ตอนที่ 92.4 รวมตัวเข้าหอนางโลม (4) (รีไรท์)

สตรีอย่างข้าน่ะหรือ คือขันที?!

ไม่แปลกที่ตลอดวันนี้ เธอไม่เห็นเขาเลย ที่แท้วันนี้เขาออกไปข้างนอก

และได้ยินคนอื่นเล่าลือกันว่ามีหญิงงาม จึงเกิดความคิดขึ้นมา

แต่ว่าเขาคิดอยากไปชมสาวงาม ตนไปเพียงคนเดียวก็พอแล้ว ตอนนี้ยังคิดลากคนอื่นไปชมสาวงามด้วย ช่างทำให้คนพูดไม่ออกเสียจริง!

เมื่อได้ยิน เล่อเหยาเหยาก็รู้สึกรังเกียจองค์ชายเจ็ดอย่างหาที่เปรียบไม่ได้

ทว่าเริ่มกังวลใจ ไม่รู้ว่าหลังจากพญายมได้ยินคำยุยงของเขา จะไปที่หออวี๋หงหรือไม่

แต่พญายมเกลียดชังสตรี หากพญายมไปหอนางโลมจริง เช่นนั้นต้องกลายเป็นเรื่องเล่าลือกันทั้งวันทั้งคืนแน่!

องค์ชายเจ็ดนี้เหลือเกินจริงๆ ไปหอนางโลมต้องมีสหาย จะตามหาผู้ใดก็ได้ แต่กลับมาหาพญายม เขาสมควรถูกตอกหน้าจนหงายหลังเสียจริง!

เล่อเหยาเหยาเยาะเย้ยในใจ พลางส่ายหน้าอย่างหมดคำจะพูด ในใจทราบดีว่าพญายมต้องปฏิเสธแน่นอน

ดังนั้นจึงยื่นมือไปเคาะประตู จากนั้นก็เดินเข้าไปด้านใน

คิดไม่ถึง เธอเพิ่งเข้ามาในห้องหนังสือ กลับได้ยินพญายมที่ยุ่งกับเอกสารราชการ เอ่ยตอบขึ้นมาโดยไม่เงยหน้า

“ได้สิ เดี๋ยวพวกเราไปด้วยกัน!”

เสียง “เปรี้ยง” ดังขึ้น เล่อเหยาเหยารู้สึกเพียงถูกฟ้าผ่าเข้าตอนกลางวัน

อะไรนะ!

พญายมเขา จะไปหอนางโลมหรือ!

เธอฟังไม่ผิดใช่หรือไม่!

เล่อเหยาเหยาตกตะลึง จนดวงตาเบิกกว้าง มองไปยังพญายมอย่างไม่เชื่อสายตา

เวลานั้น พญายมก็เงยหน้าขึ้นมาพอดี ทันใดนั้นนัยน์ตาเย็นชาสบเข้ากับนัยน์ตางดงาม สี่ตาจ้องมองซึ่งกันและกัน

คนหนึ่งผิดคาด คนหนึ่งตกตะลึง

แต่ความผิดคาดในแววตาของพญายมวาบขึ้นเพียงชั่วขณะเท่านั้น ทันใดนั้นก็กลับมาเย็นชาเช่นเดิม ความสงบนิ่งของพญายม ทำให้เล่อเหยาเหยารู้สึกคล้ายอึดอัดในใจ ไม่สบายใจอย่างยิ่ง

หนานกงจวิ้นซีที่อยู่ด้านข้าง เมื่อเห็นศิษย์พี่ใหญ่ตอบตกลงคำชวนของตน ก็รู้สึกแปลกใจอย่างยิ่งเช่นกัน

เมื่อครู่เขาเพียงเอ่ยถามหยั่งเชิง แม้ศิษย์พี่ใหญ่ไปไม่ได้ เขาก็ไปคนเดียวอยู่ดี

เพราะหลังพบว่าตนเริ่มไม่ปกติ จึงวางแผนที่จะใช้เวลาที่อาการผิดปกติยังไม่ร้ายแรง รักษาให้หายขาด

ดังนั้น วันนี้หลังจากได้ยินว่าหออวี๋หงมีสาวงามมา จึงวางแผนจะไปดูคืนนี้

เพราะหากพบหญิงงามพวกนั้นแล้ว เขาอาจจะกลับมาเป็นปกติ และไม่คิดนอกลู่นอกทางถึงเรื่องอื่น

