ตอนที่ 107 การปลอบใจของอนุภรรยา

ปฏิญญาค่าแค้น

หลี่จิ้งเสียนรู้ดีว่านางฮานหลงไหลได้ปลื้มในทรัพย์สมบัติเสียยิ่งกว่าอะไรดี เรื่องจัดการดูแลด้านทรัพย์สินนางทำได้อย่างไม่น้อยหน้าไปกว่าเยี่ยซินเหว่ยซึ่งเกิดมาจากตระกูลพ่อค้า ในส่วนเงินทองที่จำเป็นต้องใช้จ่ายก็จัดสรรได้อย่างเหมาะสม และในส่วนที่นางคิดว่าไม่ควรใช้จ่ายนางก็จัดสรรได้ขนาดที่เรียกว่าเขี้ยวรากดิน เรื่องเหล่านี้ไม่ใช่อะไรที่ต้องกังวลมากนัก ไม่จำเป็นต้องขัดขวางนางที่ทำตัวเป็นนายหญิงผู้ชาญฉลาดคนหนึ่ง นางแอบกดดันหมิงอวินก็ช่าง ขอเพียงต้องไม่มากจนเกินไป เขาพยายามอดทนโดยทำเป็นเอาหูไปตาเอานาไปไร่ แต่ทว่านางฮานกลับยิ่งได้ใจไปกันใหญ่จนไม่เห็นหัวกันเช่นนี้ ถึงขั้นนำของขวัญที่ผู้อื่นมอบให้หมิงอวินแอบไปขาย นี่มันเกินจะอดรนทนได้อีกต่อไปจริงๆ 

 

 

เรื่องที่ทำให้หลี่จิ้งเสียนยิ่งตระหนกตกใจเข้าไปใหญ่อยู่ในตอนท้ายนี้ต่างหาก ด้วยนางฮานเอาแต่ปฏิเสธทุกข้อกล่าวหา หลี่จิ้งเสียนรู้สึกหงุดหงิดและรำคาญใจอย่างยิ่ง จึงสั่งให้คนเปิดคลังเก็บทรัพย์สินเพื่อตรวจสอบ และก็พบว่าแจกันโบราณลวดลายวิจิตรที่วางอยู่ในห้องเก็บของคู่นั้นที่แท้เป็นของปลอม อีกทั้งยังลอกเลียนแบบได้งานหยาบอย่างยิ่ง หลี่จิ้งเสียนโมโหจนเกือบจะนำแจกันทุบลงไปที่หัวของนางฮาน 

 

 

ความตระหนกตกใจของนางฮานไม่น้อยไปกว่าหลี่จิ้งเสียน ก่อนหน้านี้นางมีความมั่นอกมั่นใจเต็มเปี่ยม เพราะนางแน่ใจว่าไม่เคยไปแตะต้องแจกันขนาดใหญ่คู่นี้มาก่อน แต่ตอนนี้มันกลายเป็นของลอกเลียนแบบอย่างน่าประหลาด นางฮานเร่งระดมความคิดว่าตนจำผิดหรือไม่ หรือว่าแม่เถียนดันก่อเรื่องอะไรไว้เข้าแล้ว นางฮานมองไปยังแม่เถียน ทว่าแม่เถียนกลับดูประหลาดใจยิ่งกว่านางเสียอีก 

 

 

“เจ้ายังมีอะไรจะแก้ตัวอีกไหม” หลี่จิ้งเสียนเอ่ยถามขณะที่พยายามสกัดกลั้นอารมณ์โมโหอย่างสุดกำลัง 

 

 

ฮานชิวเยว่กล่าวด้วยความรู้สึกเสียใจที่มิได้รับความยุติธรรม “ท่านพี่ เรื่องนี้น้องไม่รู้จริงๆ นะเจ้าคะ” 

 

 

“เจ้าไม่รู้รึ แม่เถียน เจ้ารู้ดีใช่หรือไม่ว่ากุญแจของห้องนี้อยู่ในมือเจ้า” หลี่จิ้งเสียนกล่าวด้วยน้ำเสียงดุดัน 

 

 

แม่เถียนสะดุ้งเฮือกแล้วคุกเข่าลงกับพื้น “เหล่าเหยีย บ่าวดูแลห้องคลังทรัพย์สินนี้มาเนิ่นนานหลายปี และไม่เคยเกิดเรื่องเสื่อมเสียเลยแม้แต่นิดเดียว บ่าวกล้าสาบานต่อฟ้าดิน แจกันคู่นี้ ตั้งแต่ส่งมอบเข้ามาและเก็บรักษาไว้ในห้องนี้ก็ไม่มีผู้ใดแตะต้องมันเลยเจ้าค่ะ ไม่รู้เหมือนกันว่าเหตุใดถึงได้กลายเป็นของลอกเลียนแบบไปได้” 

