บทที่ 118 แย่งชิงลูกศิษย์

ราชาซากศพ

บทที่ 118
แย่งชิงลูกศิษย์

“ฮ่าฮ่า เด็กชาย เจ้าไม่ต้องเข้าร่วมการทดสอบอีกต่อไป ข้าจะรับเจ้าเป็นศิษย์ จากนั้นจะพาเจ้าเข้าไปที่สถานศึกษาเทียนหยู” โดยไม่รอให้ลูกศิษย์อ้าปาก ร่างของปรมาจารย์เฉียนได้ปรากฏตัวขึ้น เบื้องหน้าของหลินเว่ย

เขามองหลินเว่ยอย่างตื่นเต้น
หลังจากหัวเราะสองสามครั้ง…เขารีบร้อนที่จะรับ หลินเว่ยเป็นศิษย์

“จำเป็นต้องรับอาจารย์ด้วยหรือ?” หลินเว่ยถามอย่างสงสัย เขามาที่นี่เพื่อฝึกฝนความเข้มแข็งทางจิตวิญญาณแบบรวดเร็ว เขาไม่ต้องการเรียนรู้อะไรเพิ่มเติม หลังจากที่เขาสำเร็จแล้วก็จะจากไปทันที

“ที่จริงแล้วมันก็ไม่ใช่เรื่องจำเป็น….ข้านั้นรู้สึกประหลาดใจกับพลังการฝึกฝนของเจ้า ข้าตามหาศิษย์ชั้นยอดมานานหลายปีแล้ว ดังนั้นข้าจึงมีความคิดที่จะรับเจ้ามาเป็นลูกศิษย์” เมื่อได้ยินคำพูดของหลินเว่ย ปรมาจารย์เฉียนกลัวว่า หลินเว่ยจะเข้าใจผิด
เขาจึงรีบอธิบาย

“อา….. “ หลินเว่ยพยักหน้าเพื่อแสดงว่าเขาเข้าใจ จากนั้นเขาแสดงร่องรอยของการขอโทษ บนใบหน้าของเขา และกล่าวกับปรมาจารย์เฉียน “ขอบคุณสำหรับความเมตตาของท่าน ข้านั้นมีอาจารย์อยู่แล้ว ดังนั้นข้าจึงไม่สามารถรับปากท่านได้

โปรดให้อภัยข้าด้วย.”

“อะไรนะ…เจ้ามีอาจารย์อยู่แล้วหรือ! ไม่มีผู้ใดที่เทียบข้าได้อีกแล้ว! ข้าคิดว่าอาจารย์ของเจ้าเป็นเพียงคนธรรมดา แต่ข้าคือรองผู้นำของสถานศึกษาเทียนหยู ที่นี่เจ้าสามารถทำอะไรก็ตามที่เจ้าต้องการ ไม่มีใครกล้ารบกวนเจ้า มีเด็กสาวงดงามอีกมากมายที่นี่!”
เมื่อเห็นการปฏิเสธของหลินเว่ย ปรมาจารย์เฉียนก็เป็นกังวล แต่เขาก็ไม่แสดงร่องรอยความรู้สึกบนใบหน้าของเขา . ในทางตรงกันข้าม เขาเริ่มเกลี้ยกล่อมหลินเว่ยทีละน้อย

“ปรมาจารย์เฉียน เจ้าเป็นรองผู้นำตั้งแต่เมื่อไรกัน” ก่อนที่ปรมาจารย์เฉียนจะพูดจบ มีเสียงก็ดังมาจากท้องฟ้า

จากนั้นกลุ่มคนสามคนก็กระโดดลงมาที่ด้านข้างของหลินเว่ย และล้อมรอบหลินเว่ย ชายชราคนหนึ่งจ้องมองไปที่ปรมาจารย์เฉียนและพูดด้วยความโกรธ “ความสามารถและความแข็งแกร่งของสหายตัวน้อยนี้ จะต้องพาเข้าไปด้านในเทียนหยู แต่เจ้ากลับขวางเขาไว้ที่นี่ เห็นได้ชัดว่าเจ้ากำลังจะทำให้เขาสูญเสียพรสวรรค์ไปโดยไร้ประโยชน์?” ชายชราผู้ที่เพิ่งมาถึงเอ่ยพูด

