ณ จวนตระกูลเซียว เซียวเหมิงกำลังจ้องมองจดหมายลับในมือโดยไม่พูดสิ่งใด
ผ่านไปพักใหญ่ผู้เป็นแม่ทัพก็ถอนหายใจยาว เขาเงยหน้าขึ้นมองไปทางท้องพระโรงของวังหลวง ดวงตาเต็มไปด้วยความเศร้าและความทุกข์ระทมลึกล้ำเสียจนอธิบายออกมาเป็นคำพูดไม่ได้
“ท่านพ่อ เกิดสิ่งใดขึ้นหรือเจ้าคะ” เซียวเยียนอวี่ถามด้วยความเป็นกังวลขณะมองใบหน้าโศกเศร้าของบิดา
เซียวเสี่ยวหลงมองบิดาผู้ยิ่งใหญ่ของตนด้วยสีหน้างุนงงเช่นกัน เซียวเหมิงห้ามพวกเขาทั้งสองออกจากจวนตั้งแต่ช่วงเช้าแล้ว สองพี่น้องที่ตั้งท่าจะออกจากบ้านไปกินอาหารอร่อยที่ร้านเล็กๆ ของฟางฟางรู้สึกตกใจเป็นอันมาก
เซียวเยียนอวี่เป็นสตรีที่ฉลาดหลักแหลมยิ่ง ทั้งยังอ่านสถานการณ์ขาดกว่าโอวหยางเสี่ยวอี้ที่มักทำอะไรตามใจตนเอง นางเดาได้ว่าเหตุผลที่บิดาไม่ยอมให้พวกนางออกจากจวนตระกูลเซียวในวันนี้ น่าจะเพื่อความปลอดภัยของพวกเขาทั้งสองเอง
หากพวกเขายังต้องป้องกันตนเองให้ปลอดภัยแม้อยู่ในนครหลวง เหตุผลก็น่าจะมีเพียงข้อเดียว นั่นคือนครหลวงไม่ใช่สถานที่ที่ปลอดภัยอีกต่อไป หรือไม่ก็… มันไม่ปลอดภัยสำหรับผู้มีฐานันดรศักดิ์อย่างบุตรของขุนนางแล้วนั่นเอง
“วังหลวงตกอยู่ในความโกลาหลรึ” เสียงไพเราะราวนกร้องเพลงของเซียวเยียนอวี่ดังขึ้นถามเซียวเหมิงผู้เป็นบิดา
เซียวเหมิงมองบุตรสาวตน กล้ามเนื้อบนใบหน้าสั่นไหวเล็กน้อย ก่อนเขาจะค่อยๆ เปิดปากพูด
“ท่านจักรพรรดิ… สวรรคตแล้ว”
เมื่อเซียวเยียนอวี่และเซียวเสี่ยวหลงได้ยินดังนั้น ทั้งสองก็ตัวสั่นทันที ดวงตาพลันเบิกกว้าง…
ตระกูลเซียวไม่ใช่ตระกูลเดียวที่รู้ข่าวนี้ ตระกูลที่มั่งคั่งทรงอำนาจหลายตระกูลซึ่งอาศัยอยู่ในนครหลวงเองก็ได้รับข่าวดังกล่าวเช่นกัน ข่าวการสวรรคตของจักรพรรดิเปรียบเสมือนคลื่นยักษ์ร้ายรุนแรงที่ถาโถมเข้าใส่นครหลวง
กษัตริย์ผู้ปกครองนครมาหนึ่งชั่วอายุคน จักรพรรดิฉางเฟิ่ง… สวรรคตแล้ว
ข่าวนี้เปรียบเสมือนภัยพิบัติครั้งใหญ่ที่ทำให้จักรวรรดิวายุแผ่วสะท้านสะเทือน
ลำพังสถานการณ์ในนครหลวงเองก็ไม่สู้ดีอยู่แล้ว ความตายของจักรพรรดิได้เพิ่มความโกลาหลให้ทวีคูณมากยิ่งขึ้นไปอีก การต่อสู้แย่งชิงบัลลังก์ขององค์ชายรัชทายาทและองค์ชายสองเปลี่ยนจากเรื่องลับมาเป็นการต่อสู้ในที่แจ้งในที่สุด
