เจ้ารู่เก๋ออยู่ในชุดคลุมปักลาย ดูหล่อเหลาเอาการและสูงศักดิ์ยิ่ง เขายืนอยู่ที่ปากทางเข้าพร้อมรอยยิ้มบนใบหน้า สายตามองปู้ฟางที่ขดตัวอยู่บนเก้าอี้
ปู้ฟางเลิกคิ้วด้วยความประหลาดใจ แน่นอนว่าเขาจำชายหนุ่มผู้นี้ได้ เนื่องจากอีกฝ่ายพยายามติดสินบนตนด้วยผลึกถึงสองครั้งสองคราด้วยกัน แต่กลับโดนปฏิเสธทั้งสองครั้ง แม้จะเจอกันไม่นาน แต่ปู้ฟางก็ยังจำหน้าตาของชายหนุ่มตรงหน้าได้ดี
ปู้ฟางลุกออกจากเก้าอี้ เขามองเจ้ารู่เก๋อแล้วเอ่ยถาม “จะกินอะไร”
เจ้ารู่เก๋อก้าวเข้าร้านมาพร้อมปัดหิมะบนเสื้อผ้าออก เขาผ่อนลมหายใจออกแล้วนั่งลงบนเก้าอี้ หลังจากที่มองรายการอาหารบนผนัง ก็สังเกตเห็นว่าร้านนี้มีอาหารจานใหม่เพิ่มขึ้นมาจากครั้งล่าสุดที่เขามาเยือน
พอนึกถึงรสชาติแสนอร่อยของอาหารฝีมือปู้ฟาง ท้องของชายหนุ่มก็ร้องตอบรับออกมา เจ้ารู่เก๋อสั่งซี่โครงเปรี้ยวหวาน ข้าวผัดไข่สูตรปรับปรุง และสุราหัวใจหยกเยือกแข็ง
ปู้ฟางพยักหน้าแล้วเดินเข้าครัวไปเริ่มทำอาหารที่สั่ง ไม่นานนักกลิ่นหอมก็ลอยออกจากครัวเข้ามายังบริเวณห้องอาหาร กลิ่นนั้นหอมเข้มมากจนเจ้ารู่เก๋อต้องทำจมูกฟุดฟิดในอากาศ
ผ่านไปสักพัก ร่างสูงโปร่งของปู้ฟางก็เดินออกจากครัวมาพร้อมจานอาหารในมือ ชายหนุ่มวางจานลงตรงหน้าเจ้ารู่เก๋อ
บุตรชายเสนาบดีฝ่ายซ้ายไม่ได้เริ่มกินทันที แม้ควันฉุยจะลอยออกจากอาหารทำให้เขารู้สึกหิวมาก แต่เจ้ารู่เก๋อก็ยังอดใจเอาไว้ได้ ดวงตาที่ยิ้มอยู่ของเขามองไปยังปู้ฟาง
“เถ้าแก่ปู้ แล้วเสี่ยวอี้เล่า วันนี้ไม่มารึ” เสียงของชายหนุ่มฟังดูเย้ยหยัน
ปู้ฟางมองชายตรงหน้าอย่างไร้อารมณ์ จากนั้นก็ลากเก้าอี้มานั่งลง เขานั่งหลังตรงอยู่ตรงหน้าเจ้ารู่เก๋อ กริยาทั้งหมดกระทำด้วยท่าทางค่อยเป็นค่อยไปไม่รีบร้อน
“นางไม่มาวันนี้” ชายหนุ่มตอบเสียงเรียบ รูม่านตาสีดำสนิทจับจ้องอยู่ที่แก้มของเจ้ารู่เก๋อ
เจ้ารู่เก๋อสงบนิ่งเป็นอันมาก สีหน้าของชายหนุ่มไม่เปลี่ยนแม้แต่น้อยแม้ปู้ฟางจะกำลังจ้องเขาเขม็ง หลังจากที่แพ้มาหลายครั้งเพราะร้านแห่งนี้ นี่เป็นครั้งแรกที่เขาเป็นต่อ จึงมาหาปู้ฟางด้วยทัศนคติของผู้มีแต้มต่อเช่นนี้ได้
“เถ้าแก่ปู้ไม่สงสัยรึว่านางหายไปไหน” เจ้ารู่เก๋อถามพร้อมรอยยิ้ม
ปู้ฟางไม่ได้ตอบในทันที เขาเพียงแต่จ้องเจ้ารู่เก๋อเท่านั้น และอีกฝ่ายเองก็ไม่ได้แสดงอาการลุกลี้ลุกลนเช่นกัน เจ้ารู่เก๋อเปิดผ้าคลุมเหยือกออกพร้อมรอยยิ้มบาง จากนั้นก็รินสุราให้ตนเองหนึ่งจอก กลิ่นหอมของสุรากระจายไปทั่วบริเวณทันที กลิ่นนั้นอ้อยอิ่งอยู่ที่ปลายจมูก สีหน้าของชายหนุ่มพลันเปลี่ยนเป็นมีความสุขล้ำ
