นครหลวง จวนตระกูลโอวหยาง

ใบหน้าของผู้เฒ่าโอวหยางที่นั่งอยู่บนยกพื้นสูงในห้องโถงใหญ่นั้นนิ่งขึง สมาชิกตระกูลโอวหยางแทบทุกคนก็อยู่ในโถงนั้นเช่นกัน

โอวหยางซงเหิงที่นั่งอยู่ต่ำกว่าบิดาตนหน้านิ่งเหมือนรูปปั้น บรรยากาศภายในห้องโถงตึงเครียดมาก

เสี่ยวอี้เบ้ปากบูดบึ้ง ดวงตากลมโตเต็มไปด้วยความไม่พอใจ นางมองผู้เฒ่าโอวหยางที่นั่งอยู่บนสุดของห้องโถง จากนั้นก็พ่นลมเยาะแล้วเบือนหน้าหนี

“ไอ้พวกไร้ประโยชน์ เฝ้าเสี่ยวอี้เอาไว้ให้ดี อย่าให้นางออกจากจวนได้แม้แต่ครึ่งก้าวในวันนี้” เมื่อผู้เฒ่าโอวหยางเห็นกิริยาของโอวหยางเสี่ยวอี้ เขาก็รู้สึกปวดหัวตุบขึ้นมาทันที แต่ก็ยังดึงดันยืนกรานในสิ่งที่ตัวเองพูดขณะมองสามยักษ์ร้ายแห่งตระกูลโอวหยาง

สามพี่น้องพยักหน้าพร้อมหันไปจ้องโอวหยางเสี่ยวอี้เขม็ง ทว่ากลับถูกโอวหยางเสี่ยวอี้จ้องกลับมาตาเขียว จนทั้งสามต้องเบือนสายตาหนีด้วยความรู้สึกผิดทันที

“ท่านปู่! เหตุใดจึงไม่ข้าออกไปข้างนอก! ข้าต้องไปช่วยงานที่ร้านนะ!” โอวหยางเสี่ยวอี้ถามผู้เฒ่าโอวหยางอย่างดื้อดึง

ผู้เฒ่าโอวหยางถลึงตาใส่หลานสาว “เสี่ยวอี้ ปู่เพียงแต่หวังดีกับเจ้าเท่านั้น หลายวันที่ผ่านมานี้บรรยากาศภายในนครหลวงย่ำแย่นัก องค์ชายรัชทายาทและองค์ชายสองกำลังเล่นการเมืองแย่งบัลลังก์กันอยู่ ทั้งคู่ยอมทำสิ่งใดก็ได้เพื่อดึงคนให้มาเข้าข้างตนเอง! พวกปู่เป็นห่วงสวัสดิภาพของเจ้านะ เสี่ยวอี้!”

“ต่อให้เป็นเพราะเรื่องนั้น… ท่านปู่ก็หยุดข้าให้ไปช่วยงานที่ร้านไม่ได้อยู่ดี!” โอวหยางเสี่ยวอี้ทำแก้มป่องเบ้ปากอย่างไม่พอใจแล้วเอ่ยตอบ

“ช่วยงาน… ช่วยงานอะไรกัน! เจ้าเป็นบุตรสาวของแม่ทัพ! จะไปวิ่งพล่านไปมาในที่สาธารณะทำงานเป็นบริกรในร้านอาหารได้อย่างไร! น่าอับอายสิ้นดี!” ผู้เฒ่าโอวหยางเหนื่อยใจกับหลานสาวมากเสียจนหนวดกระตุกด้วยโทสะ

เมื่อโอวหยางเสี่ยวอี้ได้ยินคำพูดของปู่ตน นางก็กอดอกทันที สายตาของเด็กหญิงจ้องไปที่ผู้เฒ่าโอวหยางอย่างเย็นชาจากนั้นก็หัวเราะเบาๆ “ท่านปู่ นี่ไม่ใช่สิ่งที่ท่านพูดเมื่อวานนี่! ตอนที่ข้าบรรลุสู่ระดับสี่ขั้นจิตยุทธการ ท่านดีใจเสียจนเนื้อเต้น! ท่านถึงกับยอมให้ข้าไปเป็นบริกรทุกวันไม่ใช่หรือ!”