“รองผู้นำ ท่านมาได้อย่างไร ท่านหลินเยว่! ข้าต้องการรับเขาเป็นลูกศิษย์ แต่ข้าไม่ได้ขัดขวางเพื่อไม่ให้เขาเข้าไปด้านใน ความสำเร็จของเขาในอนาคตจะเหนือกว่าข้าแน่นอน “ปรมาจารย์เฉียนถูกชายชราดุด่า แทนที่จะรู้สึกอับอาย แต่เขากลับโต้เถียงกับอีกฝ่าย
“โอ้! พวกเราทุกคนเป็นรองท่านผู้นำ ใช่…. แต่เจ้าเป็นรองผู้นำในชั้นนอก และข้าเป็นรองผู้นำในเขตชั้นใน ยิ่งไปกว่านั้นการฝึกฝนระดับความแข็งแกร่งของข้าสูงกว่าเจ้า ดังนั้นจึงเป็นทางเลือกที่เหมาะสม เพื่อให้สหายตัวน้อยคนนี้เคารพข้าในฐานะอาจารย์

“หลินเยว่หัวเราะเยาะ และกล่าวอย่างหยิ่งผยอง
“พวกท่านทั้งสองวิวาทกันด้วยเรื่องใด?” เรายังไม่ได้พูดคุยกันเลยด้วยซ้ำ

“หรือว่า เราจะคัดเลือกรองผู้นำใหม่อีกครั้งจะดีหรือไม่?”
“ ……”

ทางด้านหลินเยว่มองสำรวจขึ้นและลงไปที่หลินเว่ย ยิ่งมองก็ยิ่งพึงพอใจ คนที่เหลือของอีกฝ่ายต่างพร้อมที่จะเปิดฉากแย่งชิงหลินเว่ย ใบหน้าของพวกเขาแดงก่ำ ต่างก็พ่นน้ำลายโต้เถียงกันไม่หยุดหย่อน และเริ่มพับแขนเสื้อขึ้นเพื่อเริ่มการต่อสู้
“เอ่อ…..ข้าขอพูดอะไรบางอย่างได้หรือไม่?” หลินเว่ยพูดออกมาอย่างช่วยไม่ได้
“นี่เรากำลังถกเถียงอะไรกันอยู่ที่นี่ เราควรถามความคิดเห็นของสหายตัวน้อย” เมื่อได้ยินคำพูดของหลินเว่ย ปรมาจารย์เฉียนก็ก้าวออกไปทันที และดุด่าหลินเยว่และคนอื่น ๆ จากนั้นก็มีรอยยิ้มที่สดใสบนใบหน้าของเขา

เขากล่าวกับหลินเว่ยว่า “สหายตัวน้อย ถ้าเจ้าต้องการจะพูดอะไร ก็สามารถพูดออกมาได้เลย! อย่างที่เห็น เจ้าสามารถพูดถึงเงื่อนไขใด ๆ ได้ตามใจ ”

“ใช่…ใช่…ใช่! หากเจ้ามีเงื่อนไขใด ๆ สามารถบอกเราได้ทันที จากนั้นเจ้าสามารถตัดสินใจที่เลือกอาจารย์ได้” หลินเยว่ไม่พอใจปรมาจารย์เฉียนที่กล่าวให้ร้ายเขา จากนั้นเขาเปลี่ยนท่าทีทันทีและมองไปที่หลินเว่ย ด้วยรอยยิ้มบนใบหน้าของเขา

“เงื่อนไข…ใด ๆ ก็ตาม?” หลินเว่ยถามด้วยความประหลาดใจ

“อะไรก็ได้…ที่เราสามารถทำได้” หลินเยว่เชิดหน้าขึ้น และพูดอย่างมั่นใจราวกับว่าเขาเป็นผู้มีชัย
“ข้าต้องการวิธีที่รวดเร็วในการปรับปรุงพลังวิญญาณของข้า” หลินเว่ยกล่าวอย่างเคร่งขรึม พร้อมกับร่องรอยของความไม่สบายใจในใจของเขา

“ปรับปรุงพลังจิตอย่างรวดเร็วหรือ? นี่เป็นเรื่องง่ายมาก ตราบใดที่เจ้ารับข้าเป็นอาจารย์ ข้าจะมอบทักษะพลังจิตที่ข้าได้ฝึกฝนมา จากนั้นให้เจ้าสามารถฝึกฝนในหอวิญญาณจักรพรรดิ ด้วยวิธีนี้ความแข็งแกร่งทางจิตวิญญาณของเจ้า จะสามารถเลื่อนระดับได้อย่างรวดเร็ว อาจจะสามารถเลื่อนไปถึงระดับปฐพีได้ภายในหนึ่งปี” เมื่อได้ยินคำขอของหลินเว่ย หลินเยว่ตกตะลึงในตอนแรก จากนั้นมองไปที่หลินเว่ย ด้วยใบหน้าที่มีความสุขและพูดอย่างรีบร้อน

