อาการเช่นนี้ของเล่อเหยาเหยา ในสายตาของเหลิ่งจวิ้นอวี๋กลับรู้สึกว่าแปลกใหม่และพิเศษ ทำให้ดวงตาเย็นชาของเหลิ่งจวิ้นอวี๋ปรากฎความประหลาดใจออกมา
นี่เป็นครั้งแรกที่เขาเห็นว่าภายใต้สถานการณ์เช่นนี้ ยังมีคนสามารถยิ้มออกมาได้
‘เขา’ช่างพิเศษเสียจริง!
ดังนั้น แม้ครั้งนี้เขาต้องตายจริง แต่เขากลับไม่เสียใจเลยสักนิด เพราะมีคนแสนพิเศษคนหนึ่งเช่นนี้อยู่กับเขา!
หลังคิดถึงตรงนี้ เหลิ่งจวิ้นอวี๋ยิ้มมุมปาก ก่อนหัวเราะพลางเอ่ยเสียงเบากับเล่อเหยาเหยาว่า
“ไม่กลัวหรือ”
“ไม่ เพราะมีท่านอ๋องอยู่มิใช่หรือพ่ะย่ะค่ะ!”
เล่อเหยาเหยาพยักหน้า เอ่ยอย่างมั่นใจ อีกทั้งสายตาที่มองเหลิ่งจวิ้นอวี๋ค่อยๆ เชื่อมั่นขึ้นมา
สายตาเปี่ยมไปด้วยความเชื่อมั่นของเล่อเหยาเหยา กลับทำให้เหลิ่งจวิ้นอวี๋หวั่นไหวในใจ
เพราะเขามีชีวิตมาสิบแปดปี นี่เป็นครั้งแรกที่มีคนเชื่อมั่นในตัวเขาอย่างหมดใจ!
ภายในนัยน์ตางดงามของ‘เขา’เต็มไปด้วยความเชื่อมั่นที่มีต่อเขา
ราวกับแม้จะเกิดสิ่งใดขึ้น เพียงมีเขาอยู่ ทุกอย่างสามารถคลี่คลายได้ ดังนั้น‘เขา’จึงไม่กังวล
ความรู้สึกเช่นนี้ ทำให้เหลิ่งจวิ้นอวี๋สบายใจยิ่งนัก ในใจพลันอบอุ่น
ทันใดนั้น เขาก็โอบกอดคนตัวเล็กอย่างแรง คล้ายจะบดขยี้คนในอ้อมกอดเข้าไปในร่างกายของตน ผสานกันเป็นหนึ่งเดียว
เล่อเหยาเหยาไม่ล่วงรู้ความคิดของเหลิ่งจวิ้นอวี๋ จึงรู้เพียงร่างกายและกระดูกของตนคล้ายถูกเขารัดแตกออกเป็นเสี่ยงๆ
แต่ขณะที่รู้สึกเจ็บปวด เธอกลับรู้สึกดีใจไปพร้อมกัน
ดังนั้น เล่อเหยาเหยาจึงค่อยๆ แนบใบหน้าตนเข้าไปในอ้อมอกของพญายม ก่อนสูดดมกลิ่นอำพันทะเลที่คุ้นชินเข้าไป
เวลานี้เธอต้องจดจำกลิ่นอายของเขาอีกครั้งไว้ให้ดี เพราะคงไม่สามารถได้กลิ่นอีกต่อไปแล้ว
เล่อเหยาเหยาทอดถอนใจออกมา ในใจร้อนรน คล้ายกลางทะเลสาบอันเงียบสงบที่ถูกขว้างก้อนหินขนาดเล็กเข้าไป จนกระเพื่อมกลายเป็นระลอกคลื่น
เธอไม่รู้ว่านี้คือความรู้สึกเช่นใดกันแน่ เธอรู้เพียงเวลานี้ต้องโอบกอดชายหนุ่มตรงหน้านี้ให้แน่น
ก่อนหน้านี้เธอหวาดกลัวชายหนุ่มผู้นี้ แต่เวลานี้เขากับมอบความรู้สึกปลอดภัยให้กับเธอ
เวลาผ่านไปอย่างช้าๆ ทั้งสองคนเอาแต่นิ่งเงียบไม่พูดจา ทว่ากลับโอบกอดอีกฝ่ายแน่นเช่นกัน
เพราะพวกเขาไม่รู้ว่า จะสามารถยืดเวลาอันแสนสงบนี้ออกไปได้นานเพียงใด
ต้นไม้แห้งนี้ไม่รู้จะสามารถทนต่อไปได้นานเพียงใด
ทว่าน่าจะใกล้จะหักโค่นแล้ว เพราะเล่อเหยาเหยาคล้ายได้ยินเสียง ‘กร๊อบ’ประหลาดดังขึ้น ดังนั้นเล่อเหยาเหยาจึงอดเงยหน้าขึ้นมองไม่ได้
นี่ไม่มองจะดีเสียกว่า เพราะเมื่อมองเล่อเหยาเหยาตกใจจนวิญญาณแทบหลุดออกจากร่าง
ที่แท้ ไม่ใช้ต้นไม้แห้งที่รับน้ำหนักของพวกเธอสองคนไม่ไหว แต่เป็นการส่งสัญญานเตือน เพราะมันคือ…
“สวรรค์! ท่านอ๋อง มีงู!”