ผู้เฒ่าโอวหยางตัวแข็งทื่อ ใบหน้าเจือความอับอายเล็กน้อย แต่ไม่นานนักเขาก็กลับมายิ้มเผล่พร้อมพูดอย่างหน้าไม่อาย “ถ้าข้าบอกว่าไม่ให้ไป เจ้าก็ห้ามไป! วันนี้ถึงอย่างไรเจ้าก็ต้องอยู่ที่จวนนี่ละ!”

“ฮึ! ท่านปู่ตัวเหม็น! ข้าจะเมินท่านไปตลอดชีวิตเริ่มตั้งแต่ตอนนี้เป็นต้นไป!”

โอวหยางเสี่ยวอี้โกรธมาก! นางพ่นลมใส่ผู้เฒ่าโอวหยาง แล้วเดินปึงปังเชิดหน้าออกจากห้องโถงไป

“พวกเจ้าสามคนทำบ้าอะไรอยู่! ตามไปเฝ้าสิ!” ผู้เฒ่าโอวหยางตะโกนอย่างเกรี้ยวกราดใส่สามพี่น้องที่กำลังดูความบันเทิงตรงหน้า

โอวหยางซงเหิงที่นั่งอยู่ด้านล่างปาดเหงื่อเย็นเฉียบออกจากหน้าพร้อมคิด “ท่านพ่อ… ท่านกำลังเป็นตัวอย่างชนิดไหนให้เด็กมันอยู่เนี่ย…”

ผู้เฒ่าโอวหยางใจเย็นลงหลังจากที่สามพี่น้องตัวยักษ์จากไปด้วยความหดหู่ เขาหันไปหาบุตรชายที่นั่งอยู่ด้านล่างแล้วเอ่ยถาม “สถานการณ์ฝั่งท่านจักรพรรดิเป็นอย่างไรบ้าง”

สีหน้าของโอวหยางซงเหิงเย็นชาขึ้นทันทีก่อนเอ่ยตอบด้วยน้ำเสียงจริงจัง “อาการของท่านจักรพรรดิไม่สู้ดีนักขอรับ”

ผู้เฒ่าโอวหยางถอนหายใจออกมา จักรพรรดิใช้เวลาวัยหนุ่มทั้งหมดไปกับการทำสงครามรบพุ่งกับสำนักน้อยใหญ่ต่างๆ รวมถึงผู้ฝึกตนฝีมือฉกาจมากมาย สะสมบาดแผลมากมายที่มีผลเรื้อรังต่อร่างกาย พอแก่ตัวลงโรคทั้งหลายก็รุมเร้า จนแม้แต่จักรพรรดิผู้ยิ่งใหญ่อย่างจักรพรรดิฉางเฟิ่ง ยังทนพิษบาดแผลที่สะสมอยู่ในร่างกายหลายสิบปีไม่ไหวอีกต่อไป

โอวหยางซงเหิงถอนหายใจอย่างไม่รู้จะทำอย่างไรเช่นกัน บรรยากาศภายในนครหลวงเริ่มอึมครึมแล้ว หากจักรพรรดิมาจากไปตอนนี้ ทั้งนครคงตกอยู่ภายใต้ความโกลาหลอย่างแน่นอน นี่คือเหตุผลที่ทำให้ผู้เฒ่าโอวหยางไม่ยอมให้โอวหยางเสี่ยวอี้ออกจากจวน

ห้องโถงตกอยู่ภายใต้ความเงียบงัน ไม่มีใครเอื้อนเอ่ยสิ่งใด

ผ่านไปนานพอตัว ร่างหนึ่งก็ปรากฏขึ้นหน้าห้องโถงใหญ่ เขาเดินเข้าห้องโถงมาคุกเข่าอยู่เบื้องหน้าผู้เฒ่าโอวหยาง ในมือถือซองจดหมายอยู่ซองหนึ่ง

เปลือกตาของผู้เฒ่าโอวหยางกระตุก ชายชราเปิดซองจดหมายออกกวาดสายตาอ่านอย่างรวดเร็ว

เมื่ออ่านจบ สีหน้าของชายชราก็ซีดเผือดด้วยความกลัว หนวดกระตุกไม่หยุด

โอวหยางซงเหิงกลืนน้ำลายก่อนเอ่ยถาม “ท่านพ่อ… เหตุการณ์เป็นอย่างไรหรือขอรับ”

