บทที่ 116 เมืองหยูหลิน

ราชาซากศพ

บทที่ 116
เมืองหยูหลิน

“ว่าแต่ข้ายังไม่รู้จักท่านเลย” เฉินปินถามด้วยรอยยิ้ม
“ข้าชื่อ หลินเว่ย!” หลินเว่ยกล่าวชัดเจน

“ชื่อของเจ้า คือหลินเว่ย! เฉินม่อเอ่ยทวนชื่อของ หลินเว่ยที่ธรรมดา ๆ ด้วยความรังเกียจ

“ ……”
“เด็กน้อย…เราคุยกันดี ๆ ได้หรือไม่?” หลินเว่ยแอบบ่นในใจเกี่ยวกับเรื่องนี้

“เฉินม่อ..เหตุใดทำตัวเช่นนี้! พี่หลินเว่ย นี่คือเฉินม่อ ข้ามีชื่อว่าเฉินปิน และนางคือเฉินเสวี่ย พวกเราทั้งหมดเป็นลูกพี่ลูกน้องกันและนี่คือเฉินหมิง ท่านลุงรองของเรา” เฉินปินตำหนิเฉินม่อเบา ๆ . เขารู้ว่าไม่ว่าเขาบ่นมากแค่ไหน….เฉินม่อก็ยังคงไม่ใส่ใจ
ดังนั้นเขาจึงแนะนำคนรอบข้างให้หลินเว่ยรู้จัก

พวกเขาแลกเปลี่ยนคำทักทายกัน และแม้แต่เฉินหมิงก็พยักหน้าให้หลินเว่ย ซึ่งเป็นการทักทาย

ครึ่งเดือนต่อมา สัตว์อสูรบินได้ก็พาหลินเว่ยก็มาถึงเมืองหลวงของดินแดนเฟิ่งหยูได้สำเร็จ ซึ่งเป็นที่รู้จักในนามเมืองที่ไม่เคยหลับใหล

ทางตะวันตกของเมืองหยูหลิน ประตูเต๋อเทียน คือหนึ่งในเก้าประตู เป็นสถานที่ว่าจ้างรถลากที่จัดตั้งโดยหอการค้าแห่งทะเล

“พี่หลิน เนื่องจากท่านกำลังจะไปที่สถานศึกษาเทียนหยูเพื่อลงรายชื่อ ดังนั้นพวกเราจะไม่รอท่าน แน่นอนว่าท้ายที่สุด ท่านต้องออกเดินทางไปคนละที่กับพวกเรา สถานศึกษาตระกูลขุนนางหลานหลิงตั้งอยู่ในเมืองหยูหลิน
ในขณะที่สถานศึกษาเทียนหยูอยู่บนหุบเขาหยูหลง ทางตอนเหนือของเมืองหยูหลิน ยังมีหนทางอีกยาวไกล ” เฉินปินพูดกับหลินเว่ย
หลังจากที่รู้จักกันมาครึ่งเดือน หลินเว่ยและสมาชิกทั้งสี่คนของตระกูลเฉินก็คุ้นเคย และเข้ากันได้ดีมาก ปากของเฉินปินไม่เคยหยุดพูดตลอดทาง เขากำลังพูดเกี่ยวกับข้อมูลที่เป็นประโยชน์ต่อหลินเว่ย

“ตกลงขออำลาก่อน…. ข้าหวังว่าทุกท่านจะสามารถผ่านการทดสอบ และเข้าสถานศึกษาตระกูลขุนนางหลานหลิงได้” หลินเว่ยกำหมัดแน่น พยักหน้าและกล่าวด้วยรอยยิ้ม

“ขอบคุณมาก….พี่หลิน… แล้วพบกันใหม่” เฉินปินพยักหน้าและกล่าวด้วยรอยยิ้ม จากนั้นเขาก็เดินตามลุงรองของเขาไป พวกเขาไม่ได้พูดอะไรมาก เพราะเขาไม่รู้ว่าเขาจะสอบผ่านในการเข้าศึกษาที่สถานศึกษาตระกูลขุนนางหลานหลิงได้หรือไม่?

