ตอนที่ 106 สามีนำภรรยาสมบท

ปฏิญญาค่าแค้น

หยินหลิ่วรู้สึกว่าวันนี้นายน้อยและนายหญิงน้อยของพวกนางดูแปลกชอบกล 

 

 

นายน้อยมองดวงตาของนายหญิงน้อยด้วยตาหวานเยิ้มและอ่อนโยนอย่างเห็นได้ชัด คอยคีบกับข้าวให้มือไม่เว้นว่าง ขณะที่นายหญิงน้อยเอาแต่ก้มหน้าก้มตากินข้าว และบางทีที่เงยหน้าขึ้นมาสบตากับนายน้อยก็เป็นอันต้องหน้าแดงเป็นลูกตำลึงแล้วมุดหน้ากลับไปดั่งเดิม 

 

 

นี่มันเรื่องอะไรกัน ก่อนหน้านี้นายหญิงของนางยังถือมีดด้วยท่าทางโกรธเกรี้ยว และนายน้อยก็มีท่าทางประหม่าดูเป็นกังวล ผ่านไปเพียงชั่วประเดี๋ยวเดียว ทั้งสองก็…แสดงสายตารักใคร่ใส่กันถึงเพียงนี้แล้วหรือ 

 

 

หลังทานอาหารเป็นที่เรียบร้อย ทั้งสองพากันไปโถงหนิงเฮ๋อ ในระหว่างทางต่างฝ่ายต่างมองหน้ากันไปมองกันมา คนหนึ่งสายตาอบอุ่นอ่อนโยน อีกคนคอยชายตามองมาเป็นครั้งคราว หลังจากนั้นทั้งสองก็เผยรอยยิ้มออกมาในเวลาเดียวกันโดยบังเอิญ 

 

 

หลังผ่านพ้นเส้นกั้นระหว่างกลางบางๆ นี้ได้ จากผู้ร่วมภารกิจกลายเป็นคนรัก การเปลี่ยนสถานะอย่างกะทันหันเช่นนี้จึงทำให้รู้สึกไม่คุ้นชินเท่าไหร่นัก อีกทั้งยังนำมาซึ่งปฏิกิริยาเคมีทางใจของทั้งสองอย่างรุนแรงอีกด้วย 

 

 

วันนี้ถือว่าเป็นวันแห่งความสุขของหลี่จิ้งเสียน ผนวกกับหลินหลันมาเข้าร่วมพิธีแล้วยังส่งมอบของขวัญแสดงความยินดีให้ด้วย ซึ่งนั่นเป็นการให้เกียรติหลิวอี๋เหนียงได้อย่างเหมาะสม ดังนั้นเขาจึงรู้สึกปลาบปลื้มคู่สามีภรรยาหมิงอวินเป็นพิเศษ 

 

 

เขาเริ่มบทสนทนาโดยถามไถ่หมิงอวินถึงการทำงานในวันนี้ หมิงอวินกล่าวว่าทุกอย่างเป็นไปอย่างราบรื่นและค่อยๆ เข้าที่เข้าทางแล้ว “สังเกตให้มาก รับฟังให้มากและไตร่ตรองให้มากเข้าไว้ ไม่เข้าใจอะไรตรงไหนก็กลับมาถามพ่อได้” หลี่จิ้งเสียนกล่าวออกไปภายใต้ความรู้สึกชื่นชมเป็นอย่างยิ่ง 

 

 

“ขอรับ! ลูกจะจำไว้ขอรับ” หลี่หมิงอวินกล่าวอย่างนอบน้อม 

 

 

หลี่จิ้งเสียนเอ่ยถามหลี่หมิงเจ๋อขึ้นมาบ้าง “หลายวันมานี้อ่านตำราเกี่ยวกับอะไรอยู่หรือ” 

 

 

หลี่หมิงเจ๋อลุกขึ้นยืนแล้วกล่าวตอบ “หลังผ่านการสอบครั้งนี้ ลูกตระหนักได้ว่าในด้านทฤษฎีนโยบายยังคงต้องเพิ่มพูนความรู้อีกมาก ดังนั้นจึงหาตำราประเภทนี้มาอ่านขอรับ” 

 

 

สีหน้าของหลี่จิ้งเสียนเคร่งขรึมขึ้นทันใด “เคยบอกเจ้าไว้ตั้งนานแล้วว่าเจ้าอ่อนหัดในด้านทฤษฏีนโยบาย ประเด็นนี้เจ้าต้องเรียนรู้จากหมิงอวินไว้ให้มากๆ ขอให้เขาช่วยแนะนำให้ เรื่องทฤษฏีนโยบายเป็นส่วนที่ได้ใช้งานจริง มิใช่เรียนรู้ไปเปล่าประโยชน์” 

 

 

หลี่หมิงเจ๋อเผยสีหน้าไม่สู้ดีนัก “ขอรับ!” 