เล่อเหยาเหยาร้องอย่างตกใจ ดวงตาเบิกกว้าง
เห็นเพียงส่วนรากของต้นไม้นั้น ถูกยึดครองโดยงูดำตัวใหญ่
เมื่อครู่เล่อเหยาเหยาไม่ได้สังเกต และไม่รู้ว่างูตัวนี้โผล่ขึ้นมาได้อย่างไร เธอรู้เพียงงูดำตัวนั้นกำลังส่งเสียงขู่ จากนั้นจ้องเขม็งมาทางนี้ อีกทั้งลำตัวนั้นค่อยๆ เลื้อยตรงมาที่หน้าผา
พอเห็นเล่อเหยาเหยาก็หลับตาลงแทบหมดสติไป
อันที่จริงเล่อเหยาเหยาไม่กลัวฟ้าไม่เกรงดิน ทว่าหวาดกลัวสัตว์จำพวกหนูและงู
นั่นเพราะตอนเด็ก เคยเล่นสนุกในท้องนาจนถูกงูกัดเข้า
แม้งูตัวนั้นจะไม่มีพิษ แต่เมื่อถูกกัดเจ็บปวดเป็นอย่างยิ่ง
ดังนั้นตั้งแต่นั้นมาเธอจึงเริ่มหวาดกลัวงู
ตอนนี้งูสีดำที่ไม่รู้ชนิดตัวนั้น กำลังเลื้อยตรงมาที่พวกเขาอย่างดุร้าย ทำให้คนที่เห็นหวาดกลัวตัวสั่น
ไม่นานเล่อเหยาเหยาเริ่มสั่นเทิ้มไปทั่งร่าง
อีกทั้งแรงทั้งหมดบนร่างกาย ค่อยๆ หายไปตามงูสีดำที่เลื้อยใกล้เข้ามา
อาจเพราะรับรู้ถึงความผิดปกติของเล่อเหยาเหยา เหลิ่งจวิ้นอวี๋จึงขมวดคิ้วน่ามองนั้นแน่น
เพราะเขาเองก็เห็นว่างูสีดำตัวนั้นกำลังเลื้อยมาทางพวกเขา
หากเขาจำไม่ผิด นี่อาจเป็นงูเห่าที่มีพิษอันเลื่องชื่อ
งูเห่านี้ ชอบอยู่บนหน้าผาเป็นที่สุด และบนร่างกายแฝงด้วยพิษร้าย หากถูกมันกัดเพียงเล็กน้อย แม้เป็นเง๊กเซียนก็ยากที่ช่วยเหลือ
อีกทั้งงูเห่านี้หวงแหนถิ่นที่อยู่อาศัยอย่างมาก เพียงเป็นสถานที่ของมัน เมื่อมีสิ่งมีชีวิตปรากฎตัวขึ้นมา มันต้องเข้าจู่โจมผู้บุกรุกเหล่านั้น
ดังนั้นหลังเห็นว่านี้คืองูเห่า สีหน้าของเหลิ่งจวิ้นอวี๋เคร่งเครียดอย่างยิ่ง
หากเป็นสถานการณ์ปกติ เขาไม่เห็นงูพวกนี้อยู่ในสายตาแน่นอน
แต่สถานการณ์ตอนนี้ พวกเขาเสียเปรียบยิ่งนัก
เขาไม่ลืมว่าพวกตนยังห้อยอยู่กลางหน้าผา อีกทั้งเวลานี้เขาใช้มือข้างหนึ่งจับที่ต้นไม้แห้ง ข้างหนึ่งกอดรัดเอวบางของเล่อเหยาเหยาไว้ หากงูเห่าตัวนี้โจมตีพวกเขาเข้าจริง เขาต้องชิงลงมือก่อน ถึงจะรักษาชีวิตของพวกตนสองคนเอาไว้ได้
พอคิดถึงตรงนี้ เหลิ่งจวิ้นอวี๋เม้มริมฝีปากบางรูปกระจับแน่น พลันเอ่ยกับเล่อเหยาเหยาที่ตกใจหน้าซีดขาวว่า
“กอดข้าไว้ สองมือรัดตัวข้า ห้ามไม่ให้หล่นลงไปเด็ดขาด”