แม้แต่การทดสอบของสถานศึกษาตระกูลขุนนางหลานหลิง ก็เป็นสถานศึกษาที่สามารถเข้าได้ง่ายที่สุดในสามแห่งนี้
หลังจากแยกย้ายกับตระกูลเฉิน หลินเว่ยยังไม่ได้ออกจากสถานที่ว่าจ้างรถลาก แต่เขาเช่ารถลากสัตว์และรีบไปที่หุบเขาหยูหลง ซึ่งเป็นที่ตั้งของสถานศึกษาเทียนหยูทันที
เกือบ 20 วันต่อมา หลินเว่ยเดินทางจากเมืองกู่เยว่ไปยังเมืองหยูหลิน และจากเมืองหยูหลินไปที่เชิงเขาหยูหลง เป็นการเดินทางที่ยาวนานน่าเบื่อหน่าย

หลินเว่ยหยุดลงที่เชิงเขาหยูหลง ที่นี่เป็นเมืองเล็ก ๆ ชื่อเมืองหยูหลง แม้ว่าจะไม่เจริญรุ่งเรืองเท่าเมืองใหญ่ เมื่อเทียบกับเมืองหมั่นฉีที่หลินเว่ยเคยอาศัยอยู่ แต่ก็ถือว่าเป็นสวรรค์บนดิน

หลินเว่ยมองหาโรงเตี๊ยมขนาดเล็ก จำนวนหกถึงเจ็ดแห่งติดต่อกัน ทุกคนต่างก็บอกว่าไม่มีห้องว่าง หลังจากนั้นไม่นานหลินเว่ยก็พบกับโรงเตี๊ยมที่เรียบง่าย และเก่าแก่กระตือรือร้นที่จะรับรองหลินเว่ย

ภายในโรงเตี๊ยมนั้นว่างเปล่ามาก มีเพียงชายชราที่กำลังตรวจนับบัญชีอยู่ที่โต๊ะรับแขก เมื่อได้ยินเสียงว่ามี ลูกค้าเดินเข้ามา เขาก็เงยหน้าขึ้นมองและพูดด้วยรอยยิ้ม “ท่านต้องการห้องพัก หรือกินข้าว?”

“ทั้งสองอย่าง” หลินเว่ยกล่าวขณะที่เขาเดินเข้าไปหาเถ้าแก่ ชายชราพยักหน้า และส่งมอบกุญแจให้หลินเว่ย พร้อมพูดว่า
“เอาล่ะ นี่คือกุญแจเข้าห้องของท่าน เดินขึ้นไปชั้นบนแล้วเลี้ยวขวา ห้องหมายเลข 208 ข้าจะนำอาหารไปส่งให้ในไม่ช้า” เมื่อได้ยินคำพูดของหลินเว่ย ชายชราตัวเล็กก็มีรอยยิ้มสดใสบนใบหน้าของเขา และกล่าวด้วยความกระตือรือร้นอย่างมาก

จากนั้นเขาก็หยิบกุญแจออกมา และส่งให้ป้ายห้องหมายเลข 208 ให้หลินเว่ย

หลินเว่ยพยักหน้า เอื้อมมือรับกุญแจและหันหน้าเดินขึ้นบันได ตอนนี้มีเสียงข้างนอกประตูดังมาก มีคนห้าคนส่งเสียงจอแจ พวกเขาเป็นชายสามคนและหญิงสองคนซึ่งทั้งคู่อยู่ในวัยหนุ่มสาว หลินเว่ยคิดว่าพวกเขาตั้งใจมาที่สถานศึกษาเทียนหยู

หลังจากตรวจสอบสภาพภายในโรงเตี๊ยม หลายคนก็ขมวดคิ้วด้วยความรังเกียจอย่างเห็นได้ชัด อย่างไรก็ตาม ดูเหมือนว่าพวกเขาจะรู้ว่าโรงเตี๊ยมแห่งอื่น ๆ นั้นเต็มทั้งหมด หลังจากพึมพำไม่กี่ครั้ง ชายหนุ่มสาวคนหนึ่งก็เดินมาข้างหน้าและพูดกับชายชราตัวเล็กว่า “เถ้าแก่เตรียมห้องให้พวกเราทั้งหมดห้าห้อง”

“น่าเสียดายมีห้องเหลือเพียงสองห้อง ภายในโรงเตี๊ยม พวกท่านพอที่จะแบ่งปันห้องกันได้หรือไม่?” เมื่อได้ยินคำพูดของชายคนนั้น ชายชราตัวเล็กก็ส่ายหัว และกล่าวด้วยรอยยิ้มที่ขมขื่น

“เราจะทำเช่นนั้นได้อย่างไร มีผู้ชายร่างใหญ่ จะให้พวกเขาพักกันอย่างแออัดได้อย่างไร อย่าเอาเปรียบพวกเราสิ” เมื่อเขาได้ยินคำพูดของชายชรา เขาไม่รอให้ชายหนุ่มที่พูดคุยกับเถ้าแก่อ้าปาก ชายหนุ่มอีกคนร้องด้วยสีหน้าไม่เต็มใจ