 

 

ฮานชิวเยว่เกรงว่าผู้เป็นสามีจะว่ากล่าวหมิงเจ๋อต่อไปจึงตัดบทด้วยการเอ่ยถามติงหลั้วเหยียน “พี่สะใภ้เจ้าเป็นอย่างไรบ้างหรือ” 

 

 

ติงหลั้วเหยียนกล่าวอย่างนอบน้อม “ปลอดภัยทั้งแม่และลูกเจ้าค่ะ” 

 

 

ฮานชิวเยว่กล่าวด้วยรอยยิ้ม “พี่สะใภ้เจ้าแต่งเข้าตระกูลไม่ถึงสามปี ก็เพิ่มหลานชายให้วงศ์ตระกูลพวกเจ้าแล้ว ช่างน่าอิจฉาเสียจริง เจ้ากับหลินหลันก็เร่งมือกันหน่อย รีบเพิ่มสมาชิกให้แก่ตระกูลหลี่ของพวกเรา ข้ากับเหล่าเหยียล้วนรอคอยจะได้อุ้มหลานชายอยู่นะ!” 

 

 

ติงหลั้วเหยียนถึงกับหน้าแดงระเรื่อขึ้นมาทันที ส่วนหลินหลันได้แต่บ่นพึมพำในใจ เกี่ยวอะไรกับข้าด้วยหรือ แต่จะว่าไปแล้ว หากนางกับหมิงอวินเป็นสามีภรรยากันแบบจริงๆ แล้ว การมีลูกก็เป็นเรื่องปกติหนิ! ทันใดนั้นใบหน้าของนางก็แดงระเรื่อขึ้นมาเช่นกัน 

 

 

นางแอบชายตามองไปที่หลี่หมิงอวินซึ่งดันบังเอิญสบตาเขาเข้าพอดี เอ่อะ! รอยยิ้มของพ่อหนุ่มนี่มันออกจะอันตรายชอบกล 

 

 

เห็นได้ชัดว่าหลี่จิ้งเสียนกำลังเอาใจจดจ่ออยู่กับสิ่งอื่น ซึ่งเดาได้ว่าคงอยากกลับห้องไปหาหลิวอี๋เหนียงจะแย่แล้ว หลี่หมิงเจ๋อซึ่งเกรงกลัวบิดามาแต่ไหนแต่ไร เมื่ออยู่เบื้องหน้าท่านพ่อจึงมีทีท่าระมัดระวังเป็นอย่างมาก ส่วนหลี่หมิงอวินกับหลินหลันมาที่แห่งนี้ก็แค่ทำพอเป็นพิธีเท่านั้น ในเมื่อทุกคนต่างไม่ได้มีใจจดจ่ออยู่ ณ ตรงนี้ ดังนั้นการทักทายยามเย็นจึงผ่านพ้นไปในระยะเวลาอันสั้น 

 

 

“หมิงอวิน แผนการนั่นเตรียมการไปถึงไหนแล้ว” หลังกลับถึงเรือนหลั้วเซี๋ยจาย หลี่หมิงอวินนั่งบนคั่ง [1] มองดูอักขระจีน ส่วนหลินหลันไม่มีอะไรทำมาสักพักแล้วจึงตัดสินใจเข้าไปคุยเล่นกับหลี่หมิงอวิน ไม่สิ เป็นการปรึกษาหารือเรื่องทางการต่างหาก 

 

 

หลี่หมิงอวินขมวดคิ้ว “น่าจะในเร็วๆ นี้แล้วกระมัง!” 