พอคิดถึงตรงนี้ หนานกงจวิ้นซียังอดแอบมองเล่อเหยาเหยาแวบหนึ่งอย่างเงียบๆ ไม่ได้

เห็นเพียงเล่อเหยาเหยายืนก้มหน้าหลบสายตาอยู่ตรงนั้น สายตามองที่ปลายเท้าตลอดเวลา ขนตาเรียวยาวนั้นลดต่ำลงปิดบังแววตาเธอเอาไว้ ทำให้คนคาดเดาความคิดเธอไม่ออก

เวลานี้พระอาทิตย์ตกดินแล้ว ไข่มุกราตรีบนห้องหนังสือจึงส่องสว่างขึ้นมา

แสงอ่อนโยนนั้น สาดส่องลงบนตัวเธอ ทำให้เธองดงามลวงตา ดุจเทพบุตรที่ออกมาจากภาพวาด

หนานกงจวิ้นซีจึงมองอย่างตกตะลึงอีกครั้งจนลืมละสายตากลับมา

ไม่รู้ผ่านไปนานเพียงใด เมื่อได้ยินเสียงทุ้มแหบพร่าของเหลิ่งจวิ้นอวี๋ หนานกงจวิ้นซีพลันได้สติ จึงละสายตาจากเล่อเหยาเหยาไปอย่างรวดเร็ว จากนั้นก็แสร้งทำท่าทางหยิบชาขึ้นมาจิบ เพื่อปิดบังอาการลืมตัวของตนเมื่อครู่

นอกจากนี้หนานกงจวิ้นซียังหงุดหงิดใจหลายส่วน

น่าตายนัก เอ่ยอย่างดิบดีว่าต่อไปจะไม่กลั่นแกล้งบ่าวผู้นี้อีก และไม่มองบ่าวผู้นี้แม้หางตา!

เหตุใดเมื่อครู่เขาจึงลืมเลือน

ไม่ได้การ!

เขาจะเป็นเช่นนี้ต่อไปไม่ได้!

เขาต้องจำไว้ว่า ตนเป็นบุรุษธรรมดาผู้หนึ่ง ตนปกติ! ดังนั้นห้ามเกิดความรู้สึกกับขันทีน้อยนี้เด็ดขาด แม้ขันทีน้อยจะรูปโฉมน่ามอง ก็ไม่ได้เด็ดขาด!

หนานกงจวิ้นซีเตือนสติในใจไม่หยุด อีกทั้งกลัวว่าหากเป็นเช่นนี้ต่อไป ตนต้องคิดนอกลู่นอกทางอีกครั้งเป็นแน่ จากนั้นจึงรีบดึงเหลิ่งจวิ้นอวี๋ไปที่หออวี๋หง

เมื่อเห็นชายหนุ่มสองคนจะไปที่หอนางโลม เล่อเหยาเหยาหมดความสนใจ คิดกลับไปที่ห้อง

พวกเขาไปเดินเที่ยวเตร่ ขันทีน้อยเช่นเธอตอนนี้ ไปก็ไม่มีประโยชน์อันใด กลับไปนอนให้สบายดีกว่า!

แม้เมื่อครู่เธอเพิ่งจะหลับไปตลอดบ่าย แต่ตอนนี้ยังรู้สึกง่วงงุนยิ่งนักอยู่

ไม่รู้ว่าเพราะเหตุใด ช่วงนี้เธอจึงคล้ายเอาแต่นอน

ขณะที่เล่อเหยาเหยาสงสัยอยู่ในใจ หูก็พลันได้ยินเหลิ่งจวิ้นอวี๋เอ่ยขึ้นว่า

“กระต่ายน้อย เหตุใดยังยืนนิ่งอยู่อีก! รีบไปเปลี่ยนชุดออกไปกับพวกเรา!”

“ฮ้า! ท่านอ๋อง พวกท่านไปเที่ยวสนุก บ่าว ไม่ไปได้หรือไม่!”

เล่อเหยาเหยาแปลกใจกับคำพูดของพญายมยิ่งนัก

เหล่าบุรุษเช่นพวกเขาไปหาหญิงสาว พวกเขาต้องดีใจอย่างยิ่ง เหตุใดจึงยังรับสั่งให้ขันทีน้อยเช่นเธอไปด้วย! เช่นนี้ไม่ดีเลย!

แม้เล่อเหยาเหยาจะไม่พอใจ แต่เมื่อเห็นสายตาเย็นชาของพญายม จึงยอมไปเปลี่ยนชุดอย่างเชื่อฟัง!

