ตอนที่ 92.3 รวมตัวเข้าหอนางโลม (3) (รีไรท์)

สตรีอย่างข้าน่ะหรือ คือขันที?!

“เจ้าหัวเราะอันใด!”

 

เมื่อเห็นเล่อเหยาเหยาหัวเราะ หนานกงจวิ้นซีจึงเอ่ยถามอย่างสงสัยและแปลกใจ

 

คนที่เพิ่งผ่านพ้นความเป็นความตายมาแล้วยังหัวเราะได้ หากเป็นผู้อื่นตอนนี้คงตกใจจนหน้าเขียวคล้ำ ทั้งร้องไห้และหัวเราะที่รอดชีวิตกลับมาเสียมากกว่า!

 

ดังนั้นขันทีน้อยผู้นี้ น่าจะเป็นพวกประหลาด!

 

น่าเสียดายที่ ‘เขา’มักเป็นพวกสมควรตายประเภทนั้น จึงทำให้เขาหลงใหลเช่นนี้

 

พอคิดถึงเรื่องนี้ หนานกงจวิ้นซีเริ่มอึดอัดหงุดหงิดใจขึ้นมา

 

น่าตายนัก!

 

เขาจะเป็นเช่นนี้อีกต่อไปไม่ได้ อีกฝ่ายคือขันที! เขาจะชื่นชอบ ‘เขา’ไม่ได้เด็ดขาด ไม่ได้เป็นอันขาด

 

ขณะที่หนานกงจวิ้นซีร้องตะโกนในใจอย่างหงุดหงิด ทางด้านเล่อเหยาเหยาที่ไม่รู้ว่าหนานกงจวิ้นซีเกิดมีความคิดที่ไม่ควรเกิดขึ้นกับตน ดังนั้นจึงเอ่ยพลางหัวเราะว่า

 

“บ่าวชอบหัวเราะ หัวเราะองค์ชายที่เหมือนเด็กน้อยที่อึดอัดใจผู้หนึ่ง! ฮ่าๆ”

 

“อะไรนะ! เด็กน้อยที่อึดอัดใจหรือ!”

 

เมื่อได้ยินคำพูดของเล่อเหยาเหยา หนานกงจวิ้นซีมีสีหน้าเก้อเขิน พลันเอ่ยอย่างโมโหและอับอายออกมาว่า

 

“เจ้าสิถึงเป็นเด็กน้อย! ปีนี้ข้าอายุสิบเจ็ดแล้ว อายุมากกว่าเจ้าด้วยซ้ำ บ่าวเช่นเจ้ากลับเอ่ยว่าข้าคือเด็กน้อย เจ้ารนหาที่แล้ว!”

 

“ฮ่าๆ ท่านสิถึงเป็นเด็กน้อย เพิ่งสิบเจ็ด หากไม่ใช่เด็กแล้วคืออันใด!”

 

อาจเพราะเพิ่งผ่านความเป็นความตายมา หลังความกังวลหวาดกลัวเมื่อครู่ที่มีทั้งหมดสลายไป เล่อเหยาเหยาเวลานี้จึงมีชีวิตชีวาขึ้นอีกครั้ง จนอดต่อปากต่อคำกับเด็กที่อึดอัดใจตรงหน้าไม่ได้

 

แต่เธอกลับไม่รู้ตัวเลยว่าด้านหลังเธอ มีชายผู้หนึ่งที่หลังเธอจากไป สายตาอยู่บนตัวเธอมาโดยตลอด

 

เมื่อรู้สึกในอ้อมกอดว่างเปล่า นัยน์ตาเย็นชาของเหลิ่งจวิ้นอวี๋จึงกระพริบชั่วขณะ ในใจคล้ายหดหู่ขึ้นมา

 

 

หลังกลับมาถึงตำหนักหย่าเฟิง เล่อเหยาเหยาได้รับความเห็นใจจากพญายม เมื่ออาบน้ำแปรงฟันเสร็จก็กลับไปนอนพักผ่อนที่ห้อง

 