 

 

“นี่มันผ่านไปหลายวันแล้วนะ” หลินหลันหงุดหงิดเล็กน้อย ระยะนี้นางว่างเกินไปแล้ว รู้สึกอึดอัดไปหมด อยากเห็นแม่มดชราพ่ายแพ้อย่างราบคราบจะแย่อยู่แล้ว 

 

 

“ต้องวางแผนให้รอบครอบเข้าไว้ถึงเป็นการดี อย่าใจร้อนไปเลยน่า” หลี่หมิงอวินกล่าวด้วยน้ำเสียงบางเบา 

 

 

“แต่ข้ารีบ พอนึกถึงว่าทรัพย์สินพวกนั้นถูกแม่มดชรายึดครองเอาไว้ ข้าก็เป็นอันต้องหงุดหงิดอยู่ร่ำไป” หลินหลันรินน้ำชาใส่ถ้วยจากกาน้ำของเขา 

 

 

“ในเมื่อเจ้ารีบร้อนเสียขนาดนี้ งั้นพวกเราก็มาปรึกษาหารือกันสักหน่อย เมื่อถึงเวลาเราต้องเข้ากันเป็นปี่เป็นขลุ่ยเพื่อทำให้เรื่องนี้แยบยล” หลี่หมิงอวินวางแผ่นอักขระจีนลง นั่งยืดตัวตรงแล้วหันมาพูดคุยกับหลินหลันถึงแผนการที่ว่า 

 

 

หลี่หมิงอวินบอกกล่าวเกี่ยวกับแผนการของเขา หลินหลันหัวเราะเสียงดังขณะรับฟัง “ข้ากะไว้แล้วว่าเจ้าเล่ห์เหลี่ยมเยอะกว่าข้ามากนัก” 

 

 

หลี่หมิงอวินกล่าวอย่างถ่อมตน “มิบังอาจ มิบังอาจ ต่อหน้าภรรยา ข้าก็เป็นเพียงสิ่งมีชีวิตตัวเล็กๆ เท่านั้น” 

 

 

หลังได้ข้อสรุปกันเป็นที่เรียบร้อย หลินหลันจึงรู้สึกวางใจขึ้นมาก “เจ้าอ่านอักขระจีนต่อไปเถิด! ขยันๆ เข้าไว้ จะได้เป็นอัครมหาเสนาบดีในเร็ววัน ข้าไม่รบกวนเจ้าแล้ว” 

 

 

หลี่หมิงอวินกล่าวด้วยรอยยิ้ม “ตกลง เพื่อภรรยาของข้า ข้าจะตั้งใจเพียรพยายามอย่างแน่นอน จะได้ให้เจ้าได้รับแต่งตั้งตำแหน่งเกามิ่ง [2] ” 

 

 

หลินหลันมุ่ยปาก “ใครเขาสนใจ!” แล้วจึงเดินอย่างรวดเร็วไปเข้าห้องน้ำเพื่อชำระล้างร่างกาย 

 

 

วันนี้หลินหลันช่วยตระเตรียมที่นอนบนเก้าอี้นวมตัวยาวให้หลี่หมิงอวินอย่างดิบดี แม้ว่าหลี่หมิงอวินจะทำลายสัญญานั่นไปแล้วเพราะต้องการเป็นสามีภรรยากับนางอย่างจริงจัง และนางก็ยินยอมแล้วด้วยเช่นกัน แต่ทว่าบทจะทำอะไรก็ทำกันได้ง่ายๆ! นั่นไม่เท่ากับว่านางใจง่ายเกินไปหรอกหรือ และนางก็ยังไม่ทันได้ตระเตรียมใจให้พร้อมด้วย 

 

 

หลี่หมิงอวินชายตามองนางที่กำลังช่วยตระเตรียมที่นอนให้อย่างเชี่ยวชาญพลางแอบบ่นอยู่ในใจ ตกลงกันว่าเป็นสามีภรรยากันอย่างจริงจังแล้วแท้ๆ ยังจะให้ข้านอนบนเก้าอี้นวมนี่อีก เอาเถอะๆ คงต้องใช้เวลาอีกสักระยะ 

 

 

เวลาผ่านไปสามสี่วัน ตอนนี้เป็นเวลาประมาณห้าโมงเย็น หลินหลันกำลังรอหลี่หมิงอวินกลับจากการทำงาน ทว่ากลับเป็นตงจึที่วิ่งกระหืดกระหอบเข้ามา “เอ้อร์เส้าหน่ายนายขอรับ เอ้อร์เส้าเหยียให้ข้าน้อยมารายงานเอ้อร์เส้าหน่ายนายว่า เอ้อร์เส้าเหยียถูกเหล่าเหยียเรียกไปห้องหนังสือน่ะขอรับ” 