เมื่อได้ยินน้ำเสียงทุ้มต่ำแหบพร่าของเหลิ่งจวิ้นอวี๋ และเห็นสีหน้าเคร่งเครียดของเขา เล่อเหยาเหยาคล้ายรู้ว่าเหลิ่งจวิ้นอวี๋คิดทำสิ่งใด แม้ในใจจะหวาดกลัวอย่างมาก แต่เธอทราบดีว่าตอนนี้ไม่ใช่เวลาที่ตนควรอ่อนแอ
ดังนั้นจึงกัดฟัน ออกแรงใช้พลังทั้งหมด กอดรัดเอวของเหลิ่งจวิ้นอวี๋ไว้แน่น
สองขาก็หนีบเข้าที่ขาของเหลิ่งจวิ้นอวี๋
ท่าทางนี้ช่างคลุมเครือ และตลกน่าขันสิ้นดี
ทำให้เล่อเหยาเหยารู้สึก คล้ายตนคือตัวสลอธที่กำลังเกาะต้นไม้ใหญ่แข็งแรงไว้แน่น
แต่สถานการณ์ตอนนี้ ก็ไม่มีเวลาต้องคิดมาก
จากนั้นขณะที่เล่อเหยาเหยาเพิ่งกอดรัดเหลิ่งจวิ้นอวี๋ งูเห่าตัวนั้นก็พลันจู่โจมพวกเขาอย่างรุนแรงพร้อมกัน
ปากที่กว้างใหญ่และฟันที่มีพิษนั้น ภายใต้แสงจันทร์อันเรืองรอง แผ่กระจายรัศมีเยือกเย็นออกมาให้คนใจหนาวสั่น
น่าเสียดายที่แม้จะเป็นงูพิษร้าย แต่เมื่อเผชิญหน้ากับพญายมที่สังหารคนราวผักปลา ก็ต้องพ่ายแพ้ลงไป!
เหลิ่งจวิ้นอวี๋ใช้ฝ่ามือซัดไปที่งูเห่าตัวนั้นอย่างรุนแรง
ทันใดนั้นได้ยินเพียงเสียง ‘เพิ๊ยะ’ ดังขึ้น
ในค่ำคืนที่เงียบสงบนี้จึงดังกังวานเป็นพิเศษ
เมื่อเล่อเหยาเหยาหันมองอีกครั้ง เห็นเพียงงูเห่าดุร้ายที่เลื้อยมาหาพวกเธอเมื่อครู่ เวลานี้อาการใกล้ตายอยู่บนต้นไม้แห้ง
ซากนั้นโอนเอนไปมาตามลมบนเขาไม่หยุด
“เอ่อ”
เมื่อเห็นซากงูโอนเอนไปมา เล่อเหยาเหยาถอนหายใจอย่างโล่งอก ก่อนจะเริ่มเลื่อมใสพญายมขึ้นมา
สวรรค์!
มีวรยุทธ ช่างยอดเยี่ยมเสียจริง!
เมื่อครู่พญายมไม่ได้ใช้อาวุธใดเลย เพียงซัดฝ่ามือออกไปครั้งเดียวเข้าที่ตัวของงูพิษนั้น มันก็ตายลงทันที!
สวรรค์!
หล่อเหลา!ดีเลิศ!
หากวันข้างหน้าเธอมีวรยุทธ ต้องยอดเยี่ยมมากแน่! หากเธอคิดจะหลบหนี ต้องง่ายดายอย่างมากแน่
พอคิดถึงตรงนี้ เล่อเหยาเหยาดีใจ พลางแอบวางแผนในใจว่าวันหน้าหากมีโอกาส ต้องเรียนวรยุทธ!
ทว่าเล่อเหยาเหยาเพียงเกิดความคิดนี้ขึ้นเท่านั้น สวรรค์คล้ายไม่ให้โอกาสนี้กับเธอ
เล่อเหยาเหยาได้ยินเพียงเสียง ‘กร๊อบ’ดังขึ้น
จากนั้นต้นไม้ที่พยุงพวกเธอไว้ ในที่สุดก็รับน้ำหนักของพวกเธอไว้ไม่ไหวอีกต่อไป หักลง
และพวกเธอสองคนก็หล่นลงจากหน้าผาตามต้นไม้ที่โค่นหักนั้นอย่างรวดเร็ว
“อ๊า”
เล่อเหยาเหยาตกใจอย่างหนัก ก่อนกรีดร้องเสียงดัง!