ในอดีตเขาเคยเชื่อว่าสุราอันดับหนึ่งในอาณาจักรวายุแผ่วคือสุราน้ำอัญมณีทิพย์ของวังหลวง แต่หลังจากที่ได้ดื่มสุราหัวใจหยกเยือกแข็ง เขาก็ต้องยอมสยบให้มันในที่สุด
“เถ้าแก่ปู้อยากได้สักจอกหนึ่งหรือไม่” เจ้ารู่เก๋อเขย่าเหยือกกระเบื้องสีฟ้าขาวในมือเล็กน้อย แล้วเอ่ยถามปู้ฟางตามมารยาท
“อ้อ รอสักครู่” ปู้ฟางตอบเสียวเบา จากนั้นก็ลุกขึ้นยืนแล้วเดินเข้าครัวไปท่ามกลางสายตาอับอายของเจ้ารู่เก๋อ จากนั้นชายหนุ่มเจ้าของร้านก็กลับมาพร้อมจอกสุรากระเบื้องในมือ
“รินให้เต็มเลย ไม่ต้องเกรงใจ” ปู้ฟางเอ่ย
เจ้ารู่เก๋อมองปู้ฟางอย่างจนด้วยคำพูดพร้อมคิดในใจว่า “ไม่รู้รึว่าข้าถามตามมารยาทไปอย่างนั้น เราไม่ได้สนิทกันด้วยซ้ำ แล้วข้าจะเลี้ยงเหล้าเจ้าไปเพื่ออะไรกันเล่า แถมเหล้าที่เจ้าขายก็ตั้งสิบห้าผลึก ที่สำคัญที่สุดคือให้น้อยจนแทบไม่พอดื่ม”
แต่เจ้ารู่เก๋อก็ปฏิเสธผลที่ตามมาจากการถามตามมารยาทของตนเองไม่ได้ และจำใจต้องรินสุราลงจอกของปู้ฟางผู้ที่กำลังมองมาอย่างจริงใจ ชายหนุ่มรินสุราให้เจ้าของร้านด้วยสีหน้าตายด้าน
ปู้ฟางยกสุราขึ้นจิบด้วยสายตาพึงพอใจ
ด้วยอากาศเย็นเยือกและหิมะที่ตกอยู่ภายนอกร้าน การทำให้ร่างกายอบอุ่นด้วยสุราชั้นเลิศนั้นเป็นความสุขเหลือแสน…
“เถ้าแก่ปู้ เจ้าไม่สงสัยหรือว่าเหตุใดเด็กนั่นถึงไม่มาที่ร้านเสียที” บุตรชายเสนาบดีฝ่ายซ้ายถามย้ำอีกครั้ง เขาดื่มสุราในมือจนหมด จากนั้นก็หรี่ตามองปู้ฟาง
ชายหนุ่มเจ้าของร้านมองเจ้ารู่เก๋อ จากนั้นก็วางจอกสุราว่างเปล่าลงบนโต๊ะ แล้วถือวิสาสะหยิบเหยือกขึ้นมารินสุราให้ตนเอง “ข้าจะต้องรู้ไปทำไม…”
เจ้ารู่เก๋อมีสีหน้าไร้อารมณ์ ขณะมองปู้ฟางดื่มสุราหัวใจหยกเยือกแข็งที่เขาสั่งด้วยท่าทางสบายๆ รู้สึกเศร้าขึ้นมาทันทีที่ตนเองคิดสั้นไปเปิดปากเอ่ยชวนตามมารยาทเช่นนั้น
“นางเป็นลูกน้องเจ้านะ! ในฐานะนายจ้าง เจ้าไม่เป็นห่วงลูกน้องตนเองหน่อยรึ” เจ้ารู่เก๋อถาม
“ข้าเป็นห่วงมากแน่นอนอยู่แล้ว” ปู้ฟางตอบ
“นี่น่ะรึสีหน้าท่าทางของคนเป็นห่วงน่ะ” เจ้ารู่เก๋อพูดไม่ออกจนต้องเม้มปากแน่น
ปู้ฟางยกจอกขึ้นจิบอีกครั้ง แก้มเริ่มแดงเรื่อ ดูเหมือนว่าสุราจะเริ่มออกฤทธิ์แล้ว
ใครก็ตามที่ได้ดื่มสุราหัวใจหยกเยือกแข็งล้วนหยุดดื่มไม่ได้ด้วยกันทั้งสิ้น ดังนั้นปู้ฟางจึงรินให้ตนเองอีกจอก…
ดวงตาของเจ้ารู่เก๋อที่จ้องปู้ฟางอยู่นั้นแทบปล่อยลำแสงออกมา… “แค่นี้ก็แทบจะไม่พอดื่มอยู่แล้ว แต่เจ้ากลับรินให้ตัวเองอีกจอก ทั้งๆ ที่ดื่มไปแล้วสอง! ไม่มียางอายเลยหรืออย่างไรกัน!” เขาคิด