 

 

หลินหลันเผยสีหน้าตื่นตกใจเล็กน้อยน้อย ในที่สุดก็มาแล้ว 

 

 

นางรีบไปยังห้องหนังสือทันทีโดยมีหรูอี้ติดตามไปด้วย 

 

 

ในห้องหนังสือ หลี่จิ้งเสียนกล่าวตำหนิภายใต้สีหน้าเคร่งเครียดอย่างเห็นได้ชัด “ตระกูลหลี่ของพวกเรามันยากจนแร้นแค้นแล้วหรือไร การจะมอบของขวัญสักชุดก็ต้องให้ตระกูลเยี่ยตระเตรียมให้ด้วยหรือ สรุปแล้วเจ้าสกุลหลี่หรือสกุลเยี่ยกันแน่” 

 

 

หลี่หมิงอวินกล่าวด้วยสีหน้าละอายใจ “ล้วนเป็นลูกเองที่ไตร่ตรองไม่รอบครอบ เป็นความผิดของลูกเองขอรับ” 

 

 

“เจ้าสำนึกผิดตอนนี้แล้วจะช่วยอะไรได้ เป็นของขวัญที่ตระกูลหลี่มอบให้แต่กลับมีสัญลักษณ์ตระกูลเยี่ยสลักไว้ แล้วเจ้าจะให้ผู้อื่นคิดอย่างไร” หลี่จิ้งเสียนโมโหเป็นอย่างมาก วันนี้ใต้เท้าเฉินซึ่งเป็นสหายร่วมงานมาถึงบ้านเพื่อถามไถ่เขาว่าตระกูลเยี่ยสั่งทำเครื่องประดับชุดนั้นที่ร้านทองแห่งหนใด ภรรยาของเขาชื่นชอบมันมากจึงอยากสั่งทำอีกสักชุด ในตอนสุดท้ายยังเอ่ยอีกว่า…ข้าล่ะอิจฉาใต้เท้าหลี่เสียจริงที่มีตระกูลแม่ยายเช่นนี้ เล่นเสียเขาคล้ายกับถูกสายฟ้าฝาดลงมาที่ใจกลางศีรษะ ต่อมาถึงได้รับรู้ว่า ที่แท้เมื่อครั้งงานวันคล้ายวันเกิดของภรรยาใต้เท้าเฉิน หลินหลันมอบของขวัญซึ่งเป็นสิ่งของจากตระกูลเยี่ยไปให้ นั่นทำให้ความโกรธเป็นฟืนเป็นไฟขึ้นมาจริงๆ 

 

 

“หลินหลันไม่รู้เรื่องรู้ราว เจ้าเองก็ไม่รู้เรื่องรู้ราวด้วยงั้นหรือ” หลี่จิ้งเสียนกล่าวด้วยความโกรธเกรี้ยว 

 

 

หลี่หมิงอวินเอ่ยยอมรับผิดอย่างซ้ำๆ “ท่านพ่ออย่าได้เกรี้ยวโกรธไปเลยนะขอรับ ความโกรธจะทำลายสุขภาพเอาได้ ล้วนเป็นลูกเองที่ไม่ได้เรื่อง…” 

 

 

หลี่จิ้งเสียนจ้องมองใบหน้าสำนึกผิดของบุตรชายผู้นี้ด้วยความกลัดกลุ้ม “เจ้าเป็นหลานชายของตระกูลเยี่ย ยิ่งไปกว่านั้นคือบุตรชายของตระกูลหลี่ พ่อมิได้ต้องการให้เจ้าตัดขาดกับตระกูลเยี่ย แต่ว่าเรื่องนี้มันใหญ่หลวง เจ้าก็น่าจะไตร่ตรองให้ดีหน่อย จะได้ไม่ตกเป็นขี้ปากของผู้อื่น ให้คนเขาเอาไปนินทากันได้” 

 

 

“ขอรับ ขอรับ…” หลี่หมิงอวินยกสองมือขึ้นคาราวะอย่างน้อมนอบ 

 

 

“ท่านพ่อ ท่านอย่าได้โทษหมิงอวินเลยนะเจ้าคะ ล้วนเป็นความผิดของลูกเองเจ้าค่ะ” หลินหลันเข้ามาอย่างหุนหันพลันแล่น 