แม้วันนี้จะตกใจอย่างหนัก แต่เล่อเหยาเหยาเหนื่อยล้าเช่นกัน พอล้มตัวลงนอนบนเตียงก็หลับยาวไปจนถึงเช้า

 

นอกจากนี้ยังฝันดีอีกด้วย ภายในฝันเธอกลายเป็นเศรษฐีนี

 

ตนนอนอยู่บนภูเขาเงินและทอง บนฟ้ายังมีตั๋วเงินปลิวหล่นลงมาไม่หยุด

 

และเธอหัวเราะเก็บตั๋วเงิน พลางยืนหัวเราะอยู่บนกองภูเขาทอง

 

เช้าวันต่อมา เล่อเหยาเหยาจึงตื่นมาอย่างยิ้มแย้ม

 

หลังตื่นนอน พบว่าหมอนด้านข้างยังมีรอยน้ำลายขนาดใหญ่ เมื่อคืนเธอน่าจะหัวเราะตื่นเต้นเกินไป น้ำลายจึงไหลออกมา น่าอายยิ่งนัก!

 

เล่อเหยาเหยาขวยเขินชั่วครู่ พลันเช็ดน้ำลาย คิดลุกจากที่นอนไปอาบน้ำจากนั้นค่อยไปปรนนิบัติพญายม

 

ทว่าเมื่อเธอลุกยืนขึ้น ต้องตกใจเมื่อนึกถึงบางสิ่ง มือสองข้างลูบคลำที่บริเวณอกเสื้อตนไปมา

 

เมื่อรู้สึกว่าภายในอกเสื้อว่างเปล่า ความตกใจพรั่งพรูขึ้นมาในใจของเล่อเหยาเหยาอย่างรวดเร็ว

 

“หา”

 

เล่อเหยาเหยาตื่นตระหนกลนลาน เพราะเงินของเธอหายไป!

 

“เงินของข้า ฮือๆ เงินหนึ่งร้อยตำลึงของข้า ฮือๆ อยู่ที่ใด มันอยู่ที่ใดกันแน่!”

 

เล่อเหยาเหยาตามหาทุกซอกทุกมุมในห้องไม่หยุดอย่างลนลาน แต่กลับหาห่อเงินตนไม่พบ จึงร้อนใจจนแทบร้องไห้ออกมา

 

เมื่อวาน เธอจำได้ว่าเก็บห่อเงินกลับมาแล้วแท้ๆ แต่หายไปตั้งแต่เมื่อใด! หรือไม่ระวังจนร่วงจากหน้าผาไปแล้ว

 

สวรรค์!

 

ท่านคงไม่ทำเช่นนี้กับข้าหรอก!

 

หรือเธอถูกกำหนดว่าชั่วชีวิตนี้ต้องยากจน ไม่ได้มีชีวิตที่ร่ำรวย!

 

พอคิดถึงตรงนี้ เล่อเหยาเหยาใจไม่อยู่กับเนื้อกับตัว

 

ร่างกายราวกับถูกดูดพลังทั้งหมดไป ไร้เรี่ยวแรงอยู่บนพื้น ใบหน้าเล็กที่เคยมีชีวิตชีวา เวลานี้เปลี่ยนไปหงอยเหงา

 

“เงิน เงินของข้า ฮือๆ”

 

เล่อเหยาเหยาอยากร้องไห้ แต่ไม่มีน้ำตา ดวงตาไร้ชีวิตชีวา

 

ดังนั้น เธอจึงไม่รู้เลยว่าขณะที่ตนกำลังกรีดร้องอย่างรุนแรงอยู่เมื่อครู่ นอกหน้าต่างมีชายหนุ่มรูปร่างสูงใหญ่หน้าตาเย็นชาปรากฎตัวขึ้นมา

 

และคนผู้นี้คือ เหลิ่งจวิ้นอวี๋!

