บทที่ 117 การทดสอบ

ราชาซากศพ

บทที่ 117
การทดสอบ

“น่าเสียดายจริง ๆ เอาล่ะ งั้นข้าไม่รบกวนแม่นางทั้งสอง โปรดพักผ่อนเถิด ตาแก่มีตาแต่ไร้แววยิ่งนัก

เหตุใดไม่รีบไปเตรียมห้อง” ที่นี่ช่างเป็นโรงเตี๊ยมที่ดูซอมซ่อ นาน ๆ ครั้งจึงจะมีแขกเข้ามาพัก

เถ้าแก่จึงไม่รู้ความ…. ในทุก ๆ ห้าปี เมื่อสถานศึกษาเทียนหยูเปิดรับศิษย์นอก นาน ๆ ครั้ง คงจะมีแขกหลงเข้ามาที่นี่

หวังหลินถูกหญิงสาวทำให้เสียหน้าต่อหน้าฝูงชน ความโกรธของเขาแพร่กระจายไปยังชายชราตัวเล็กในทันที และปากของเขาก็เอ่ยคำตำหนิ

” ใช่…ใช่…ใช่แล้ว เป็นข้าเองที่ไม่รู้ความ ข้าจะพาพวกท่านไปดูห้องพัก “เถ้าแก่รู้สึกโกรธต่อคำพูดของหวังหลิน แต่รอยยิ้มบนใบหน้าของเขาไม่มีการเปลี่ยนแปลง เขารีบยอมรับผิดด้วยรอยยิ้ม จากนั้นก็หยิบกุญแจสองดอกออกจากโต๊ะเพื่อส่งให้ทั้งห้าคน เมื่อพวกเขาถูกส่งเข้าไปในห้องพัก เถ้าแก่ก็ลงมาที่ชั้นล่างและบ่นพึมพำ: “เด็กผู้ชายทั้งสามคนนี้หยิ่งยโส และดูแคลนข้าเหลือเกิน คอยดูเถอะ! ข้าจะจัดการพวกเจ้าอย่างไร? เด็กชายคงจะยากที่ผ่านการทดสอบ ช่วยไม่ได้ที่สายตาของข้ามันดีเหลือเกิน ”

ผ่านไปสิบวัน หลินเว่ยแทบจะไม่ออกไปข้างนอก วัน ๆ ขลุกอยู่แต่ในห้องพัก หลังจากสอบถามเกี่ยวกับเวลาที่ชัดเจนในการลงรายชื่อของสถานศึกษาเทียนหยู เขาก็กลับไปที่ห้องของเขา เขาไม่เคยปลีกตัวออกไปอีกเลย

อาหารทั้งหมดถูกส่งไปที่ห้องของเขา โดยเสี่ยวเอ้อที่พบกันอย่างบังเอิญ

สิบวันต่อมา ในยามเช้าตรู่ หลินเว่ยเก็บสัมภาระและจ่ายเงินให้กับเสี่ยวเอ้อและออกเดินทางจากโรงเตี๊ยม และรีบไปที่สำนักงานฝ่ายธุรการของสถานศึกษาเทียนหยูในเมืองหยูหลง

สาเหตุที่เรียกว่าสำนักงานลงรายชื่อศิษย์นอก เพียงพื้นที่เปิดโล่งขนาดใหญ่ เมื่อหลินเว่ยเดินทางมาถึงที่นี่ ต่างก็มีจำนวนคนมากมาย ยืนรอเข้าแถวรอลงรายชื่ออยู่ที่นั่น นอกจากนี้ยังมีเด็กสาวอีกหลายคนที่ทยอยเข้ามาทีละคน

เมื่อเวลาผ่านไป ดวงอาทิตย์ฉายแสงร้อนแรงเหนือศีรษะ จู่ ๆ เสียงรอบข้างก็หายไป เพราะกลุ่มคนจำนวนหลายร้อยคน ที่เดินลงมาจากหุบเขาหยูหลง

“หลินเว่ยเป็นคนแรกที่สังเกตเห็นว่า เถ้าแก่ของโรงเตี๊ยมที่หลินเว่ยพักอาศัยอยู่ เป็นผู้นำของคนจำนวนหลายร้อยคน ที่กำลังเดินลงมาจากหุบเขาหยูหลง ด้วยความประหลาดใจ

หลังจากเจ้าหน้าที่ลงรายชื่อของสถานศึกษาเทียนหยูมาถึง พวกเขาก็ยืนเรียงแถว มีชายชราตัวเล็กยืนอยู่ข้างหลัง ชายชราเหล่มองผู้คนจำนวนเล็กน้อยและพูดว่า “ข้าคือ ปรมาจารย์เฉียนรองผู้นำของสถานศึกษาเทียนหยูเป็นประธานในการลงรายชื่อในวันนี้