พลังปราณเที่ยงแท้ระเบิดออกจากฝ่ามือ เผาทำลายจดหมายจนไหม้เป็นจุณ ดวงตาของชายชราเต็มไปด้วยความโศกเศร้าวังเวง

“ท่านจักรพรรดิ… สวรรคตแล้ว”

ผู้เฒ่าโอวหยางที่เอ่ยประโยคนั้นออกมาดูแก่ขึ้นสิบปีในชั่วพริบตา

บนถนนหลักของนครหลวง ร่างบางกำลังวิ่งปนกระโดดไปที่ร้านเล็กๆ ของฟางฟาง

“ฮึ! ท่านปู่โง่เง่า ให้พี่ชายซื่อบื้อสามคนนั้นมาคอยเฝ้าข้า ก็รู้อยู่ว่าสามคนนั้นบ้องตื้นขนาดไหน จะมากักตัวเสี่ยวอี้ที่ทั้งคล่องแคล่วและฉลาดเฉลียวคนนี้ได้อย่างไรกัน!” ดวงตาของเด็กหญิงหยีเป็นรูปจันทร์เสี้ยว เมื่อนางนึกถึงสีหน้าของผู้เฒ่าโอวหยางที่คงจะบันดาลโทสะไม่น้อยเมื่อรู้ว่านางหนีออกมาสำเร็จ ก็อดกระดี๊กระด๊าไม่ได้

“อ้าว หิมะตกรึ”

โอวหยางเสี่ยวอี้กำลังเดินไปตามทาง ก่อนที่จะอุทานออกมาพร้อมเงยหน้ามองอย่างงุนงง ลมหนาวพัดกรรโชกลัดท้องฟ้าสีเทาหม่น เกล็ดหิมะสีขาวราวขนห่านค่อยๆ ตกลงมาจากฟากฟ้าเบื้องบน

เสี่ยวอี้ยื่นมือขาวของนางออกไปข้างหน้า รู้สึกถึงเกล็ดหิมะที่ตกลงบนอุ้งมือตน มันละลายอย่างเงียบเชียบเปลี่ยนสภาพไปเป็นหยดน้ำเย็นเฉียบถึงกระดูก ราวกับท้องฟ้ากำลังร่ำไห้อยู่ก็ไม่ปาน

“สวยจัง” เด็กหญิงพูดพึมพำเสียงแผ่วพร้อมควันขาวเป็นไอจากลมหายใจ นางสะบัดหยดน้ำในมือทิ้ง แล้วเดินหน้าต่อไปสู่จุดหมาย

หิมะแรกในนครหลวงปีนี้เกิดขึ้นอย่างไม่มีปี่มีขลุ่ย ผู้คนที่สัญจรไปมาอยู่บนท้องถนนต่างหยุดเพื่อดูปรากฏการณ์อันงดงาม ก่อนจะรีบเร่งเดินทางต่อไป

เบื้องหลังโอวหยางเสี่ยวอี้ มีร่างสองสามร่างกำลังเดินสะกดรอยตามนางอยู่ จากนั้นก็เพิ่มความเร็วขึ้นในพริบตาจนล้อมนางเอาไว้ทุกด้าน

ดวงตาของเด็กหญิงเบิกกว้าง พลังปราณเที่ยงแท้ระเบิดออกจากกายเพื่อหนีออกจากวงล้อมนี้

ทว่าระดับพลังปราณของผู้โจมตีนั้นสูงนัก พวกเขาอยู่ที่ระดับห้าขั้นราชันยุทธการ โอวหยางเสี่ยวอี้จึงถูกจับตัวไปก่อนที่จะทันได้หนี

“ปล่อยข้า! บิดาข้าคือแม่ทัพโอวหยางนะ ท่านปู่ข้าคือผู้อาวุโสที่ได้รับความเคารพสูงสุดจากราชวงศ์! หากพวกเจ้าลักพาตัวข้า… จะต้องถูกซ้อมน่วมแน่!” โอวหยางเสี่ยวอี้เดือดดาลเป็นที่สุด! มีคนบังอาจถึงขนาดลักพาตัวบุตรสาวของแม่ทัพกลางวันแสกๆ ในนครหลวงเชียวหรือ!