 

เมื่อเห็นใบหน้าเล็กที่ขวัญหนีดีฝ่อของเล่อเหยาเหยา เหลิ่งจวิ้นอวี๋กลับยิ้มที่มุมปาก

 

ทันใดนั้น นัยน์ตาเย็นชากวาดมองชั่วครู่ ก่อนมองไปยังห่อเงินหนักอึ้งในมือ

 

ห่อเงินนี้ เมื่อคืนบนหน้าผา เล่อเหยาเหยามัวแต่ทะเลาะหาเรื่องกับหนานกงจวิ้นซี จนไม่ระวังทำหล่นหาย

 

ตอนนั้น ‘เขา’ไม่รู้ เขาเห็นเข้าทว่าไม่เอ่ยออกมา เพียงหยิบขึ้นมาอย่างเงียบๆ จากนั้นเก็บไว้อย่างดี

 

เพราะเขาไม่เคยลืมว่าครั้งก่อน คนตัวเล็กเคยเอ่ยปากว่า หาก ‘เขา’มีเงินหลังจากสามปีจะไปจากที่นี่

 

บ่าวน่าตายนี้ หรือเขาปฏิบัติต่อ ‘เขา’ไม่ดีพอ!

 

จึงชอบคิดจากไป ควรต้องลงโทษเสียหน่อย!

 

ตอนนี้ เขาต้องเก็บรักษาเงินพวกนี้ไว้ให้‘เขา’เสียก่อน เช่นนี้ ‘เขา’ถึงจะไม่คิดไปจากที่นี่อีก

 

เช่นนี้ดียิ่งนัก!

 

พอคิดถึงตรงนี้ เหลิ่งจวิ้นอวี๋หยิบห่อเงิน ยิ้มอย่างมีเลศนัยจากไป ส่วนเล่อเหยาเหยาอยากร้องไห้ แต่ไร้น้ำตาอยู่ในห้องเช่นเดิม

 

 

หลังปรนนิบัติพญายมเสร็จแล้ว เขาก็เข้าวังหลวงไป

 

อาจเพราะเรื่องเมื่อคืนที่ว่าคนของลัทธินอกรีตพวกนั้นพาตนเองเข้ามาติดกับดัก ทั้งหมดจึงถูกกำจัด โดยไม่

 

หลงเหลือแม้แต่คนเดียว

 

น่าเสียดาย เดิมทีพวกเขาอยากจับเป็นเหล่าลัทธินอกรีต เพื่อจะได้รู้ถึงรังของพวกมัน วางแผนกำจัดเนื้อร้ายทั้งหมดให้หมดไป

 

แต่พวกลัทธินอกรีตเหล่านั้น ต่างแอบซ่อนยาพิษไว้ภายในฟัน เพียงกัดเบาๆ ที่ยาพิษนั้นก็จะตายลงทันที

 

ดังนั้นเมื่อวาน เหล่าลัทธินอกรีตพวกนั้นจึงตายทั้งหมด พวกเขาเลยสูญเสียเบาะแสตามหารังของพวกลัทธินอกรีตไปเช่นกัน

 

แม้ว่าเรื่องนี้จะทำให้ทุกคนต่างผิดหวัง แต่เรื่องของเมื่อคืนก็ทำให้ลัทธินอกรีตเสียคนไปจำนวนมาก ครั้งนี้เหล่าลัทธินอกรีตต้องวางมือลงอย่างแน่นอน

 

ดังนั้นทุกคนจึงชื่นใจและมีความสุขอย่างมาก

 

พญายมจากไปด้วยสีหน้าสมปรารถนา ส่วนเล่อเหยาเหยาหลังจากปัดกวาดตำหนักหย่าเฟิงเสร็จ ก็ถึงเวลาทานอาหารพอดี จึงไปที่โรงอาหาร

 

อาหารวันนี้รสชาติไม่เลว เมื่อไปถึงโรงอาหาร เล่อเหยาเหยาสามารถได้กลิ่นหอมของอาหารทันที

 

แม้วันนี้จะอารมณ์ไม่ดีอย่างหนัก แต่หลังจากได้กลิ่นหอมของอาหาร ท้องของเล่อเหยาเหยาจึงส่งเสียงประท้วง

 