ปู้ฟางวางจอกลงบนโต๊ะ ก่อนถอนหายใจหนักออกมาแล้วเอ่ยตอบ “ข้าเป็นห่วงมาก แต่ข้าก็ไม่ได้กังวลอะไร เพราะถึงอย่างไรเจ้าก็ไม่ทำอะไรนางอยู่แล้ว”
ปู้ฟางมองเจ้ารู่เก๋อด้วยสีหน้าตายด้าน ในขณะที่รูม่านตาของอีกฝ่ายหดแคบลงเมื่อได้ยินสิ่งที่ชายหนุ่มเอ่ย เขาไม่ได้คิดว่าปู้ฟางจะเดาถูกทันทีว่าตนเองเป็นคนลักพาตัวโอวหยางเสี่ยวอี้ไป
“จู่ๆ เจ้าก็เดินเข้าร้านมาบอกเรื่องนี้กับข้าเองโดยไม่มีเหตุผล ไม่ได้ต่างอะไรกับการเดินมาสารภาพผิดแม้แต่น้อย… แต่ข้าก็ยังไม่กังวลอยู่ดี เพราะเจ้าไม่กล้าทำอะไรนางแน่นอน เจ้าไม่กล้าผิดใจกับตระกูลโอวหยางแน่” ปู้ฟางเอ่ย
“ฮ่าๆ! เถ้าแก่ปู้นี่อ่านข้าได้ทะลุปรุโปร่งจริง ข้าประมาทเกินไปสินะ ข้าอยากรู้เหลือเกินว่าเถ้าแก่ปู้อยากร่วมมือกับข้าหรือไม่ ตอนนี้นครหลวงกำลังตกอยู่ในความโกลาหล เป็นเวลาที่ดีที่สุดแล้วที่จะเลือกข้าง หากเถ้าแก่ปู้ยินดีร่วมมือกับข้า ข้ารับรองได้เลยว่าอนาคตของร้านเล็กๆ ของฟางฟางจะต้องกลายเป็นร้านอาหารที่โด่งดังในนครหลวง หรือแม้กระทั่งจักรวรรดิวายุแผ่วแน่นอน”
ดวงตาของเจ้ารู่เก๋อที่จ้องมองปู้ฟางดูกระตือรือร้นเป็นอันมาก
“ร่วมมือรึ” ปู้ฟางมองหน้าเจ้ารู่เก๋ออย่างไร้อารมณ์ “ไม่สนใจ”
“เถ้าแก่ปู้ อย่าเพิ่งด่วนปฏิเสธข้าเลย บิดาของข้าเป็นถึงเสนาบดีฝ่ายซ้ายคนปัจจุบันเชียวนะ ตระกูลข้ามีอำนาจมากพอจะทำให้ร้านเล็กๆ ของฟางฟางก้าวขึ้นมาเป็นร้านอาหารอันดับหนึ่งในจักรวรรดิได้อย่างแน่นอน แล้วยิ่งเจ้ามีหุ่นเชิดที่แสนทรงพลังกับอสูรเวทในตำนานด้วย การช่วยให้องค์ชายหนึ่งในสองพระองค์ได้ก้าวขึ้นมารับตำแหน่งจักรพรรดินั้นไม่ใช่เรื่องยากแม้แต่น้อย” เจ้ารู่เก๋อเอ่ย
ปู้ฟางส่ายหน้าหลังจากมองเจ้ารู่เก๋ออีกปราดหนึ่ง จากนั้นก็เทสุราหัวใจหยกเยือกแข็งให้ตนเองอีกหนึ่งจอก จนสุราราคาสิบห้าผลึกหมดเหยือกไปเสียเช่นนั้น
หลังจากที่กระดกจนหมด ชายหนุ่มก็ไม่ได้ตอบเจ้ารู่เก๋อแต่อย่างใด ทำเพียงเดินเซเล็กน้อยกลับเข้าครัวไปอย่างช้าๆ แทน
ความเงียบคือคำปฏิเสธชั้นดี
แววกระตือรือร้นบนใบหน้าเจ้ารู่เก๋อค่อยๆ จางหายไป เขาเริ่มกินซี่โครงเปรี้ยวหวานและข้าวผัดไข่ด้วยสีหน้าสำรวม แต่เมื่อหยิบเหยือกสุราหัวใจหยกเยือกแข็งขึ้นมา ชายหนุ่มก็พบว่าเหยือกนั้นว่างเปล่าเสียแล้ว…
ในตอนนั้นเจ้ารู่เก๋อแทบอยากจะเดินเข้าครัวไปปาเหยือกอัดหัวปู้ฟางยิ่งนัก! ไอ้หมอนี่มันเกินไปจริงๆ!
