บทที่ 92

เมื่อเห็นถังหยินฟาดดาบลงมา นายกองผู้นั้นก็พลันยกดาบขึ้นรับด้วยสีหน้าเงียบสงบ

แต่ถึงเขาจะตั้งรับได้ ทว่าม้าของเขากลับกระเด็นถอยออกมาหลายจั้ง จนทำให้แขนชาและได้รับบาดเจ็บเล็กน้อย เมื่อเป็นดังนั้น นายกองจึงมีท่าทีเปลี่ยนไปอย่างเร็ว เขาเริ่มรู้แล้วว่าถังหยินไม่ได้อ่อนแอไปกว่าตนเลย ดังนั้นจึงเพิ่มความระมัดระวังให้มากขึ้น และลงจากม้าเพื่อให้ใช้กำลังทั้งหมดได้ถนัด

ถังหยินเคลื่อนไหวอย่างรวดเร็วและแปลกประหลาด ส่วนนายกองเองก็ไม่ต่างกัน เขานั้นกล้าหาญและมากไปด้วยประสบการณ์ ทำให้ทั้งสองสู้กันได้โดยไม่มีใครเพลี่ยงพล้ำใครเลย

เพราะมีศัตรูอยู่มากมาย ดังนั้นถังหยินจึงไม่อยากเสียเวลากับนายกองผู้นี้นัก หลังจากเข้าปะทะกันไปได้ 10 กว่ากระบวนท่าและเห็นว่าไม่สามารถทำอันตรายอีกฝ่ายได้ ชายหนุ่มก็คิดจะใช้ไพ่ตาย !

ระหว่างการต่อสู้ เขาได้ใช้ดาบทั้ง 3 เล่มในครั้งเดียวที่ทั้งรวดเร็วและเต็มไปด้วยพลัง เข้าโจมตีที่ด้านบน ตรงกลาง และด้านล่างพร้อมกัน เพื่อบีบให้นายกองต้องก้าวหลบทุกการโจมตีด้วยความระวัง

เมื่อนายกองเข้าปะทะกับดาบของถังหยิน เขาก็ไม่ได้ยินเสียงหรืออะไรอื่นเลย ราวกับว่าโดยรอบว่างเปล่า จะมีก็แต่เพียงดาบที่ฟาดฟันมาตรงหน้าเท่านั้นที่มีตัวตน และในตอนนี้เอง ที่จู่ ๆ ก็มีสายลมพัดเข้ามาด้านหลังคอของนายกองผู้นั้น !

เขากู่ร้องออกมาและรีบก้มตัวลงพื้นกลิ้งลงไป

วูบ ! เคียวตัดผ่านหมวกของเขาไปเพียงนิดเดียวเท่านั้น หากช้ากว่านี้นายกองก็น่าจะโดนผ่าออกเป็นสองท่อนไปแล้ว และเมื่อเขากลิ้งหลบเสร็จ คนผู้นี้ก็พลันเงยหน้าขึ้นและพบว่าถังหยินได้มาอยู่ข้างหลังตนแล้ว

โดยไม่รีรอ ถังหยินใช้สับเปลี่ยนเงาอีกครั้งและเข้ามาตรงหน้าคนผู้นี้

ทั้งรวดเร็วและแปลกประหลาดยิ่งนัก… อีกฝ่ายทำยังไงกันถึงเคลื่อนที่ได้เร็วขนาดนี้ ? …หรือว่าจะเป็น !

การเคลื่อนไหวดังกล่าว ทำให้นายกองพอจะคาดเดาได้บ้างแล้วว่าอีกฝ่ายน่าจะเป็นผู้ใช้ศาสตร์มืด ! และด้วยความที่นายกองไม่เคยรับมือกับผู้ใช้วิชาเช่นนี้มาก่อน ดังนั้นเขาจึงเริ่มมีอาการหวาดกลัวขึ้นมาบ้างแล้ว !

ก่อนที่นายกองผู้นี้จะได้ยืนขึ้น ถังหยินก็ได้เข้ามาข้าง ๆ และตวัดเคียวผ่านหัวไหล่ของคนผู้นี้อย่างรวดเร็วอีกครั้ง

ด้วยยังไม่ทันตั้งตัว จึงทำให้นายกองไม่อาจหลบการโจมตีของถังหยินได้ สิ่งที่เขาทำได้ในเวลานี้ มีเพียงแค่การป้องกันจุดตายของตัวเองเอาไว้ให้ได้มากที่สุดเท่านั้น !

ทว่า เขาก็ลืมบางอย่างที่สำคัญไป

เคียวของถังหยินตัดเข้าใส่ร่างโดยไม่ได้ทำอันตรายใด ๆ มันเพียงแค่ผ่าเกราะปราณให้เปิดออก และตัดลึกลงไปตื้น ๆ ก่อนที่ไฟจากเคียวจะเผาผลาญร่างของแม่ทัพนายกองผู้นี้จนกลายเป็นจุณโดยที่เขายังไม่ทันทำอะไรเลย !