 

 

“เจ้ามาทำอะไร รีบกลับไปซะ” หลี่หมิงอวินกล่าวด้วยน้ำเสียงตะคอกอันเคร่งขรึมขึ้นทันที 

 

 

หลินหลันไม่สนใจที่เขาพูด นางก้าวไปเบื้องหน้าแล้วคุกเข่าลงให้ท่านพ่อหลี่ผู้ไร้ยางอาย ก่อนจะกล่าวอย่างเศร้าโศก “ท่านพ่อ แม้ว่าจะเป็นความผิดของลูก ทว่าลูกก็มีความยากลำบากซึ่งส่งผลให้ต้องจำใจทำเช่นนั้นลงไปเจ้าค่ะ” 

 

 

หลี่จิ้งเสียนกล่าวเสียงเข้ม “มีความยากลำบากอะไรหรือ” 

 

 

“เดิมทีการส่งมอบของขวัญอะไรก็ตามท่านแม่จะเป็นผู้ตระเตรียมให้ แต่ทว่า ของขวัญที่ท่านแม่เตรียมให้นั้น ลูกนำออกไปมอบมิได้จริงๆ เจ้าค่ะ ด้วยเกรงว่าจะเป็นการทำให้ตระกูลหลี่ขายหน้าไปเปล่าๆ แต่จะไม่มอบของขวัญให้ก็มิได้ ลูกเองไม่มีเงินติดตัวเช่นกัน เดิมที่อยากขอให้ท่านแม่เพิ่มเติมให้อีกสักหน่อย ทว่าท่านแม่เอ่ยว่า การส่งมอบของขวัญจะเป็นไปตามที่ในจวนได้กำหนดไว้ ไม่สามารถเพิ่มเติมได้ ลูกจึงทำได้เพียงไปขอร้องให้ท่านลุงช่วยเหลือ โดยที่ลูกคาดไม่ถึงเลยจริงๆ ว่าบนสิ่งของจะมีสัญลักษณ์ตระกูลเยี่ยประทับไว้ด้วย เป็นความสะเพร่าของลูกเองเจ้าค่ะ…” หลินหลันกล่าวอย่างหมดอะไรตายยาก 

 

 

หลี่จิ้งเสียนค่อยๆ เข้าใจความเป็นมาเป็นไปมากขึ้น “แล้วท่านแม่เจ้าเตรียมอะไรให้” 

 

 

หลินหลันยื่นใบรายการของขวัญให้ท่านพ่อหลี่ผู้ไร้ยางอายดูมันด้วยตนเอง 

 

 

แม่มดชราขี้เหนียวเป็นอย่างมาก ทุกครั้งที่ต้องส่งมอบของขวัญล้วนให้แต่ของไร้มูลค่า หรือไม่ก็ให้นิดๆ หน่อยๆ พอเป็นพิธี เห็นได้ชัดว่าอยากทำให้หลี่หมิงอวินขายหน้า แต่แม่มดชราก็ไม่คิดเสียหน่อยว่า หลี่หมิงอวินขายหน้าก็เท่ากับตระกูลหลี่ขายหน้าไปด้วยมิใช่หรือ 

 

 

“มิใช่ลูกพร่ำบ่นหรอกนะเจ้าคะ เมื่อครั้งก่อนที่พี่สะใภ้กลับบ้านท่านแม่นางเพื่อไปมอบของขวัญต้อนรับหลานชายที่เพิ่งถือกำเนิด ท่านแม่ยังมอบของขวัญให้มากกว่าเป็นหลายเท่าตัวเลยนะเจ้าคะ” หลินหลันปาดน้ำตาด้วยความน้อยอกน้อยใจ “ถึงจะอย่างไรหมิงอวินก็เป็นบัณฑิตสำนักฮ่านหลิน และเป็นถึงบุตรชายของตระกูลท่านราชเลขากรมพระคลัง การแสดงออกอย่างใจจืดใจดำเช่นนี้ ผู้อื่นจะพากันคิดอย่างไรหรือเจ้าคะ” 

 

 