หลังจากตักอาหารของตนที่บรรจุปริมาณข้าวสวยมากกว่าที่ผ่านมา เธอเดินไปยังตำแหน่งที่นั่งอยู่เป็นประจำ

 

ไม่นาน เสี่ยวมู่จือก็ตามมา

 

เมื่อเห็นเล่อเหยาเหยาทานอย่างตะกละตะกลาม ก็ตกใจจนอ้าปากค้าง

 

ส่วนเล่อเหยาเหยากลับไม่รับรู้ถึงสีหน้าตกตะลึงของเสี่ยวมู่จื่อ หลังจากกิมดื่นจนอิ่มหน่ำ ก็เรอออกมาอย่างพอใจ อารมณ์คล้ายจะดีขึ้นอย่างมาก

 

ดูแล้ว การกินเพื่อคลายความเศร้าและโมโห ถือว่าไม่เลว!

 

เพียงแต่เสี่ยวมู่จื่อที่อยู่ด้านข้าง กลับตกตะลึง ก่อนร้องอย่างตกใจว่า

 

“เสี่ยวเหยาจื่อ เจ้าไม่ได้กินอาหารมานานเพียงใดแล้ว เหตุใดวันนี้จึงทานมากขนาดนี้!”

 

“ฮ่า ๆ เจ้าพูดเกินไปหรือไม่ ข้าเพียงทานข้าวมากขึ้นหนึ่งชามเท่านั้น”

 

เล่อเหยาเหยาเพียงหัวเราะออกมา กับการตกใจและแปลกใจของเสี่ยวมู่จื่อ

 

คิดไม่ถึง เสี่ยวมู่จื่อกลับแก้ไขคำพูดของเธอ

 

“เสี่ยวเหยาจื่อ เจ้าไม่ใด้กินข้าวมากไปหนึ่งชาม เมื่อครู่กระทั่งชามข้าวของข้าเจ้าก็กินไปแล้ว หรือเจ้าลืมไปวันหน้าข้าต้องตักข้าวเพิ่มอีกชามแล้ว”

 

“ฮ้า มีเรื่องเช่นนี้ด้วยหรือ”

 

เมื่อได้ยินคำพูดของเสี่ยวมู่จื่อ เล่อเหยาเหยาจึงนึกได้ว่าคล้ายมีเรื่องเช่นนี้เกิดขึ้นจริง!

 

หากพูดเช่นนี้ วันนี้เธอสามารถกินได้มากจริงๆ!

 

หรือพักนี้เธอเริ่มพัฒนาทางร่างกาย!

 

อืม น่าจะเป็นเช่นนี้!

 

อันที่จริงร่างนี้ของเธอก็มีอายุเพียงสิบหกปีเท่านั้น ควรที่ต้องได้รับการพัฒนาเพิ่มเนื้อหนังขึ้นอีก เพราะเธอไม่อยากให้ตนผ่ายผอมในวันหน้า

 

ดังนั้นเล่อเหยาเหยาจึงรู้สึกสงบอย่างยิ่ง หลังทานข้าวเสร็จก็กลับไปทำงานที่ตำหนักหย่าเฟิงต่อ

 

 

วันนี้กลางดึกเหลิ่งจวิ้นอวี๋จึงกลับมา ไม่รู้ว่าเพราะยุ่งกับงานราชการหรือไม่

 

วันนี้ตลอดทั้งวัน เล่อเหยาเหยาก็ไม่เห็นหนานกงจวิ้นซีเช่นกัน จึงรู้สึกแปลกใจเล็กน้อย เพราะองค์ชายเจ็ดนั้น มักเกียจคร้านอยู่ตลอด ตอนอยู่ในวังก็ไร้งานทำ วันนี้เมื่อเธอไม่เห็นเขาตลอดทั้งวัน จึงรู้สึกแปลกใจ

 

แต่เธอไม่คิดมากอีก คิดเพียงว่าองค์ชายเจ็ดที่น่าชังนั้นไม่ปรากฎตัวขึ้นก็ดี เธอก็ไม่ได้อยากเห็นหน้าเขา

 

หลังจากปัดกวาดตำหนักหย่าเฟิงเสร็จ เล่อเหยาเหยาจึงไปนอนลงบนพื้นหญ้า หลับพักผ่อนอย่างสบายใจ

 

พอตกเย็นจึงตื่นขึ้นมา

 

เมื่อเห็นพระอาทิตย์ตกดิน จึงตกใจเมื่อรู้ว่าตนหลับไปตลอดทั้งบ่าย สวรรค์! ที่แท้เธอสามารถนอนได้นานขนาดนี้!