ถังหยินวางเคียวลงบนพื้น เขาอ้าปากกว้าง ก่อนจะกลืนกินพลังปราณทั้งหมดลงไปในพริบตา !

พวกมอร์ฟีสกู่ร้อง มีท่าทีหวาดกลัว และตั้งท่าจะถอยหนี ด้วยไม่คิดว่านายกองของพวกเขาจะพลาดท่าได้ง่ายดายถึงเพียงนี้

หลังจากดูดกลืนจนหมด ถังหยินก็พลันสูดลมหายใจเข้า ก่อนจะสัมผัสได้ถึงพลังปราณในร่างตนที่เพิ่มขึ้นมากถ้าเทียบกับเมื่อก่อน ชายหนุ่มขาดอีกเพียงแค่เล็กน้อยเท่านั้นก็จะไปถึงระดับปราณบรรพกาลแล้ว !

อีกแค่ก้าวเดียวเท่านั้น ! ขอแค่มีปราณอีกเล็กน้อยเขาก็จะสามารถไปถึงระดับที่เทียบเท่าหยานหลี่ได้แล้ว ความคิดดังกล่าวทำให้ถังหยินไม่อาจเก็บความตื่นเต้นเอาไว้ได้ เขามองไปรอบ ๆ ด้วยสายตาชั่วร้าย

ชายหนุ่มไม่ได้มองพวกมอร์ฟีสเป็นมนุษย์อีกต่อไป หากแต่พวกมันคืออาหารของเขาแล้วในตอนนี้

มุมปากของเขาเผยอขึ้น แต่ก็ไม่มีใครเห็นเพราะเกราะปราณปกปิดใบหน้าเอาไว้

“ฆ่ามัน !”

โดยไม่รีรอ ถังหยินพลันโบกเคียวใส่พวกมอร์ฟีส ส่งคลื่นไฟสีดำเข้าใส่พวกทหารจนกลายเป็นฝุ่นผงสีดำที่มอบพลังงานให้แก่ร่างของตน

เมื่อสูญเสียผู้นำ พวกมอร์ฟีสก็เริ่มวุ่นวาย พวกทหารกว่า 2 พันนายพากันตะโกน กรีดร้อง และวิ่งหนีตายกันจนอลหม่านไปหมด เปิดโอกาสให้ถังหยินจัดการได้ง่ายขึ้น

ยิ่งการต่อสู้ดุเดือดมากเท่าไหร่ ชายหนุ่มก็ยิ่งฆ่าพวกมันได้มากขึ้นเท่านั้น ตอนนี้เขาจัดการไปกี่คนแล้วก็จำไม่ได้ แต่ทว่าการกระทำดังกล่าวมันก็ได้ทำให้พวกมอร์ฟีสเริ่มหวาดกลัวความตาย และพากันถอยหนีไป

บอกได้เลยว่าถังหยินนั้นฝังความกลัวใส่ในหัวพวกมอร์ฟีสได้สำเร็จแล้ว เคียวในมือของเขาเป็นดั่งฝันร้ายของคนพวกนั้น หลังจากศึกนี้ พวกเขาจะต้องจดจำเคียวสีดำแห่งความตายนี้ได้อย่างแน่นอน

“นายท่าน !” ไม่รู้ว่าพี่น้องฉางกวงเข้ามาถึงด้านหลังของถังหยินตั้งแต่เมื่อไหร่

เมื่อได้ยินเสียงนั่น สติของถังหยินก็กลับมาอีกครั้ง เขาหยุดการไล่ล่าและทำการดูดกลืนปราณทั้งหมดโดยรอบ ปล่อยให้พวกมอร์ฟีสที่แตกพ่ายวิ่งหนีออกไปนอกเมือง

เมื่อเห็นว่าได้รับชัยชนะแล้ว ถังหยินก็โล่งอกและหันมองไปยังทหารของเขา

ทั้งสองพี่น้องพากันตะลึงกับภาพตรงหน้า เพราะถึงแม้เกราะของถังหยินจะมีสีดำ หากแต่ตอนนี้นั้นมันกลับอาบย้อมไปด้วยโลหิตจนเปลี่ยนเป็นสีแดงฉานไปหมดแล้ว !