คำบางคำที่ข้าต้องพูดก็คงต้องพูดตามเช่นเคย หากพบว่าปกปิดตนเองว่าไม่มีคุณสมบัติ หากตรวจพบเราจะลงโทษอย่างรุนแรง ในการทดสอบไม่ส่งเสียงดัง ห้ามรบกวนการทดสอบ หากมีการละเมิดการกฎ ขับไล่ทันที เอาล่ะถ้าพร้อมการทดสอบจะเริ่มต้น”

คำพูดของปรมาจารย์เฉียนไม่ได้ก่อให้เกิดความวุ่นวายใด ๆ สำหรับสิ่งเหล่านี้ ทุกคน ๆ รู้มาก่อนหน้าที่จะมาที่นี่ แต่หลาย ๆ คนอยากรู้ตัวตนของปรมาจารย์เฉียนมากกว่า

ลูกศิษย์ศิลปะการต่อสู้แห่งสถานศึกษาเทียนหยู ซึ่งได้รับคำสั่งจากปรมาจารย์เฉียนได้หยิบเสาผลึกพรสวรรค์หลายพันชิ้นออกมา และยืนอยู่บนพื้นที่แคบ ๆ เป็นจัตุรัส เสาผลึกพรสวรรค์เหล่านี้ มีความสูงมากกว่าสองเมตร จึงต้องใช้คนสองคนถือพวกมัน สำหรับเสาผลึกพรสวรรค์เหล่านี้ แม้ว่าหลินเว่ยจะไม่รู้ว่ามันมีหน้าที่อย่างไร แต่ทราบว่าใช้ในการทดสอบวัดพลัง

แน่นอนว่าไม่นานนัก….ใครบางคนรอบตัวเขาก็ไขข้อสงสัยของเขาได้ ต่อหน้าเขาชายคนหนึ่งกระซิบกับเพื่อนของเขา “พี่ชาย ท่านรู้ไหมว่าสิ่งเหล่านั้นคืออะไร?”
“มันถูกใช้เพื่อทดสอบอายุ และพรสวรรค์ ดูเหมือนว่าจะเรียกว่า ผลึกพรสวรรค์”

“โอ้! นี่คือผลึกพรสวรรค์ หลังจากนั้นมีฝูงชนที่เข้าไปร่วมการทดสอบเป็นคนแรก ๆ อย่างรวดเร็ว เพียงไม่กี่นาทีผู้คนหลายพันคน สามารถทดสอบเสร็จสิ้น แม้แต่การทดสอบแรก เรียกว่าเป็นการทดสอบที่ง่ายที่สุด ก็ยังสามารถคัดคนออกไปได้ถึงเก้าส่วน

ไม่กี่ชั่วโมงต่อมา ก็ถึงตาของหลินเว่ย แม้ว่าเขาจะมั่นใจในตัวเองมาก แต่หลินเว่ยก็ยังรู้สึกไม่สบายใจเล็กน้อยในขณะนี้

หลินเว่ยยืนอยู่เบื้องหน้าผนึกพรสวรรค์ เบื้องหน้ามีศิษย์ของสถานศึกษาเทียนหยูที่ยืนด้วยใบหน้าเฉยเมย และกล่าวว่า: “เอามือลงไปทาบกับผลึกพรสวรรค์”

หลินเว่ยพยักหน้า ยื่นมือออกและแนบกับผลึกพรสวรรค์ ทันใดนั้นแสงที่แข็งแกร่งก็สว่างขึ้นภายในผลึก จากนั้นแสงสว่างก็ปกคลุมแท่งผลึกพรสวรรค์ทั้งหมด ในที่สุดมันก็กลายเป็นลำแสงสีม่วงที่พุ่งขึ้นไปมากกว่าขั้นขุนศึกและพุ่งตรงไปบนท้องฟ้า
สถานการณ์ของหลินเว่ยดึงดูดความสนใจของทุกคนในทันที แม้แต่การทดสอบก็ถูกระงับไว้ ในขณะนี้และทุกคนเริ่มพูดถึงเรื่องนี้ทีละคน เพราะสถานการณ์ของหลินเว่ยนี้เป็นที่สะดุดตาจริง ๆ