ทันใดนั้น เธอรีบกอดรัดพญายมอย่างแน่นหนา ใบหน้าเล็กแนบเข้ากับหน้าอกกว้างของเขา รอให้ความตายมาถึง
ทว่าขณะช่วงเวลาคับขัน เล่อเหยาเหยาพลันรู้สึกลอยขึ้นสูง เธอยังไม่ทันได้คิด รู้สึกเพียงเท้าของตนคล้ายยืนอยู่บนพื้นดินแล้ว
พื้นดินหรือ!
เธอตกสู่เหวลึกเร็วขนาดนี้!
แต่เหตุใดเธอถึงไม่รู้สึกเจ็บปวด!
เล่อเหยาเหยาสงสัยในใจ ทันใดนั้นก็กระพริบตาช้าๆ ก่อนลืมตาขึ้นมาอย่างสงสัย
เมื่อเธอเห็นภาพตรงหน้า ร่างกายราวถูกฟ้าผ่าเข้าตอนกลางวัน ดวงตาเบิกกว้าง แววตาดูตกตะลึงและ
เหลือเชื่อ! เพราะตอนนี้พวกเธอไม่ได้ตกสู่เหวลึก แต่กลับมายืนอยู่บนหน้าผาตั้งแต่เมื่อใดไม่รู้
นี่ มันเกิดสิ่งใดขึ้นกันแน่!
ขณะเล่อเหยาเหยาสงสัยในใจ น้ำเสียงทุ้มต่ำน่าฟังแฝงความกังวลก็ดังขึ้นเหนือศีรษะของเธอ
“เจ้าไม่เป็นไรใช่หรือไม่!
“เอ่อ!”
เมื่อได้ยิน เล่อเหยาเหยาเงยหน้าขึ้นเล็กน้อย ก่อนสบเข้ากับใบหน้าเย็นชานั้นของพญายม และพบว่าตอนนี้เธอยังอยู่ในอ้อมกอดของพญายม พร้อมกอดเขาแน่นไม่ปล่อยมือ!
พอคิดถึงตรงนี้ เล่อเหยาเหยาสับสน สองแก้มที่ซีดขาวนั้นแดงก่ำขึ้นอย่างรวดเร็ว ทำให้เธอดูราวกับดอกเหมยที่กำลังเบ่งบานในเดือนสาม งดงามอย่างไร้ที่ติ!
เธอจึงปล่อยมือลงทันที ผละออกจากอ้อมกอดของพญายมอย่างรวดเร็ว
สวรรค์!
เมื่อครู่ช่างน่าขายหน้ายิ่งนัก!
เล่อเหยาเหยาขวยเขิน นัยน์ตางดงามสอดส่องไปรอบๆ ไม่หยุด ทว่าไม่กล้ามองหน้าพญายมอีก
เมื่อกวาดตาไปรอบๆ เธอก็เห็นหนานกงจวิ้นซีที่ไม่รู้ว่ามายืนอยู่ตรงนั้นตั้งแต่เมื่อใดพร้อมเชือกในมือของเขา จึงเข้าใจทันทีว่าเมื่อครู่เกิดสิ่งใดขึ้น
ขณะที่พวกเธอตกหน้าผาลงไป หนานกงจวิ้นซีคงจะมาถึงทันเวลาพอดี ก่อนโยนเชือกช่วยดึงพวกเธอขึ้นมา
พอคิดถึงตรงนี้ เล่อเหยาเหยาก็คือคนที่รู้จักบุญคุณ แม้เธอจะไม่ชื่นชอบองค์ชายเจ็ดนี้ แต่ต้องรู้จักตอบแทนบุญคุณของคนที่ช่วยเหลือ ดังนั้น เล่อเหยาเหยาจึงหันหน้าเอ่ยกับหนานกงจวิ้นซีว่า
“ขอบพระทัย พ่ะย่ะค่ะ”
“ฮึ! อย่าคิดมากเกินไป เมื่อครู่ข้าเพียงช่วยศิษย์พี่ใหญ่ จึงช่วยเจ้าขึ้นมาด้วยเท่านั้น!”
การกล่าวขอบคุณของเล่อเหยาเหยา หนานกงจวิ้นซีทำปากยื่น ก่อนเอ่ยอย่างเหี้ยมโหด
ทว่าท่าทางนี้ของเขา ไม่รู้เหตุใดเล่อเหยาเหยารู้สึกว่าหนานกงจวิ้นซีเวลานี้ดูอึดอัดน่ารักยิ่งนัก จึงอดหัวเราะ ‘คิกคัก’ ขึ้นไม่ได้