“นายท่าน พวกมันพ่ายแพ้แล้ว ทหารของพวกเรามาแล้ว !” หยวนอู่พูดอย่างจริงจัง

ถังหยินหันไปมอง ก่อนจะพบเข้ากับทหาร 2 พันนายที่เดินทัพมาจากเมืองชายแดนจนถึงที่นี่ โดยสังเกตได้จากธงชัยที่โบกสะบัดในอากาศ

เขาหรี่ตาและพูดขึ้น “ออกคำสั่งไป ให้จัดการศัตรูทุกคนและจับเป็นผู้รอดชีวิตให้ได้มากที่สุด”

ทั้งสองพี่น้องตอบรับพร้อมกันและวิ่งออกไป

การต่อสู้นี้ถือว่าเป็นจุดเปลี่ยนที่ยิ่งใหญ่ และแม้ว่าถังหยินจะไม่สามารถทำร้ายพวกมอร์ฟีสได้มากมายนัก แต่เขาก็สามารถจัดการแม่ทัพของพวกมันได้ถึง 2 คน !

ชัยชนะของพวกเฟิงในครั้งนี้นับได้ว่ายังยิ่งใหญ่ทีเดียว เพราะพวกเขาสามารถล้มกองทัพทั้ง 4 พันนายลงได้ !

กลับมาทางด้านหยวนอู่และหยวนเปียว เมื่อทั้งสองพี่น้องได้รับคำสั่ง พวกเขาก็รีบไล่ล่าพวกมอร์ฟีสอย่างไม่หยุดพักในทันที ปล่อยให้ถังหยินพักอยู่ในเมือง

หลังปลดเกราะปราณออก ชายหนุ่มก็ขึ้นไปยังกำแพงเมือง

ที่ด้านหลังของเขา มีเกราะของแม่ทัพที่เขาจัดการได้เป็นสินสงครามในศึกครั้งนี้

ในเวลาเดียวกัน 2 นายทหารเฟิงก็ได้เข้ามาหาถังหยิน

ชายหนุ่มหันมองพวกเขา และมั่นใจว่าไม่เคยเห็นทั้ง 2 คนนี้มาก่อนแน่ ๆ จึงได้โบกมือ “พวกเจ้าคือ…”

“พวกเราคือนายกองป้องกันเมืองหวาง ข้าคือ เสี่ยวมูฉิง และเขา จินซิน” ชายอายุ 20 กว่าที่สวมใส่ชุดเกราะหนังเปื้อนเลือดพูดขึ้นพร้อมด้วยดวงตาที่เปล่งประกาย อันแสดงให้เห็นถึงความสามารถและความฉลาด

ถังหยินรู้สึกดีที่ได้เจอพวกเขา เพราะเป็นคนพวกนี้นี่เองที่ทำให้สามารถป้องกันเมืองไว้ได้ ทั้ง ๆ ที่มีทหารจำนวนน้อยกว่าแท้ ๆ ถ้าไม่ได้พวกเขาคอยยื้อเวลาเอาไว้ละก็ น่ากลัวว่าพวกมอร์ฟีสคงจะหายไปก่อนหน้านี้นานแล้ว

ชายหนุ่มยิ้ม พยักหน้าให้ทั้งสองแล้วพูดว่า “พวกเจ้าทำได้ดีมาก ไม่เพียงแค่ป้องกันเมือง หากแต่ยังสามารถถ่วงเวลาพวกมอร์ฟีสไม่ให้หนีกลับไปก่อนได้อีกด้วย”

พูดตามตรง พวกมอร์ฟีสนั้นมีความกล้าหาญ และความแข็งแกร่งทางด้านร่างกายที่มากกว่าพวกเฟิง ทำให้พวกเขาเสียเปรียบในเรื่องนี้อย่างมาก

เสี่ยวมูฉิงตอบกลับ “นายท่านพูดชมเกินไปแล้ว”

จินซินเองก็รู้สึกดีใจไม่น้อย เขาไม่สามารถเก็บอาการได้ จึงหัวเราะออกมาและพูดว่า “จริง ๆ แล้วพวกเรารู้ล่วงหน้าว่าพวกมันจะมา ดังนั้นจึงได้จัดเตรียมการป้องกันเอาไว้เรียบร้อยแล้วขอรับ !”

ถังหยินถามอย่างประหลาดใจ “พวกเจ้ารู้ได้ยังไงกัน ?”

จินซินเกาหัวและไม่รู้จะตอบอย่างไร เขาได้แต่หันมองไปยังสหายของเขา

เสี่ยวมูฉิงหันซ้าย หันขวา กวาดสายตามองโดยรอบ ก่อนจะพูดอย่างระมัดระวังว่า “พวกเราได้สัญญาณที่พวกมันส่งออกมาก่อน ได้ใจความว่าพวกมันนั้นตั้งใจจะทดสอบการป้องกันของเมืองหวาง ก่อนที่จะใช้กองกำลังหลักบุกปล้นหมู่บ้านรอบ ๆ ..และนี่ก็คือกลยุทธ์ขั้นพื้นฐานที่พวกมอร์ฟีสชอบใช้”