 

เล่อเหยาเหยาประหลาดใจหลายส่วน เมื่อเห็นท้องฟ้ามืดมิดแล้ว จึงรีบกลับไปที่ตำหนักหย่าเฟิง

 

ช่างประจวบเหมาะ เมื่อเห็นเงาร่างสูงใหญ่ที่คุ้ยเคยนั้นมาแต่ไกล ใจอดเต้นระรัวไม่ได้

 

อาจเพราะผ่านเรื่องเมื่อคืนมา เล่อเหยาเหยาจึงรู้สึกว่าตนไม่ได้หวาดกลัวพญายมต่อไปแล้ว

 

หลังเห็นเขากลับมา ก็รีบไปที่ห้องชงชา จากนั้นก็ชงชาจวินซานอิ๋นเจินที่เขาชอบดื่มที่สุด

 

พลางคิดในใจว่าพอเขากลับมาถึงต้องกระหายแน่นอน น่าจะสามารถดื่มได้พอดี จากนั้นค่อยให้เขาพักผ่อนสักครู่

 

พอคิดถึงตรงนี้ เล่อเหยาเหยาอดยิ้มมุมปากไม่ได้

 

เธอเองไม่รู้ตัว ทุกการกระทำเวลานี้เริ่มดูเป็นห่วงเป็นใยพญายม

 

หลังชงชาเสร็จ เล่อเหยาเหยาทราบดีว่าพอกลับมา พญายมต้องไปที่ห้องหนังสือเป็นอันดับแรกแน่นอน ดังนั้นจึงยกน้ำชาที่ชงเสร็จเดินตรงไปทางด้านห้องหนังสืออย่างเคยชิน

 

มุมปากปรากฏรอยยิ้มขึ้นมา โดยที่ไม่รู้ตัวว่าเวลานี้ตนกำลังยิ้มอยู่

 

แต่ว่า เล่อเหยาเหยามีรอยยิ้มมุมปากได้ไม่นาน เพราะหลังจากได้ยินเสียงที่ดังออกมาจากห้องหนังสือ รอยยิ้มมุมปากของเธอพลันชะงักงัน

 

“ศิษย์พี่ใหญ่ วันนี้ข้าได้ยินผู้คนในโรงเตี๊ยมลือกันว่า หออวี๋หงมีหญิงสาวผู้หนึ่ง รูปโฉมงดงามดุจเทพธิดาลงมาจากสวรรค์!ผู้คนมากมายพบหน้าเพียงครั้งเดียว ต้องหลงใหลเคลิบเคลิ้ม วันนี้พวกเราไปดูกันดีหรือไม่ ข้าอยากเห็นว่าหญิงสาวผู้นั้น งดงามสมกับที่คนเล่าลือกันจริงหรือไม่!”

 

เป็นเสียงของหนานกงจวิ้นซี ฟังดูแล้วคล้ายเขาตื่นเต้นอย่างมาก

 

แม้เล่อเหยาเหยาจะไม่เห็นสีหน้าของเขา แต่ก็รู้ว่าเวลานี้เขาต้องตื่นเต้นอย่างมาก จนดวงตาเป็นประกายแน่นอน

 

เพราะบุรุษต่างเป็นสัตว์ที่อาศัยท่อนล่างตัดสินใจ เพียงเห็นรูปโฉมที่สวยงาม ก็สูญเสียความนึกคิดไป

 

องค์ชายเจ็ดผู้นี้ ก็คงไม่ยกเว้นเช่นกัน!