เล่มที่ 4 บทที่ 98 กลอุบายแยบยล

ข้ามเวลานางพญาแพทย์พิษ

ชิงหูเสนอความคิดเห็นให้กับหลินเมิ้งหยาอีกครั้ง สำหรับเขาแล้ว นอกจากเจ้าเด็กน้อยคนนี้ คนอื่นๆ มิต่างอะไรจากเมฆลอยละล่อง

    ทว่าหลินเมิ้งหยากลับไม่สามารถทำเรื่องไร้เยื่อใยเช่นนั้นได้ ป๋ายจื่อปกป้องนางด้วยหัวใจ แม้แต่พี่น้องแท้ๆ ยังมิทำเช่นนาง

    ดังนั้นนางมิอาจส่งป๋ายจื่อไปลำบากตรากตรำเช่นนั้นได้

    “ดูจากท่าทีของฮ่องเต้หมิง เขาอยากรับป๋ายจื่อเข้าไปเป็นสะใภ้เหลือเกิน ซีฟานมีหญิงสาวมากมาย เหตุใดจึงต้องมาขอลูกสะใภ้จากต้าจิ้น!”

    ในสวนดอกไม้ ป๋ายจื่อกำลังหัวเราะอย่างเบิกบาน โดยไม่รู้เรื่องรู้ราวใดๆ

    เมื่อเทียบกับตนเองแล้ว ป๋ายจื่อเป็นเพียงหญิงสาวตัวเล็กๆ เท่านั้น เจิดจรัส อ่อนหวาน รอยยิ้มสดใสสวยงาม

    แม้จะเคยเผชิญเรื่องราวอันตรายมากมาย แต่นางยังคงรักษาความดีงามในหัวใจของตนเองเอาไว้ได้

    หลินเมิ้งหยาเพิ่งได้รู้ว่า ป๋ายจื่อต่างหากที่เป็นคนเข้มแข็งที่สุดในหมู่พวกนาง

    “ไม่ได้ ข้าไม่มีทางยินยอมปล่อยให้ป๋ายจื่อแต่งงานกับหูเทียนเป่ย!”

    ตัดสินใจเด็ดขาด ผุดลุกขึ้นยืนจากที่นั่ง จัดแต่งเสื้อผ้าตนเอง ก่อนจะเดินออกจากตำหนักหลิวซินโดยมิพาสาวใช้คนใดไปด้วย

    ดูเหมือนนางจะต้องปรึกษาหลงเทียนอวี้เพื่อคิดหากลอุบายที่แยบยลออกมา

    สาวเท้าถี่ๆ เวลาเพียงชั่วพริบตา ร่างของหลินเมิ้งหยาพลันปรากฏที่หน้าห้องอ่านหนังสือของหลงเทียนอวี้

    ทว่าตอนที่คิดจะเคาะประตู อยู่ๆ นางก็หยุดชะงัก

    นางเป็นคนทำให้เกิดเรื่องนี้ขึ้นเอง

    หากมาร้องขอความเห็นใจจากหลงเทียนอวี้ มันจะสมเหตุสมผลหรือไม่?

    นางครุ่นคิด เตรียมตัวหันหลังกลับ ทว่าทันทีที่หมุนตัว เสียงของหลงเทียนอวี้พลันดังออกมา

    “ใครอยู่ข้างนอก?”

    คิดไม่ถึงเลยว่าจะถูกจับได้เช่นนี้

    หลินเมิ้งหยาทำได้เพียงทำใจให้สงบนิ่ง แง้มประตูเปิดออก

    “หม่อมฉันเองเพคะ”

    นี่เป็นครั้งแรกที่หลินเมิ้งหยามาขอร้องผู้อื่นโดยมิมีสิ่งใดแอบแฝง

    ใบหน้าเรียวเล็ก รอยยิ้มน่ารักจิ้มลิ้ม นางพยายามทำให้ตนเองดูอบอุ่นไร้เดียงสาที่สุด

