี้” จินเฟยเหยาชี้พวกมัน มีโทสะจนพูดไม่ออก ตนเองเสี่ยงชีวิตอยู่ข้างนอก เมื่อครู่เป็นตายยังไม่แน่ชัด คิดไม่ถึงว่าเจ้าพวกนี้จะย่างเนื้อในอ่างมายาจิ่งเทียน

พั่งจื่อเงยหน้าขึ้นมองนาง จินเฟยเหยายังหวังว่าเรื่องที่มันประสบจนเศร้าซึมเมื่อครู่ จะทำให้ตอนนี้รู้สึกผิดต่อนางบ้าง คิดไม่ถึงว่าพั่งจื่อจะกระพริบตา เรียกจินเฟยเหยาสองคำ

“อ๊บๆ?”

“ถุย เจ้าสารเลวกลุ่มนี้ เป็นห่วงแต่นอกอ่างมายาจิ่งเทียนปลอดภัยหรือไม่ ทำไมไม่เป็นห่วงว่าข้าจะเป็นจะตายบ้าง กิน กินเข้าไป ต่อไปข้าจะทำเนื้อกบผานอวิ๋นให้พวกเจ้ากิน กินให้ตายไปเลย” จินเฟยเหยามีโทสะจนแทบกระอักเลือด พั่งจื่อกลับคืนสู่นิสัยเดิม เห็นนางเข้ามาก็แค่เอ่ยเตือนนางว่า สถานการณ์ภายนอกไม่ชัดเจน ถ้าเข้ามากันหมดหากเกิดเรื่องขึ้นทุกคนจะออกไปไม่ได้ ให้นางรีบออกไปเฝ้าไว้

หลังจากด่าทอจินเฟยเหยาก็สงบลง เจ้าพวกนี้พึ่งพาไม่ได้เลย ในแม่น้ำอันมืดมิดมีสิ่งใดบ้างยังไม่รู้แน่ชัด ตนเองยังต้องไปเฝ้าข้างนอกไว้ เพียงแต่ข้างนอกไม่มีอากาศแล้ว จะนำอากาศออกไปอย่างไร?

คิดไปคิดมา สุดท้ายจึงตัดสินใจทำฟองแสงนรกขนาดใหญ่ที่นี่ จากนั้นค่อยนำออกจากอ่างมายาจิ่งเทียน แล้วเก็บฟองแสงนรกด้านนอกที่ใช้อากาศหมดแล้วกลับมา เปลี่ยนแทนซ้ำไปซ้ำมาแบบนี้น่าจะยันได้ถึงตอนหาทางออกพบ

นางเดินไปข้างหน้าพวกมันอย่างเดือดดาล กินเนื้อย่างทั้งหมดจนเกลี้ยงราวกับลมพายุพัดเศษเมฆ[1] จากนั้นจึงทำฟองแสงนรกขนาดพอเหมาะ คลุมฟองแสงนรกแล้วออกไปอีกครั้ง เปลี่ยนอากาศในฟองแสงนรกสำเร็จ และเก็บฟองแสงนรกอันก่อนแล้ว ฟองอากาศแถวยาวก็ถูกกระแสน้ำพัดไป

จินเฟยเหยานั่งอยู่ในฟองแสงนรกคนเดียวอย่างสงบนิ่ง ปล่อยให้ลำน้ำพัดพานางไปข้างหน้า งอนิ้วคำนวณ ตั้งแต่เข้ามาในศิลารองรับฟ้าจนถึงวันนี้ ผ่านมาหนึ่งเดือนแล้ว ไม่รู้ว่าผู้บำเพ็ญเซียนโลกหนานซานที่ถูกกักอยู่ในศิลารองรับฟ้าเป็นอย่างไรบ้าง ไม่รู้ว่าสยงเทียนคุนหนีออกมาหรือตายจนไม่เหลือซากไปนานแล้ว