สีหน้าของหลี่จิ้งเสียนยิ่งดูแย่ขึ้นเรื่อยๆ เขาแถใบรายการของขวัญไปบนโต๊ะน้ำชาอย่างแรง นังเมียคนนี้ต่อหน้าอย่างลับหลังอย่าง ตระกูลหลี่กำหนดเรื่องส่งมอบของขวัญอย่างใจจืดใจดำขนาดนี้ตั้งแต่เมื่อไหร่กัน เห็นได้ชัดว่านางจงใจทำให้หมิงอวินตกที่นั่งลำบาก 

 

 

หลี่หมิงอวินแสร้งกล่าวเสียงดุดันอย่างไม่พึงพอใจ “บอกให้เจ้ากลับไป ยังจะพูดไร้สาระอยู่ได้” 

 

 

หลินหลันกล่าวทั้งน้ำตา “ข้าก็ไม่อยากทำเช่นนี้ ทว่าจะปล่อยให้เป็นเช่นนี้ต่อไปเรื่อยๆ คงมิได้ ในวันข้างหน้าการพบปะเข้าสังคมก็จะมากยิ่งขึ้น! เจ้าทำเป็นไม่ร้อนรนใจ หรือไม่อยากทำให้ผู้ใดลำบากใจกันแน่” 

 

 

หลี่จิ้งเสียนกล่าวภายใต้สีหน้ากลัดกลุ้ม “เจ้าลุกขึ้นก่อนเถิด” 

 

 

หลินหลันยังคงคุกเข่าอยู่เช่นเดิม “ท่านพ่อเจ้าคะ ยังมีอีกเรื่องที่หมิงอวินไม่กล้าเอื้อนเอ่ยกับท่าน ทว่ายิ่งลูกเก็บมันไว้ในใจก็ยิ่งไม่อาจวางใจได้เจ้าค่ะ…” 

 

 

“หลินหลัน…” หลี่หมิงอวินตะคอกใส่นางด้วยน้ำเสียงรุนแรง “หยุดพูดได้แล้ว” 

 

 

หลินหลันสะดุ้งเฮือก หยาดน้ำตาพลั่งพรูไหลลงมาอย่างไม่ขาดสาย 

 

 

หลี่จิ้งเสียนคิดว่ามันต้องเป็นเรื่องที่ร้ายแรงมากอย่างแน่นอน “ยังมีเรื่องอะไรอีก เจ้าพูดความจริงออกมาเสีย” 

 

 

หลินหลันหันไปมองหลี่หมิงอวินอย่างกล้าๆ กลัวๆ “ลูกมิกล้าเจ้าค่ะ” 

 

 

หลี่จิ้งเสียนจ้องไปที่หลี่หมิงอวินด้วยสีหน้าอันโกรธเกรี้ยว “หมิงอวิน เจ้าพูดออกมาซะ” 

 

 

หลี่หมิงอวินกล่าวภายใต้สีหน้าหวาดเกรง “ท่านพ่อ ท่านอย่าได้ฟังหลินหลันพูดเลอะเถอะเลยขอรับ มีเรื่องอะไรที่ไหนกัน” 

 

 

หลี่จิ้งเสียนรู้สึกสงสัยยิ่งขึ้นเรื่อยๆ เมื่อมองเห็นสีหน้าของทั้งสอง “หลินหลัน เจ้าพูดออกมาเถอะ” 

 

 

หลินหลันค่อยๆ กล่าวออกไปทีละประโยค “ท่านพ่อ เรื่องนี้เมื่อพูดออกไป ลูกคงผิดมหันต์” 

 

 

“รีบพูดออกมา” หลี่จิ้งเสียนตะคอกเสียงดัง 

 

 

หลินหลันขบเม้มริมฝีปากล่างแล้วกล่าวระบายความอัดอั้นในใจออกไป “ท่านพ่อ เมื่อช่วงที่ผ่านมาท่านอัครมหาเสนาบดีใต้เท้าเจิ้งมาพบหมิงอวิน แล้วเอ่ยถามหมิงอวินว่าขาดแคลนเงินทองใช่หรือไม่ หมิงอวินยังรู้สึกประหลาดใจไปพักใหญ่ ต่อมาถึงได้รู้ว่าใต้เท้าเจิ้งพบแจกันลวดลายวิจิตรหนึ่งคู่ที่เขาเพิ่งมอบให้หมิงอวินไปอยู่ในร้านขายของโบราณ หมิงอวินยังกล่าวว่าใต้เท้าเจิ้งคงจำผิดแล้ว ใต้เท้าเจิ้งจึงเอ่ยว่าแจกันคู่นี้มีเพียงคู่เดียวบนโลก เขาไม่มีทางจำมันผิดอย่างแน่นอน ท่านพ่อเจ้าคะ ของขวัญเหล่านี้ล้วนเป็นท่านแม่ที่เก็บมันไว้และใส่กุญแจอย่างดีในห้องเก็บของ แล้วมันไปอยู่ที่ร้ายขายของโบราณได้อย่างไรหรือเจ้าคะ ลูกคิดไม่ตกจริงๆ เจ้าค่ะ” 