“ใช่พี่หวังหลิน ลูกพี่ลูกน้องของข้าพูดมีเหตุผล ท่านไม่สามารถทำให้หญิงสาวทั้งสองคนต้องลำบากได้ พี่ชายท่านกำลังศึกษาในสถานศึกษาเทียนหยูไม่ใช่หรือ? ทำไมท่านถึงไม่พักกับพี่ชายของท่านล่ะ? ”

หลังจากที่ชายหนุ่มคนนั้นพูดจุดประสงค์ของเขาออกมา ชายคนนั้นมองไปที่ขนาดหวังหลินด้วยท่าทางของความเป็นศัตรู และจ้องมองหญิงสาวทั้งสองคนที่อยู่ข้าง ๆ เขา ด้วยแววตาร้อนแรงและเต็มไปด้วยความละโมบ
“ฮึ่ม! จู้หยุนและจู้เลี่ย เจ้าสองพี่น้องชั่วช้า ถ้าเจ้ามีความสามารถ ก็ออกไปหาห้องพักด้วยตนเองเถอะ” หวังหลินโกรธทั้งสองพี่น้อง ด้วยใบหน้าโกรธจัด

“เจ้า…!” จู้หยุนและจู้เลี่ย มองหน้ากันด้วยความอับอายบนใบหน้า พวกเขาพูดไม่ออกชั่วขณะ ถึงอย่างไรพวกเขาก็ไม่ยอมแยกออกจากกลุ่มเด็ดขาด

ระหว่างทางหญิงสาวทั้งสอง เข้าใจจุดประสงค์ของชายหนุ่มทั้งสาม แต่ไม่ได้พูดออกมาตรง ๆ

“พี่สาวเราจะทำอย่างไรกันดี?” เสี่ยงน้องสาวเอ่ยถามด้วยเสียงเบา ๆ

“เราแค่มาเข้าทดสอบการคัดเลือกศิษย์ที่นี่ ไม่ต้องกังวล…เราเป็นพี่น้องกัน” สีหน้าพี่สาวไม่เปลี่ยน พูดด้วยใบหน้าเฉยเมย

“ดี!” น้องสาวพยักหน้า เพราะความหมายเบื้องหลังของพี่สาวนั้นชัดเจนมาก พวกนางเคยนอนด้วยกัน มันไม่ใช่ปัญหาใหญ่
ดังนั้นตัวของหญิงสาวผู้น้องจึงพูดว่า ” คุณชายหวังและ คุณชายจู้ อย่าถกเถียงกันเลย วันนี้เป็นวันที่สถานศึกษาเทียนหยูเปิดรับศิษย์ โรงเตี๊ยมขนาดเล็กนั้นเต็มไปด้วยผู้คน ไม่ใช่เรื่องง่ายที่เราจะหาที่พักที่นี่เจอ ข้ากับพี่สาว สามารถนอนห้องเดียวกันได้
ไม่เป็นปัญหา ”

“เอาล่ะ พวกเราจะอยู่ที่นี่! ข้ากับพี่สาวสองคน นอนห้องเดียวกัน พวกท่าสามคนก็นอนด้วยกันเถอะ อย่างไรก็ตามอีกไม่ถึงสิบวัน ก่อนเวลาลงรายชื่อของสถานศึกษาเทียนหยู จะเปิดรับศิษย์ใหม่ น้องสาวเปิดปากพูดน้ำเสียงที่ดูเอาแต่ใจเล็กน้อย

“อืม! ถ้าอย่างนั้น ข้าต้องทำให้พวกเจ้าลำบากแล้ว” เมื่อหวังหลินสงบอารมณ์ลงได้ เขาก็พูดขึ้นว่า ต้องการชักชวนหญิงสาวทั้งสองไปฝึกฝน เตรียมความพร้อมก่อนเข้าทดสอบ” หวังหลินพูดด้วยท่าทางที่สง่างาม และน้ำเสียงเต็มไปด้วยความเคารพ

“ขอบคุณคุณชายหวัง สำหรับความกรุณา หลังจากการเดินทางอันยาวนานข้าและน้องสาว รู้สึกเหนื่อยนิดหน่อย ข้าขอพักผ่อนก่อนส่วนการฝึกฝน เอาไว้ข้าจะไปภายหลัง” หญิงสาวผู้พี่เอ่ยปฏิเสธตรง ๆ