พอกินหมด เจ้ารู่เก๋อก็โยนผลึกจำนวนหนึ่งลงบนโต๊ะแล้วรีบจากไป เขาดื่มสุราหัวใจหยกเยือกแข็งไปได้แค่จอกเดียวเท่านั้นจากทั้งเหยือก แถมยังต้องเสียงเงินซื้อราคาเต็มไปตั้งสิบห้าผลึก ที่เหลือลงไปกองอยู่ในท้องปู้ฟางจนหมด ช่างน่าโมโหอะไรเช่นนี้!
…
ภายในจวนตระกูลเจ้า เจ้ามู่เฉิงกำลังเดินทอดน่องอยู่ในสวนในชุดคลุมยาวลายนกกะเรียน แต่สวนที่เขาเดินอยู่นั้นกลับไม่ได้เขียวขจีเลยแม้แต่น้อย เนื่องจากปกคลุมไปด้วยชั้นหิมะ
ร่างหนึ่งพุ่งเข้ามาในจวน ก่อนมาหยุดที่เบื้องหน้าเจ้ามู่เฉิงแล้วพูดด้วยท่าทางเคารพ “จดหมายลับถึงมือองค์ชายรัชทายาทเรียบร้อยแล้วขอรับ”
เจ้ามู่เฉิงพยักหน้าเบาๆ เขายกมือขึ้น ทันใดนั้นก้อนพลังปราณเที่ยงแท้สีเหลืองอ่อนที่ส่งกลิ่นอายความสงบสุขร่มเย็นก็ก่อตัวขึ้นในฝ่ามือ
“ทำได้ดีมาก จับตัวนายน้อยขุนศึกหยางมาแล้วหรือยัง” เจ้ามู่เฉิงถามอย่างไร้ความรู้สึก
“เรียบร้อยแล้วขอรับ นายน้อยอยู่ในห้องเดียวกันกับโอวหยางเสี่ยวอี้ขอรับ” ร่างนั้นตอบด้วยท่าทางพินอบพิเทา
เจ้ามู่เฉิงพ่นลมหายใจออกมาเป็นไอขาว เกล็ดหิมะตกลงบนฝ่ามือ ก่อนแตกสลายไปทันทีเมื่อสัมผัสกับพลังปราณในมือเขา
เบื้องหลังฉากหน้าที่แสนสงบร่มเย็นนั้น มีพลังที่น่าเกรงกลัวซ่อนอยู่ภายใน
“ในเมื่อเรามีนายน้อยขุนศึกและบุตรสาวคนเล็กของตระกูลโอวหยางอยู่ในมือ องค์ชายรัชทายาทย่อมปฏิเสธข้อเสนอของเรา… ในการรับตำแหน่งจักรพรรดิแห่งจักรวรรดิวายุแผ่วไม่ได้อย่างแน่นอน ยอดเยี่ยม”
พลังปราณในมือเจ้ามู่เฉิงสลายหายสิ้น จากนั้นเขาก็เดินย่ำไปบนหิมะแล้วออกจากบริเวณสวนไป ทิ้งไว้เพียงคำพูดที่แฝงไปด้วยนัยยะให้ดังสะท้อนไปทั่วบริเวณ
…………………….