เหล่าขั้นราชันยุทธการต่างเหลือบมองโอวหยางเสี่ยวอี้ พวกเขาไม่แม้แต่จะตอบนางด้วยซ้ำ ทำเพียงยัดผ้าขี้ริ้วใส่ปากเด็กหญิงแล้วแบกนางไป

“จงกลับไปรายงานนายน้อยว่าภารกิจสำเร็จแล้ว”

หนึ่งในโจรลักพาตัวพยักหน้า จากนั้นก็ใช้นิ้วเท้าดีดตัวบนพื้นเพื่อแยกออกจากกลุ่ม

ปู้ฟางกำลังนอนขดอยู่บนเก้าอี้ ตามองหิมะหนาที่กำลังตกลงมาจากท้องฟ้าสีเทาหม่น จากนั้นก็ขดตัวกลมขึ้นอีกตามสัญชาตญาณ

หิมะตก แน่นอนว่าอากาศก็ต้องหนาวเย็นขึ้นเช่นกัน

วันนั้นร้านมีคนน้อยมากเสียจนปู้ฟางเองยังงง ลูกค้าขาประจำที่มาทุกวันนั้นแทบไม่โผล่มาสักคนเดียว

“เป็นเพราะหิมะตกรึ” ชายหนุ่มพึมพำเสียงเบา ยังคงขดตัวอยู่บนเก้าอี้

ทันใดนั้นเสียงฝีเท้าสะเปะสะปะก็ดังมาจากตรอกทางเข้า จากนั้นร่างใหญ่เหมือนหมีสามร่างก็ปรากฏขึ้นที่หน้าร้าน

“หา นี่มันสามพี่น้องตระกูลโอวหยางผู้ยิ่งใหญ่จริงๆ น่ะรึ” ปู้ฟางคิด เขาประหลาดใจกับสภาพที่เห็นเล็กน้อย ดวงตามองไปที่สามพี่น้องตระกูลโอวหยางที่ยืนอยู่หน้าร้านด้วยท่าทางกระวนกระวายถึงขีดสุด

“เถ้าแก่ปู้ เด็กนั่น เสี่ยวอี้ อยู่ที่นี่หรือไม่” โอวหยางเจินถามทันทีทั้งที่ยังหอบตัวโยน

“เด็กนั่นหลอกพวกเราแล้วแอบหนีออกมา! เป็นพี่น้องต้องไว้เนื้อเชื่อใจกันมิใช่รึ!” โอวหยางตี้เอ่ย

ปู้ฟางมองทั้งสามอย่างไร้อารมณ์แล้วพูดเสียงเรียบ “โอวหยางเสี่ยวอี้ไม่ได้มาวันนี้”

“นางไม่อยู่ที่นี่รึ! เป็นไปได้อย่างไร… หรือว่านาง…” โอวหยางอู๋จ้องปู้ฟาง ดูเหมือนว่าเขาจะคิดบางสิ่งได้ สีหน้าของทั้งสามเปลี่ยนไปทันที ต่างหันมามองหน้ากันพร้อมอุทาน “ไม่นะ!”

โอวหยางเสี่ยวอี้แอบหนีออกมาเพื่อมาช่วยงานที่ร้าน แต่นางกลับไม่อยู่ที่ร้าน… นั่นก็แปลได้อย่างเดียว

“ไอ้ชาติชั่วจัญไร บังอาจมาลักพาตัวน้องหญิงของข้า…” โอวหยางเจินตะโกนอย่างบันดาลโทสะ สามพี่น้องรีบหันหลังกลับแล้วจากไปอย่างโกรธเกรี้ยว ทิ้งปู้ฟางที่กำลังงุนงงเอาไว้เบื้องหลัง

ชายหนุ่มมองสามยักษ์ร้ายออกจากตรอกไปด้วยสีหน้านิ่งเฉย มุมปากยกขึ้นเป็นรอยยิ้มขบขัน “สามพี่น้องนี่… ดูท่าจะสติปัญญาถดถอยไปเสียแล้ว”

…………………..