เล่อเหยาเหยาที่มีสีหน้าไม่ยินยอม นั่งรถม้าออกมากับพวกเหลิ่งจวิ้นอวี๋ พอถึงแม่น้ำเว่ยเหอ เห็นภาพความรุ่งเรืองตรงหน้า ทันใดนั้น ความตื่นเต้นแปลกตาก็เข้ามาแทนที่!

นี่เป็นครั้งแรกที่ออกมาข้างนอกตอนกลางคืน หลังจากเธอมาถึงที่นี่

อีกทั้งเป็นครั้งแรกที่ได้เห็นว่า ความจริงค่ำคืนในยุคโบราณดั้งเดิมก็รุ่งเรืองถึงเพียงนี้ โดยเฉพาะที่แม่น้ำเว่ยเหอ

ว่ากันว่าแม่น้ำเว่ยเหอขึ้นชื่อเรื่องหอโคมแดง

สองฟากฝั่งของแม่น้ำเว่ยเหอ ที่แขวนโคมไฟสีแดงขนาดใหญ่ ต่างคือหอนางโลมและหอการแสดง

พระจันทร์อยู่ทิศตะวันตก ดวงดาวส่องประกายระยิบระยับ ทำให้ค่ำคืนนี้คึกคักอย่างยิ่ง

ส่วนแม่น้ำเว่ยเหอ สว่างไสวไปด้วยแสงไฟ เสียงดนตรีดังแว่ว เรือแล่นไปมาตามสายน้ำอย่างรื่นเริง ทำให้ยามค่ำคืนดูสว่างไสวดุจกลางวันอันคึกคักวุ่นวาย!

โดยเฉพาะหน้าหอนางโลมสองฟากฝั่ง ที่มีหญิงสาวแต่งตัวสวยงามยืนโบกผ้าเช็ดหน้าไปมาไม่หยุด หัวเราะยิ้มหวานหยดย้อยดึงดูดเหล่าบุรุษให้หยุดยืนนิ่งนับไม่ถ้วน สุดท้ายค่อยๆ  พ่ายแพ้ต่อเสน่ห์ กระโจนเข้าสู่อ้อมอกของพวกเธอ!

ที่นี่คือสถานที่ที่เหล่าบุรุษชื่นชอบที่สุด!

ก่อนหน้านี้เล่อเหยาเหยาเพียงเห็นบรรยากาศเช่นนี้ผ่านทางโทรทัศน์ แต่เมื่อเทียบกับบรรยากาศตรงหน้า บนโทรทัศน์เป็นดั่งปุยเมฆที่ล่องลอยเท่านั้น

ภาพตรงหน้าตระการตากว่าบนโทรทัศน์ยิ่งนัก

โดยเฉพาะเหล่าหญิงสาวที่แต่งตัวเปิดเผยเนื้อหนังกลุ่มนั้น เคลื่อนไปซ้ายทีขวาทีจนหน้าอกนั้นกระเพื่อมดุจคลื่นโหมซัดสาดไปมาไม่หยุด

เมื่อก้มมองหน้าอกที่แบนราบของตน เล่อเหยาเหยารู้สึกอิจฉาริษยาอย่างมาก!

บิดามันเถอะ!

ต่างเป็นผู้หญิง เหตุใดจึงแตกต่างกันมากเช่นนี้! ไม่รู้ว่าพวกเธอกินสิ่งใด หน้าอกถึงใหญ่โตเช่นนี้!

เล่อเหยาเหยากัดฟันกรอด

ทว่าเมื่อเธอกวาดตามองไป เห็นสถานที่ที่น่าตกตะลึงอย่างมากแห่งหนึ่งเข้า

เห็นเพียงหอดนตรีนั้น ด้านนอกมีชายหนุ่มหล่อเหลายืนเรียงรายกันอยู่

ชายหนุ่มพวกนั้น ไม่ด้อยไปกว่าเหล่าหญิงสาวในหอนางโลมเลยสักนิด

ในหอนางโลม หญิงสาวแต่งกายงดงามยั่วยวน

แต่หอดนตรี เหล่านักดนตรีพวกนั้นกลับแต่งกายหลากหลายรูปแบบ แต่ว่าต่างเปิดเผยเนื้อหนัง

สวรรค์! พวกเขาสวมใส่เสื้อผ้าอยู่จริงหรือไม่!