ด้วยเหตุนี้เหล่าตระกูลสูงศักดิ์ทั้งหลายจึงกักบริเวณลูกหลานของตนให้อยู่แต่ในจวนเท่านั้น
ทันทีที่ศึกชิงบัลลังก์เริ่มต้นขึ้น องค์ชายทั้งสองจำต้องทำทุกวิธีทางเพื่อดึงขุนนางให้มาเป็นพวกของตนให้มากที่สุด แน่นอนว่าจะต้องใช้สารพัดวิธีสกปรกอย่างการข่มขู่ลักพาตัว… พวกเขายอมทำทุกอย่างเพื่ออำนาจสูงสุดและมงกุฎบนศีรษะ
ในวันนี้เมื่อข่าวการสวรรคตของจักรพรรดิแพร่กระจายออกไป องค์ชายรัชทายาทจีเฉิงอันและอวี่อ๋องต่างรีบเข้าวังหลวงและมุ่งตรงไปยังท้องพระโรงทันที
อีกราวครึ่งชั่วยามต่อมา องค์ชายรัชทายาทและอวี่อ๋องก็ออกจากวังหลวงไป ทั้งสองเตรียมม้าและเกวียนเพื่อเริ่มเดินสายเยี่ยมเยียนจวนต่างๆ ของขุนนางทีละคน เพื่อรวบรวมพรรคพวกให้ได้มากที่สุด
การต่อสู้แย่งชิงราชบัลลังก์ขององค์ชายรัชทายาทและอวี่อ๋องเดินทางมาถึงโค้งสุดท้ายแล้ว
…
ณ จวนตระกูลเจ้า บ้านพักของเสนาบดีฝ่ายซ้าย เจ้ามู่เฉิง
ยศถาบรรดาศักดิ์ของเจ้ามู่เฉิงในจักรวรรดิวายุแผ่วนั้นยิ่งใหญ่เสียจนแม้แต่องค์ชายยังต้องปฏิบัติกับเขาอย่างดี จุดที่เขายืนอยู่นี้เป็นรองเพียงคนผู้เดียวเท่านั้น ซึ่งก็คือเซียวเหมิงผู้ทำหน้าที่ปกป้องอาณาจักรจากภยันอันตรายทั้งปวง
เจ้ามู่เฉิงนั้นยังไม่นับว่าแก่ เขาดูแข็งแรงดี แม้ว่าผมดำแซมขาวจะทำให้ดูมีอายุไปบ้างก็ตาม
เสนาบดีฝ่ายซ้ายกำลังนั่งอยู่บนเก้าอี้ไม้มีพนัก ดวงตาหรี่ลงเล็กน้อย พร้อมเอามือข้างหนึ่งตบพุงตนเอง
ทันใดนั้นเสียงฝีเท้าก็ดังขึ้นจากหลังประตู ตามมาด้วยร่างร่างหนึ่งที่ก้าวเข้ามาในห้อง…
“ท่านพ่อ! บุตรของท่านกลับมาแล้วขอรับ” เจ้ารู่เก๋อในชุดคลุมปักลายเดินเข้าห้องมา จากนั้นก็ทำความเคารพเจ้ามู่เฉิงที่นั่งอยู่บนเก้าอี้ด้วยความเคารพ
“จัดการเรียบร้อยหรือยัง” เจ้ามู่เฉิงหรี่ตาแล้วเอ่ยถาม
“จัดการเรียบร้อยขอรับ แต่… เหตุใดท่านพ่อจึงส่งคนไปลักพาตัวโอวหยางเสี่ยวอี้หรือขอรับ ท่านไม่กลัวว่าตาบ้าโอวหยางฉีจะเป็นบ้าเอาหรือ” เจ้ารู่เก๋อมองเจ้ามู่เฉิงด้วยสายตางุนงง เขาไม่เข้าใจแม้แต่น้อยว่าตระกูลเจ้าจะเข้าไปยุ่มย่ามกับเรื่องยุ่งเหยิงนี้เพื่อสิ่งใดกัน
“จีฉางเฟิ่งตายแล้ว พอเขาตายไป หม้อใบใหญ่ที่เรียกกันว่านครหลวงใบนี้ก็จะเริ่มเดือด เพื่อทำให้รสของมันจัดจ้านขึ้น เราจึงต้องเพิ่มเครื่องปรุงเข้าไปนิดหน่อย…” เจ้ามู่เฉิงลืมตาขึ้น ดวงตาของเขาดูสงบสุขเหมือนน้ำนิ่ง