“ดี…!” ทันทีที่หลินเว่ยได้ยินสิ่งนี้ เขากำลังจะตอบตกลง แต่เขาได้ยินเสียงที่หนักแน่น: “สหายตัวน้อย ทำไมเจ้าต้องรีบยกระดับความแข็งแกร่งทางจิตสำหรับศิลปะการต่อสู้ บทบาทของพลังวิญญาณจะมีเพียงน้อยนิด

ตอนนี้เจ้าควรพยายามฝึกฝนพลังปราณมากกว่า”
“ท่านปรมาจารย์อาวุโส
“ทำไมท่านถึงมาอยู่ที่นี่? ถึงแม้ว่าพรสวรรค์ของเจ้าหนูคนนี้จะหายากมาเป็นร้อยปี แต่ก็ไม่น่าจะต้องรบกวนท่านให้ออกมา?”

เมื่อได้ยินเสียงนี้ หลินเยว่และคนอื่น ๆ ก็เกิดความสับสนและเริ่มพูดคุยกัน

ในเวลานี้ ร่างหนึ่งก็ปรากฏตัวต่อหน้าหลินเว่ยโดยไร้วี่แวว ราวกับว่าอีกฝ่ายอยู่ที่นั่นมานานแล้ว

นี่คือร่างของชายชรา แม้ว่าเขาจะมีผมสีขาว แต่ก็ไม่มีริ้วรอยบนใบหน้า เสื้อผ้าของเขาเรียบง่ายมาก

“อาวุโสไท่ซ่าง!”
เมื่อเห็นร่างนี้ หลินเยว่และคนอื่น ๆ ก็รีบก้มหน้าและแสดงความเคารพ

“ดี!” เมื่อเห็นท่าทีของหลินเยว่ ชายชราพยักหน้าด้วยรอยยิ้ม แต่เขาจ้องไปที่หลินเว่ยและพูดว่า “สหายตัวน้อย เจ้ายังไม่ได้ตอบคำถามของข้าเลย”
“เรื่องนี้…!” หลังจากได้ยินคำถามย้ำของอีกฝ่าย หลินเว่ยก็ดูเขินอาย ภายในหัวใจของเขานั้นตีกันยุ่ง เขาไม่ต้องการเปิดเผยตัวตนของการฝึกฝนหยูหลิงฉี

“ข้าไม่พูดได้หรือไม่?” หลินเว่ยถามอย่างระมัดระวัง
“ …… !” เมื่อได้ยินคำพูดของหลินเว่ย รอยยิ้มของชายชราก็ไม่เปลี่ยนแปลง หลังจากเงียบไปครู่หนึ่งเขาก็ถามอีกครั้ง “เจ้าเองก็เป็นปรมาจารย์จิตวิญญาณงั้นหรือ? ข้าเพิ่งพบว่าการฝึกฝนพลังจิตวิญญาณของเจ้านั้นไม่ได้อ่อนด้อย!

เหนือกว่าศิลปะการต่อสู้ในระดับเดียวกันมากนัก จำเป็นต้องฝึกฝนความแข็งแกร่งทางพลังจิตไปจนถึงระดับปฐพีด้วยหรือ?”

“ใช่….หลังจากดิ้นรนอยู่พักหนึ่ง หลินเว่ยก็ยังคงพยักหน้าและยอมรับ

“จริงหรือ? ฝึกฝนพลังจิตวิญญาณ และศิลปะการต่อสู้ ทั้งสองอย่างในเวลาเดียวกัน ปรมาจารย์เฉียนกล่าวด้วยใบหน้าตกใจ
“ข้าไม่คิดว่าการฝึกฝนหยูหลิงฉีของเขาจะแข็งแกร่งมากนัก มิฉะนั้นการฝึกฝนศิลปะการต่อสู้ของเขา คงจะไม่ถึงระดับของขุนศึกขั้นห้า ยิ่งไปกว่านั้นเขามีรากฐานที่มั่นคง ดูเหมือนจะไม่ได้มาจากการกินยาช่วยเลื่อนระดับเข้าไป” หลินเยว่ขมวดคิ้ว