    หลงเทียนอวี้กำลังนั่งอ่านเอกสารทางราชการอยู่ด้านหลังโต๊ะอ่านหนังสือ เงยหน้ามองนางก่อนจะเอ่ยถาม

    “มีเรื่องอะไรก็พูดมาเถิด รอยยิ้มเช่นนี้…ไม่เหมาะกับเจ้าหรอก”

    รอยยิ้มอ่อนหวานพลันแข็งทื่อ

    คิดไม่ถึงเลยว่าผู้ชายหน้านิ่งอย่างหลงเทียนอวี้จะเอ่ยวาจาทิ่มแทงใจผู้อื่นได้เจ็บแสบถึงเพียงนี้

    “ท่านอ๋อง หม่อมฉันมีเรื่องอยากขอร้องพระองค์จริงๆ เพคะ ไม่ทราบว่าท่านจะสามารถช่วยหม่อมฉันได้หรือไม่?”

    หลงเทียนอวี้เงยหน้า จ้องมองนางอีกครั้ง ครู่ต่อมาจึงพยักหน้าลง

    หลินเมิ้งหยาไม่รีรอ เอื้อนเอ่ยสิ่งที่ติดอยู่ในใจ

    “หม่อมฉันต้องการขอร้องเรื่องป๋ายจื่อ นางมิใช่เพียงสาวใช้ของหม่อมฉัน แต่นางยังเปรียบเสมือนพี่น้อง ดังนั้นหม่อมฉันไม่อยากให้นางต้องไปแต่งงาน หม่อมฉันไม่อยากให้นางได้รับความทุกข์ทรมาน”

    แปลกยิ่งนัก หลินเมิ้งหยาเอ่ยปากขอร้องเขาเพียงเพราะสาวใช้คนหนึ่ง

    แต่เมื่อลองไตร่ตรองดู มันไม่เหนือความคาดเดาของเขานัก

    หลงเทียนอวี้วางปากกาในมือลง เดินมาหยุดอยู่ตรงหน้านาง ก่อนจะหยิบจดหมายฉบับหนึ่งออกมา

    “นี่คือ…”

    “นี่คือหลักฐานเกี่ยวข้องกับพฤติกรรมมิชอบของหูลู่หนานที่พยายามจะช่วงชิงบัลลังก์ เจ้ารู้หรือไม่ว่าต้องจัดการเช่นไร?”

    นางพูดไม่ออก มองดูจดหมายลับในมือ นางคิดไม่ถึงเลยว่าจะแก้ไขสถานการณ์ได้อย่างง่ายดายเช่นนี้

    “ไม่ได้ ท่านอ๋อง ของชิ้นนี้สำคัญมากจนเกินไป หม่อมฉันไม่…ไม่สามารถนำมันมาใช้ตามอำเภอใจได้”

    ข้อมูลทุกอย่างล้วนแลกมากับชีวิตของผู้คนมากมาย

    หลินเมิ้งหยาที่อยู่ในจวนอวี้รู้ดีที่สุดว่าของเหล่านี้มีความสำคัญเช่นไร

    ทว่าหลงเทียนอวี้ตัดสินใจไปแล้ว

    จับมือของนาง วางจดหมายลับเหล่านั้นลงไป

    “หากเจ้าไม่ใช้ มันจะเป็นเพียงกระดาษเปล่าเท่านั้น ข้ายังมีเรื่องให้ต้องทำ เจ้าออกไปก่อนเถิด”

    ไม่อาจปฏิเสธได้ ทว่าคิ้วของหลงเทียนอวี้ไม่แม้แต่จะขมวดเข้าหากัน

    หลินเมิ้งหยาอ้าปาก แต่สุดท้ายกลับกำจดหมายลับเอาไว้แน่นแล้วหมุนตัวจากไป

    ความอบอุ่นที่ส่งผ่านจากมือของหลงเทียนอวี้ยังคงอยู่ ทั้งที่อุณหภูมิร่างกายมิต่างกัน แต่เหตุใดสัมผัสนั้นจึงตราตรึงอยู่ในหัวใจ