เหตุใดเธอจึงรู้สึกว่าของพวกนั้นคือมุ้งเท่านั้น ใช่หรือไม่!

ทุกคนต่างเปลือยหน้าอก เผยให้เห็นองุ่นสองลูกเล็กแสนน่ารัก และต้นขาที่เรียวยาวแข็งแรงนั้นก็เปิดเผยออกมา

ที่ยอดเยี่ยมก็คือ กลับเปิดสิ่งที่อยู่ระหว่างต้นขาของตนออกมาอย่างเลือนลาง

เล่อเหยาเหยาเห็นเข้าก็อ้าปากค้าง ดวงตาเบิกกว้าง

สวรรค์!

ผู้ใดพูดว่ายุคโบราณรักนวลสงวนตัวเป็นอย่างยิ่ง! เหตุใดหลังจากมาที่นี่ เธอกลับพบว่าผู้คนที่นี่ต่างเปิดกว้างยิ่งนัก

หรือกระทั่งเธอก็เทียบกับคนยุคโบราณไม่ได้! เธอไร้เดียงสาเกินไปหรือ!

เล่อเหยาเหยาตกตะลึง เธอกลับไม่รู้ตัวเลยว่าเมื่อเธอมองไปยังนักดนตรีเหล่านั้น มีสายตาสองคู่จ้องเขม็งอยู่ที่ตัวเธอ

เมื่อเห็นเธอมองร่างกายของชายหนุ่มผู้อื่น ต่างขมวดคิ้วแน่นอย่างไม่พอใจพร้อมกัน

สุดท้าย เหลิ่งจวิ้นอวี๋ได้สติอย่างรวดเร็ว

จึงเม้มริมฝีปากบางเป็นกระจับนั้นครู่หนึ่ง ยกชายชุดขึ้น ก่อนกระโดดลงจากรถม้าอย่างรวดเร็ว

ส่วนหนานกงจวิ้นซีก็ตามลงมาทันที

หลังจากเห็นชายหนุ่มสองคนลงมาจากรถม้า เล่อเหยาเหยาจึงได้สติ ก่อนรีบกระโดดตามลงไป

เมื่อเงยหน้าขึ้นถึงเห็นว่าสถานที่ที่พวกเธอยืนอยู่ คือหอนางโลมที่ใหญ่และหรูหราที่สุดในเมืองหลวง

หออวี๋หง!สมกับที่เป็นหอนางโลมอันดับหนึ่งแห่งเมืองหลวง เพียงประตูด้านหน้า ก็ตกแต่งอย่างหรูหรา

และเหล่าหญิงสาวที่ยืนอยู่นอกประตู ไม่ว่าจะเป็นการแต่งตัวหรือท่าทาง ต่างดูดีกว่าหญิงสาวในหอนางโลมอื่นยิ่งนัก

แม้จะเป็นเช่นนี้ แต่เล่อเหยาเหยากลับไม่ชอบใจเลย

โดยเฉพาะเมื่อเห็นเหล่าหญิงสาวนั้น ตอนเห็นพวกเขายืนอยู่ด้านนอก ราวกับผึ้งเห็นดอกไม้ ต่างพุ่งกระโจนเข้ามา พร้อมกับกลิ่นชาดสีแดงอันรุนแรงที่แสบจมูก

เพียงได้กลิ่น เล่อเหยาเหยาย่นจมูกน่ารักนั้นขึ้นทันที

ยังไม่หมดเท่านี้

เมื่อเธอได้ยินเสียงแหลมของหญิงสาวเหล่านั้น ก็ขนลุกชันไปทั่วร่างจนแทบทรงตัวไม่อยู่

สวรรค์!

เสียงแหลมสูงยิ่งนัก!

เมื่อได้ยินเธออดสั่นเทิ้มไม่ได้!

ไม่รู้เหตุใดบุรุษพวกนั้นจึงชื่นชอบหญิงสาวเช่นนี้ หรือพวกเขาไม่คิดว่าดัดจริต!

ขณะที่เล่อเหยาเหยาพึมพำในใจ เห็นเพียงร่างสีแดงลอยผ่านหน้าไป ตามมาด้วยกลิ่นของชาดแดง

หญิงสาวงดงามอ้อนช้อยผู้หนึ่ง ล้มตัวอย่างอ่อนเปลี้ยเพลียแรงอยู่ในอ้อมอกของพญายม

ส่วนพญายม ก็โอบกอดไว้เช่นกัน!

……………………………