 

 

สีหน้าของหลี่จิ้งเสียนซีดเผือดขณะมองไปยังหมิงอวิน “เรื่องนี้เป็นความจริงหรือ” 

 

 

หลี่หมิงอวินแสร้งทำทีเป็นหมดทางเลือก “ลูกได้เอ่ยถามอย่างละเอียดแล้ว มันคือความจริงขอรับ” 

 

 

หลี่จิ้งเสียนกระชับมือเป็นกำปั้นแน่นแล้วเดินวกไปวนมาอยู่ในห้องหลายรอบ ชั่วครู่ต่อมาก ฝีก้าวของเขาก็หยุดชะงักลง “พวกเจ้ากลับไปก่อน เรื่องนี้ไว้ข้าตรวจสอบกระจ่างแล้วค่อยว่ากันอีกที” 

 

 

หลี่หมิงอวินประคองหลินหลันลุกขึ้น ทั้งสองกล่าวลา หลังจากนั้นหลี่จิ้งเสียนก็เดินไปยังโถงหนิงเฮ๋อ 

 

 

เมื่อออกพ้นห้องหนังสือเป็นที่เรียบร้อย หลินหลันกล่าวขึ้นภายใต้สีหน้ายิ้มระรื่น “การแสดงของข้าเป็นอย่างไรบ้าง” 

 

 

หลี่หมิงอวินกระตุกยิ้มมุมปากพลางชายตามองนาง “เหตุใดน้ำตาของเจ้าบทจะไหลก็ไหลออกมาเสียง่ายดายเช่นนี้” 

 

 

หลินหลันส่ายหน้าไปมาแล้วยื่นมือขึ้นไปเบื้องหน้าหลี่หมิงอวิน “เจ้าดมดูสิ” 

 

 

หลี่มิงอวินจับมือนางแล้วสูดดม กล่าวด้วยความฉงนสงสัย “หัวหอม?” 

 

 

หลินหลันหัวเราะเสียงดังลั่น “เจ้าสิ่งนี่ใช้การได้เยี่ยมยอด ข้าทามันไว้บนเปลือกตา ต่อให้ไม่อยากร้องไห้ก็คงเป็นการยากน่าดู” 

 

 

หลี่หมิงอวินชูสองนิ้วแล้วดีดเข้าไปที่หน้าผากของนางอย่างเบาๆ “วันหลังหากเจ้าร้องไห้ ข้าคงต้องจับมือของเจ้ามาดมดูเสียก่อนว่ามีกลิ่นหัวหอมหรือไม่” เขากล่าวติดตลก 

 

 

หลินหลันตอบโต้คืนทันที ทว่าหลี่หมิงอวินกลับเอี้ยวตัวหลบหลีกได้ “พอแล้วๆ ระมัดระวังไว้หน่อย หากให้ท่านพ่อเห็นพวกเราหยอกเหย้ากันอยู่ตรงนี้ การทุ่มทุนทาหัวหอมของเจ้าก็เป็นอันสูญเปล่าแล้ว” 

 

 

หลินหลันบ่นพึมพำ “ใครเขาหยอกเหย้ากับเจ้ารึ” 

 

 

 

 

 

—— 

 

 

[1] คั่ง (炕) แปลว่า เตียงเตา หมายถึงเตียงหรือแท่นที่ก่อด้วยอิฐ ด้านล่างมีปล่องเตาเพื่อจุดให้ความอบอุ่น ด้านบนจะปูด้วยฟูกหรือเบาะรองนั่ง 

 

 

[2] เกามิ่ง (诰命) คือตำแหน่งสตรีผู้ครองตำแหน่งสูงสุดในหมู่คุณหญิงทั้งหลาย เป็นการพระราชทานยศเป็นการพิเศษโดยฮ่องเต้