    ทั้งที่รวบรวมเอกสารที่เป็นประโยชน์ไว้ในมือมากมาย แต่หลงเทียนอวี้กลับมอบให้นางอย่างง่ายดาย

    ป๋ายจื่อสำคัญกับนางมาก แต่สำหรับหลงเทียนอวี้ ป๋ายจื่อกลับไม่มีความสำคัญใดๆ ทั้งสิ้น

    ตกลงหลงเทียนอวี้ทำแบบนี้เพื่ออะไร?

    ตอนนี้หลินเมิ้งหยาที่เคยฉลาดเฉลียวเสมอมาเริ่มรู้สึกสับสน

    นางไม่อาจบอกตัวเองว่าหลงเทียนอวี้เป็นเพียงเจ้านายธรรมดาได้อีกต่อไป

    สมองว้าวุ่น หลินเมิ้งหยาเดินผ่านสวนดอกไม้ของจวนไป

    ราวกับมองไม่เห็นสายตาอาฆาตคู่หนึ่งที่กำลังจับจ้องมองทางนาง

    ภายในศาลาเล็กที่สวนดอกไม้ หลินเมิ้งหยานั่งลงที่นั่ง ปล่อยให้สายลมกระทบใบหน้าเพื่อไล่อุณหภูมิความร้อนออกไป

    ถูกต้อง ตั้งแต่ชาติก่อนจนกระทั่งชาตินี้ หลินเมิ้งหยาไม่เคยหน้าแดงเพียงเพราะถูกสัมผัสตัวเช่นนี้มาก่อน

    นางหัวเราะขมขื่นพลางใช้มือจับใบหน้านวลของตนเอง นี่นางกำลังรู้สึกเขินอายเหมือนสาวน้อยแรกแย้มอย่างนั้นหรือ?

    หลินเมิ้งหยาที่กำลังตกอยู่ในความคิดของตนเอง ไม่ทันสังเกตเห็นสายตาอาฆาตคู่นั้นที่กำลังจับจ้องมาที่จดหมายลับในมือของนาง

    ขณะที่เจ้าของสายตาคู่นั้นกำลังคิดจะปรากฏตัวเพื่อแย่งจดหมายในมือของหลินเมิ้งหยา ร่างหนึ่งพลันปรากฏขึ้น

    “ใครกันน่ะ!”

    ร่างดำส่งเสียงเย็นชา ก่อนจะพุ่งตัวเข้าไป

    กว่าหลินเมิ้งหยาจะรู้สึกตัว ทั้งสองคนนั้นกำลังต่อสู้เพล้งพล้างกันอยู่หลายกระบวนท่าแล้ว

    เสียงการต่อสู้ดังขึ้นกลางอากาศ ในที่สุดหลินเมิ้งหยาก็ดึงสติกลับมา

    รีบเก็บจดหมายลับเข้าไปไว้ในอ้อมกอดของตนเอง คนที่กำลังต่อสู้กันอยู่ตรงหน้าทำให้คิ้วของหลินเมิ้งหยาขมวดเข้าหากัน

    “หยุด!”

    หลินเมิ้งหยาร้องยับยั้งการต่อสู้ คนหนึ่งสวมใส่ชุดสีดำสวมหน้ากากปิดบังใบหน้า ส่วนอีกคนคือชิงหูที่มักจะหัวเราะคิกคักเสมอ

    ทว่า คิ้วของชิงหูขมวดเข้าหากันแน่น สายตาบ่งบอกถึงความไม่สบอารมณ์

    ราวกับว่าอีกฝ่ายมีทักษะการต่อสู้ที่ค่อนข้างสูง ดังนั้นเขาจึงสัมผัสได้ถึงความร้ายกาจของชายคนนั้น

    “เจ้าเด็กน้อย เจ้านี่แอบตามเจ้าอยู่เงียบๆ ข้ารู้อยู่นานแล้ว เจ้านี่ไม่ได้หวังดีกับเจ้า!”