ถูกพัดอยู่ในน้ำมาสองวัน กระแสน้ำพลันผ่อนคลายลง อีกทั้งช้าขึ้นทุกที ภายในอุโมงค์น้ำอันมืดมิด มีแสงสว่างเล็กน้อยผ่านลงมาจากด้านบน ด้านบนน่าจะมีทางออก ฉวยโอกาสที่กระแสน้ำอ่อนลง จินเฟยเหยารีบพาฟองแสงนรกไปตรงแสงสว่าง นางเห็นกระแสน้ำข้างหน้าเริ่มเชี่ยวขึ้นอีกครั้ง ด้านนั้นก็มีทางน้ำ ถ้ายังไม่ไปต้องถูกพัดเข้าไปอีกแน่

เสียงดังเพี๊ยะ ฟองแสงนรกลอยขึ้นผิวน้ำ แสงอาทิตย์ที่ไม่ได้เห็นมานานสาดส่องบนฟองแสงนรก จินเฟยเหยาเก็บฟองแสงนรกกลับคืน เหยียบบนผิวน้ำพินิจดูรอบด้าน

นี่เป็นลวี่โจว[2]ทะเลทรายอันเงียบสงบแห่งหนึ่ง ทะเลสาบเล็กๆ ขนาดพื้นที่สิบกว่าหมู่ ข้างทะเลสาบมีทุ่งหญ้า ยังมีต้นซาฮว่า[3]ยี่สิบสามสิบต้น ตอนนางขึ้นจากน้ำ ทำให้สัตว์ขุดทรายหลายตัวที่ดื่มน้ำอยู่ข้างทะเลสาบตกใจจนหนีกลับลงใต้ทราย

นางปล่อยการรับรู้ออกไป ไม่พบเห็นผู้บำเพ็ญเซียนและสัตว์ปิศาจขนาดใหญ่รอบลวี่โจว ที่นี่ปลอดภัยอย่างยิ่ง

ถึงแม้ไม่ได้ไปจากทะเลทราย แต่ก็ถือว่ารอดชีวิตจากศิลารองรับฟ้า จินเฟยเหยาโล่งอก เดินขึ้นฝั่ง จินเฟยเหยานั่งลงบนทุ่งหญ้าริมฝั่งอาบแสงอาทิตย์อันอบอุ่น ครุ่นคิดว่าก้าวต่อไปตนเองสมควรทำเช่นไร

เรื่องราวในครั้งนี้จนถึงบัดนี้จินเฟยเหยายังไม่เข้าใจ เกิดอะไรขึ้นกับโลกหนานซานและโลกเซียวไท่กันแน่ ช่างเถอะ ไม่ว่าพวกเขาจะทำอะไร อย่างไรเสียเดิมทีก็คิดไว้แล้วว่าหลังจากครั้งนี้จะออกจากสำนักเฉวียนเซียน ฉวยโอกาสจากไปได้พอดี เพียงแต่อย่างไรก็ต้องไปในแม่น้ำลั่วก่อนสักรอบ

ไปหาสมบัติในนั้นก่อน จากนั้นค่อยไปฝึกบำเพ็ญยังโลกอื่น แต่กลับไม่ต้องเตรียมสิ่งของลงน้ำ ใช้ฟองแสงนรกลงไปในลำน้ำแบบนี้โดยตรง มีอากาศให้ใช้ไม่หมดสิ้น ร่างก็ไม่เปียก และยังสะดวกในการป้องกันอันตราย

คิดหาทางหนีทีไล่เสร็จ จินเฟยเหยาก็วางแผนจะพักฟื้นอยู่ที่นี่สองวัน จากนั้นค่อยหาทิศทางของเมืองลั่วเซียนแอบกลับไป เพิ่งนอนลงคิดจะอาบแดดสักหน่อย การรับรู้ที่ปล่อยออกไปก็พบคนผู้หนึ่งกำลังมาทางลวี่โจวแห่งนี้อย่างรวดเร็ว นางรีบลุกขึ้นยืนจ้องมองทิศทางที่มีคนมา ไม่รู้ว่าคนที่มาเป็นสหายหรือศัตรู

[1] ลมพายุพัดเศษเมฆ หมายถึง หายไปจนหมดสิ้น

[2] ลวี่โจว หมายถึง โอเอซิส

[3] ต้นซาฮว่า คือ ต้นเบิร์ชทะเลทราย