ความเคารพยำเกรงของเจ้ารู่เก๋อที่มีต่อบิดาทวีคูณมากขึ้นไปอีก
“ไปได้แล้ว จำไว้ว่าอย่าปฏิบัติกับเด็กนั่นแย่เป็นอันขาด เราเพียงแต่นำนางมาเพื่อจุดประกายไฟเท่านั้น หากนางเป็นอะไรไป ไอ้โอวหยางฉีมันต้องพยายามฆ่าพวกเราแน่ ตาแก่หัวทึบนั่นมันรักหลานสาวอย่างกับอะไรดี” เจ้ามู่เฉิงหัวเราะในลำคอ
“เราต้องปล่อยให้มันไปหาเรื่ององค์ชายรัชทายาทกับอวี่อ๋องก่อน ให้มันเป็นฝ่ายคนหม้อให้เริ่มเดือด…”
เจ้ารู่เก๋อชะงักไปชั่วครู่ ดูเหมือนว่าจะคิดอะไรบางอย่างได้ ชายหนุ่มยิ้มมุมปากเล็กน้อยขณะพยักหน้าแล้วออกจากห้องไป
เจ้ามู่เฉิงมองเจ้ารู่เก๋อจากไปแล้วหัวเราะออกมาอีกครั้ง
หลังออกจากห้องมาแล้ว เจ้ารู่เก๋อก็เดินอยู่ในจวนตระกูลเจ้าสักพัก ก่อนมาถึงห้องที่ถูกคุ้มกันด้วยผู้ฝึกตนขั้นราชันยุทธการสองคน
“เฝ้าเอาไว้ให้ดีเล่า เด็กนี่ฉลาดมาก อย่าให้สบโอกาสหนีไปได้เป็นอันขาด” เจ้ารู่เก๋อพูดด้วยสีหน้าจริงจัง
ผู้ฝึกตนขั้นราชันยุทธการสองคนพยักหน้าขึงขัง
ชายหนุ่มมองไปที่ห้องซึ่งเงียบกริบพร้อมยิ้มออกมา “ข้าอยากรู้นัก หากเถ้าแก่ปู้รู้ว่าเด็กนี่ถูกลักพาตัวมา… เขาจะทำอย่างไร จะรีบรุดมาที่นี่พร้อมไอ้ก้อนเหล็กนั่นไหมนะ เช่นนั้นก็น่าจะสนุกดี”
…
ภายในวังขององค์ชายรัชทายาท ตัวองค์ชายกำลังปั้นรอยยิ้มบนใบหน้าขณะมองผู้เฒ่าโอวหยางที่หน้าตาถมึงทึงเหมือนยักษ์ร้าย แน่นอนว่าตำแหน่งผู้อาวุโสสูงสุดของผู้เฒ่าโอวหยางนั้นแปลว่าชายหนุ่มจะไปทำให้ขุ่นเคืองใจไม่ได้โดยเด็ดขาด
“ท่านผู้อาวุโส ข้าขอสาบานด้วยชีวิตตนเองเลยว่าข้าไม่เคยแตะโอวหยางเสี่ยวอี้แม้แต่ปลายผม!” ใบหน้าของจีเฉิงอันจริงจังขณะสาบานตนต่อหน้าผู้เฒ่าโอวหยาง
“ไอ้ชาติชั่ว! มันจะเป็นใครไปได้อีกถ้าไม่ใช่เจ้า หากเจ้าแตะเสี่ยวอี้แก้วตาดวงใจของข้าแม้แต่ปลายก้อย ข้าจะพังไอ้วังองค์ชายรัชทายาทสวะของเจ้าให้กลายเป็นซากไปให้หมดมันเสียเลย!” อารมณ์ของผู้เฒ่าโอวหยางนั้นไม่ดีเป็นอย่างมาก เขาทั้งชี้หน้าองค์ชายรัชทายาทพร้อมด่าหยาบคายฉาดๆ เสียจนองค์ชายรัชทายาทเองแทบคุมอารมณ์ไม่อยู่
แต่องค์ชายก็ไม่มีทางเลือกอื่น นอกเสียจากต้องฝืนยิ้มต่อไปขณะมองผู้เฒ่าตระกูลโอวหยางปึงปังจากไปอย่างขุ่นเคือง