    ขยับเพียงหนึ่งก้าวก็เข้ามาหยุดยืนต่อหน้าหลินเมิ้งหยา ราวกับว่าเขากำลังอารักขาหลินเมิ้งหยาอย่างไรอย่างนั้น

    ทว่าหลินเมิ้งหยากลับใช้นิ้วมือเคาะเข้าที่หน้าผากของเขา เพื่อทำให้เขาเลิกแสดงท่าทีเคร่งขรึม

    “ข้าเชื่อว่าเจ้ามิได้คิดร้ายกับข้า แต่เจ้าเป็นใครกัน? เหตุใดจึงติดตามข้า?”

    ชิงหูยังคงดื้อดึง ทว่าหลินเมิ้งหยากลับสงบนิ่ง

    นางไร้ซึ่งวิทยายุทธ์ หากไร้ซึ่งชิงหูและป๋ายซู เช่นนั้นชีวิตของนางก็อาจดับสูญได้อย่างง่ายดาย

    ฉะนั้นนางเชื่อว่าชายชุดดำตรงหน้ามิได้มาเพื่อฆ่าแกงนางอย่างแน่นอน

    “ข้าน้อยขอถวายคำนับพระชายา ข้าน้อยเป็นองครักษ์ลับประจำตัวของท่านอ๋อง นามว่าเย่ ตอนนี้ทำหน้าที่คุ้มครองอารักขาพระชายาพ่ะย่ะค่ะ”

    องครักษ์ลับ? เพราะเหตุนี้ นางจึงไม่เคยรู้สึกว่ามีคนกำลังติดตามนางอยู่

    เขาคือคนที่หลงเทียนอวี้ส่งมาให้นางอย่างนั้นหรือ? หลินเมิ้งหยาครุ่นคิด รู้สึกว่าความอบอุ่นบางอย่างกำลังก่อเกิดขึ้นในหัวใจของตนเอง

    “ฮึ! อารักขาเจ้าเด็กน้อยอย่างนั้นหรือ แค่ข้าเพียงคนเดียวก็เพียงพอแล้ว จะเอาเจ้ามาเป็นภาระทำไมกัน?”

    ที่แท้ก็เป็นพวกเดียวกัน แต่ถึงกระนั้นชิงหูก็ยังส่งเสียงฟึดฟัดออกมาเพราะความไม่พอใจ แม้ฝีมือการต่อสู้ของเจ้านี่จะไม่เลว

    แต่หน้ากากที่สวมใส่ทำให้เขาดูลึกลับแปลกประหลาด เพียงได้เห็นก็รู้สึกว่าเขามิใช่คนดี

    “ใช่แล้ว เจ้าไม่ใช่ภาระ แต่เจ้าเป็นโทรโข่งต่างหาก”

    หลินเมิ้งหยาถลึงตาใส่ชิงหูเพื่อให้เขาหุบปากลง นางมององครักษ์ลับนามว่าเย่

    “องครักษ์ลับ…ปกติจะไม่ปรากฏตัวให้เห็นง่ายๆ มิใช่หรือ? หรือว่าเมื่อครู่ยังมีใครอื่นอยู่ที่นี่อีก?”

    เคยได้ยินมาว่าพระชายาเป็นคนฉลาด เย่ไม่เคยเชื่อ

    ทว่าวันนี้ได้เห็นแล้วว่าเป็นเรื่องจริง

    เขาพยักหน้าลง หลังจากเหลือบมองชิงหูจึงเอ่ย

    “เมื่อครู่มีคนคิดลอบทำร้ายพระชายา ตอนแรกข้าน้อยคิดจะเข้าไปจับตัว แต่กลับถูกเขาทำให้คนคนนั้นตกใจและหนีหายไป”

    เหลือบมองชิงหู หลินเมิ้งหยาจ้องหน้าเขาเขม็ง

    มือไม่พาย เอาเท้าราน้ำ

    เหตุใดนางจึงมีสหายสมองหมูเช่นนี้นะ

    เงยหน้าถอนหายใจยาว หรือฮวงจุ้ยที่บ้านนางจะไม่ดีกัน เหตุใดคนที่อยู่ภายนอกมักเก่งกาจ แต่พอมาอยู่ข้างกายนางกลับกลายเป็นตัวซวยเช่นนี้!