ก่อนหน้านี้มีคนอย่างน้อยหลายหมื่นคนที่ทำการทดสอบ และคนที่มีพลังสูงที่สุด สามารถทำให้แสงพุ่งสูงขึ้นไปไกลกว่าแปดสิบเมตรเท่านั้น เจ้ารู้หรือไม่ว่า คนคนนี้ เพียงครู่เดียว ผลึกพรสวรรค์ก็แสดงให้เห็นว่า เขาอยู่ขั้นขุนศึกขั้นห้า

“ขุนศึกขั้นห้า คุณสมบัติธาตุสายฟ้า ชายชราตัวเล็กลอบมองผลการทดสอบของหลินเว่ยอย่างใกล้ชิด แต่ก็อดประหลาดใจไม่ได้

ไม่ใช่แค่ปรมาจารย์เฉียนเท่านั้น แต่ยังมีผู้ฝึกศิลปะการต่อสู้มากกว่าหนึ่งร้อยคน ในสถานศึกษาเทียนหยูที่กำลังหวาดกลัวหลินเว่ย พวกเขาไม่เข้าใจผลของผลึกพรสวรรค์ เนื่องจากมันชัดเจนเกินไป จึงไม่สามารถยอมรับความจริงที่อยู่ตรงหน้าได้
เสียงของปรมาจารย์เฉียนที่ตื่นตระหนกโพล่งออกมาทันที และมีผู้คนมากมายได้ยิน ทันใดนั้นทำให้เกิดความวุ่นวายอย่างช่วยไม่ได้

“เจ้าดูสิ ข้าฝันไปหรือไม่?” ชายคนหนึ่งจ้องผลการทดสอบของหลินเว่ย ตาแทบจะถลนนออกมา พลางพูดกับสหายข้างกาย

“เพี๊ยะ!” จากนั้นมีเสียงหนึ่งดังขึ้น

“เจ้าตีข้าทำไม?” ชายคนนั้นยื่นมือมาปิดหน้า และถามอย่างงง ๆ

“ไม่มีอะไร ข้าแค่พยายามตรวจดูว่า เจ้ายังเจ็บอยู่หรือไม่?”

“มันเจ็บ!” ชายคนนั้นปกปิดใบหน้า และพูดออกมาตรง ๆ
“เจ็บปวด แสดงว่าพวกเราไม่ได้ฝันไป ไม่คาดคิดว่าจะมีอัจฉริยะเช่นนี้อยู่บนโลกนี้ อายุของเขานั้นไล่เลี่ยกับพวกเรา และพวกเราอยู่แค่ระดับทั่วไปแล้ว ข้ารู้สึกว่า ชีวิตนี้เสียชาติเกิดจริง ๆ ”
……

หลินเว่ยขมวดคิ้วและมองไปรอบ ๆ แม้ว่าเขาจะพยายามข่มพลังปราณในร่างกายของเขา แต่มันก็ไร้ผล เขาไม่สามารถควบคุมพลังปราณได้ ดูเหมือนว่าผนึกพรสวรรค์จะไม่ปล่อยโอกาสให้เขาทำแบบนั้นได้ จากนั้นใบหน้าของหลินเว่ยก็แสดงรอยยิ้มที่บิดเบี้ยว เขาพูดกับนักศิลปะการต่อสู้ของสถานศึกษาเทียนหยูว่า: “เอ่อ…ขออภัย ข้าผ่านการทดสอบหรือไม่?”

“นี่…”! ข้าสามารถเอามือกลับมาได้หรือไม่? เมื่อได้ยินคำพูดของหลินเว่ย ลูกศิษย์ของสถานศึกษาเทียนหยู ก็ได้สติ หลังจากนั้นเขาวางเสาผนึกพรสวรรค์ลง และพูดกับหลินเว่ยด้วยน้ำเสียงที่สุภาพว่า

“ได้ ขอรับ” หลินเว่ยพยักหน้ารับรู้

หลังจากนั้น หลินเว่ยก็ตรงไปที่ผลึกพรสวรรค์อีกต้นที่อยู่ไม่ไกล เมื่อเห็นหลินเว่ยกำลังมา เด็กชายที่อยู่หน้าผลึกพรสวรรค์ก็รีบถอยไปด้านข้าง และมองไปที่หลินเว่ยด้วยความหวาดกลัวในดวงตาของเขา

จากนั้นหลินเว่ยวางมือบนเสาผลึกพรสวรรค์ ไม่นานนักแสงสีม่วงก็หายไปอีกครั้ง และมันพุ่งสูงขึ้นไปกว่าหนึ่งเมตร

“เอาล่ะ” หลินเว่ยชักเอาฝ่ามือของเขากลับมา และหันหน้าไปถามศิษย์ของเทียนหยูว่า ตัวเขานั้นผ่านการทดสอบหรือไม่?