หลังออกจากวังองค์ชายรัชทายาทเรียบร้อย ชายชราก็ไปอาละวาดเช่นเดียวกันนี้ที่ตำหนักอวี่อ๋อง เขาด่าอวี่อ๋องเสียจนเปิดเปิง แต่ก็ไม่ได้ข้อมูลอะไรเพิ่มเติมว่าโอวหยางเสี่ยวอี้หายตัวไปอยู่ที่ใด
ทว่าหลังจากที่องค์ชายทั้งสองถูกผู้เฒ่าโอวหยางด่าจนสะบักสะบอมเรียบร้อย ทั้งสองก็ไม่กล้าชิงดีชิงเด่นกันอย่างเปิดเผยถึงเพียงนี้อีกต่อไป
ชายชรากลับมาที่จวนโอวหยาง เขาดูหมดราศีและหมดแรงไปเรียบร้อยหลังจากด่าองค์ชายทั้งสองไปมากมาย สีหน้าของผู้เฒ่าดูบอกบุญไม่รับเป็นอย่างยิ่ง
หากทั้งอวี่อ๋องและองค์ชายรัชทายาทไม่ได้ลักพาตัวเสี่ยวอี้ไป แล้วจะเป็นใครกันเล่า
ในนครหลวงแห่งนี้จะมีใครหน้าไหนกล้าพอจับตัวหลานสาวของโอวหยางฉีได้อีก
ผู้เฒ่าโอวหยางคิดอยู่สักพัก ก่อนที่ในที่สุดชื่อหนึ่งจะผุดขึ้นมาในใจ… ไอ้เจ้ามู่เฉิง?!
…
ตลอดสามวันที่ผ่านมา จำนวนลูกค้าที่มากินข้าวที่ร้านเล็กๆ ของฟางฟางนั้นน้อยมาก จนปู้ฟางแทบจะเบื่อตาย เขาไม่รู้แม้แต่น้อยว่าเกิดอะไรขึ้นภายในนครหลวง รู้เพียงว่าลูกค้าที่เคยมาร้านของตนหายไปเท่านั้น
โอวหยางเสี่ยวอี้เองก็ไม่ได้มาในช่วงสามวันนี้เช่นกัน ปู้ฟางรู้เรื่องวิกฤตในนครหลวงมาจากเจ้าอ้วนจินที่ยังคงมากินข้าวทุกวัน ชายหนุ่มได้รู้จากปากของชายอ้วนว่าตระกูลใหญ่ทุกตระกูลกำลังเลือกข้างอย่างระมัดระวัง
จักรพรรดิสวรรคตแล้ว องค์ชายรัชทายาทและอวี่อ๋องก็เริ่มต่อสู้แย่งชิงบัลลังก์กัน
ปู้ฟางตกใจกับสิ่งที่ได้ยินเป็นอันมาก เขาไม่รู้แม้แต่น้อยว่ากำลังมีศึกแย่งอำนาจแย่งอาณาจักรกันอยู่ หลังจากฟังอยู่สักพัก ชายหนุ่มก็เดินจากไปด้วยความตกใจ ข่าวการสวรรคตของจักรพรรดิเองก็ทำให้เขาเศร้าใจเช่นกัน
ทว่าเขากลับเป็นห่วงเรื่องของโอวหยางเสี่ยวอี้ที่ถูกลักพาตัวไปมากที่สุด เด็กหญิงเป็นบริกรของร้านนี้ก็ย่อมถือว่าเป็นคนของร้านเล็กๆ ของฟางฟางด้วยเช่นกัน ในเมื่อนางเป็นลูกจ้างของเขา เขาในฐานะเจ้าของร้านจะยอมปล่อยให้ใครมาข่มเหงรังแกคนของตนเองได้อย่างไร
ปู้ฟางนั่งขดตัวอยู่บนเก้าอี้มองหิมะที่ตกลงมาไม่ขาดสาย หิมะขาวสะอาดเริ่มปกคลุมทั่วนครหลวงเป็นสีเงินหนาระยับ ทำให้เมืองทั้งเมืองดูสวยงามเป็นอันมาก
“เถ้าแก่ปู้ ดูว่างนะ ดูเหมือนว่าข้าจะมาถูกเวลาจริงเสียด้วย” เสียงคุ้นหูดังขึ้น เสียงนั้นเจือไปด้วยความยโสโอหัง
เจ้ารู่เก๋อยืนอยู่ที่ปากทางเข้าร้าน และกำลังมองปู้ฟางด้วยใบหน้าเปื้อนยิ้ม
…………………..