    “ข้า…ไม่รู้เลย ข้าคิดว่าเขาจะทำมิดีมิร้ายเจ้า”

    ชิงหูแก้ตัวเสียงเบา แต่เพราะรังสีอำมหิตอันแข็งกล้าของหลินเมิ้งหยา ทำให้เขาหยุดพูดกะทันหันและพยายามทำตัวให้เล็กที่สุด

    “เรื่องนี้ไม่อาจโทษเขาได้พ่ะย่ะค่ะ คนผู้นั้นมิได้เก่งกาจ แต่ก็พอจะสู้รบตบมือได้อยู่บ้าง แม้แต่ข้าน้อยเองก็เพิ่งรู้สึกถึงการมีตัวตนของเขาตอนที่เขาคิดจะลงมือ”

    เย่รายงานตามความจริง ไร้ซึ่งการแต่งเสริมเติมแต่ง อีกทั้งมิได้ใส่ความรู้สึกส่วนตัวเข้าไป

    หลินเมิ้งหยาเหลือบมองชิงหู แต่กลับได้เห็นเขาพยักหน้าลง ท่าทางน่าสงสารเสมือนคนยอมรับผิด

    นางถอนหายใจออกมาอย่างช่วยไม่ได้ นวดคลึงขมับก่อนออกคำสั่ง

    “ข้ารับรู้เรื่องนี้แล้ว บางทีคนผู้นั้นอาจเตรียมใจเอาไว้แล้วเช่นกัน คงยากที่จะทำให้เขาปรากฏตัวอีกในคราวหน้า”

    คนผู้นี้เป็นใคร อันที่จริงหลินเมิ้งหยาพอจะเดาได้แล้ว

    แต่นางกลับอดทนไว้ เหตุเพราะโอกาสยังมาไม่ถึง

    “วันนี้ขอบคุณเจ้ามาก”

    เย่น้อมรับ เพียงพริบตาเดียว ร่างของเขาพลันหายไป

    “ทักษะการหายตัวของเขาไม่เลวเลยทีเดียว”

    เมื่อเขาหายไป ชิงหูจึงเอ่ยชมออกมาลับหลัง

    หลินเมิ้งหยามองเขาด้วยความสงสัย

    “หายตัว? มันเป็นเพียงการแสดงตบตาคนมิใช่หรือ?”

    ทว่าชิงหูกลับส่ายหน้าพลางกระซิบ

    “ทักษะการหายตัวมีมานานแล้ว อีกทั้งยังเป็นหนึ่งในทักษะอันเป็นความลับของเจียงหู อันที่จริงพวกเราต้องอาศัยสภาพแวดล้อมโดยรอบในการหายตัว เมื่อก่อนนักฆ่าในเถาฮวาอู๋ล้วนต้องเรียนรู้ทักษะการหายตัวขั้นพื้นฐาน นี่จึงเป็นสาเหตุที่นักฆ่าแห่งเถาฮวาอู๋ทำงานพลาดน้อยมาก”

    เมื่อเห็นสีหน้าท่าทางสงสัยของหลินเมิ้งหยา ชิงหูจึงหัวเราะอย่างมีเลศนัย พริบตาเดียว ร่างของเขาพลันหายไปจากสายตาของหลินเมิ้งหยา

    นางยกมือขึ้นขยี้ตา แต่ไม่พบร่างของชิงหูอีกแล้ว

    “เอ๋? ไปไหนแล้ว?”

    ทว่าอีกวินาทีต่อมา ชิงหูพลันปรากฏตัวข้างกายนาง