 

 

ฮานชิวเยว่คิดอะไรขึ้นมาได้บางอย่างแล้วจึงกล่าวขึ้นด้วยเสียงบางเบา “หรือที่ส่งมอบมาจะเป็นของปลอมเจ้าคะ” 

 

 

หลี่จิ้งเสียนตบโต๊ะด้วยความเกรี้ยวโกรธเกิดเสียงดัง ‘ปึง’ “เจ้าคิดว่าผู้อื่นเขาจะโง่เขลาขนาดส่งมอบของปลอบให้แด่ท่านราชเลขางั้นรึ” 

 

 

ฮานชิวเยว่รู้สึกย่ำแย่ ไม่รู้จะอธิบายอย่างไร เรื่องนี้มันไม่ชอบมาพากลเกินไปเสียแล้ว 

 

 

“นำสมุดบัญชีของห้องคลังทรัพย์สินออกมา” ท่าทีการปฏิเสธหัวชนฝาของนางฮานสร้างความหงุดหงิดให้แก่หลี่จิ้งเสียนเป็นอย่างยิ่ง เขาไม่เชื่อว่าตนเองจะหาหลักฐานความเล่ห์กลของนางฮานไม่ได้ 

 

 

นางฮานเผยสีหน้าหวาดกลัวและเศร้าเสียใจ ขณะที่แม่เถียนได้แต่คุกเข่าร้องไห้น้ำตาไหลพราก 

 

 

การตรวจสอบครั้งนี้ไม่ได้ช่วยให้ความโมโหของหลี่จิ้งเสียนลดลงเลย มีสิ่งของเข้าคลังจำนวนไม่น้อยที่บันทึกลงในสมุดบัญชี และในสมุดบัญชีก็ไม่มีบันทึกการเบิกของออกจากคลังอีกด้วย 

 

 

หลี่จิ้งเสียนสุ่มเลือกตัวอย่างอีกสองสามชิ้นเพื่อตรวจสอบ และพบของเลียนแบบอีกสองสามรายการหนึ่งในนั้นยังรวมถึงสินสอดของหลั้วเหยียนอีกด้วย 

 

 

หลี่จิ้งเสียนเขวี้ยงสมุดบัญชีรายการสิ่งของเข้าที่ใบหน้าของนางฮาน กล่าวด้วยน้ำเสียงเกลียดชังอย่างโกรธเกรี้ยว “เจ้าจะอธิบายอย่างไร” 

 

 

ฮานชิวเยว่คิดว่าเรื่องเหล่านี้ตนเองทำได้อย่างรอบครอบแนบเนียนขนาดที่ว่าคงไม่มีผู้ใดมองออก แต่คาดไม่ถึงเลยว่าแจกันโบราณคู่นั้นจะกลายเป็นตัวจุดชนวนขึ้นมา แน่นอนว่านางจะไม่ยอมรับผิดเด็ดขาด หากนางยอมรับ นางก็คงไม่เหลือที่ให้ยืนอีกแล้ว นางฮานตวัดสายตาไปมองยังแม่เถียนที่กำลังสั่นระริกไปทั้งตัว 

 

 

“แม่เถียน ให้เจ้าดูแลห้องคลังแล้วเหตุใดเจ้าถึงปล่อยให้เกิดเรื่องร้ายแรงเช่นนี้ขึ้นมา อีกทั้งยังไม่รู้ตัวเลยด้วยซ้ำ รีบไปตรวจสอบเดี๋ยวนี้ ผู้ใดเป็นคนเก็บของบ้าง ไปตรวจสอบให้ละเอียดซะ” นี่คือการที่ฮานชิวเยว่แอบบอกเป็นนัยน์ว่าให้แม่เถียนไปหาแพะรับบาปมาสักคน 

 

 

ช่วงก่อนหน้านี้แม่เถียนยังกังวลว่านายหญิงจะจับนางเป็นแพะรับบาป แต่คาดไม่ถึงเลยว่านายหญิงยังให้นางพอมีทางหนีทีไล่ นางรีบพยักหน้ารั่วๆ “เจ้าค่ะ เจ้าค่ะ บ่าวจะไปตรวจสอบให้กระจ่างเดี๋ยวนี้” 

 

 

สีหน้าของหลี่จิ้งเสียนเผยอารมณ์ขุ่นมัวและยังตัดสินใจไม่ได้ คทั้งที่เขารู้แก่ใจดี แต่ว่าเรื่องเน่าเฟะภายในบ้านจะให้แพร่งพรายออกไปไม่ได้ นางฮานเป็นคนไร้ยางอายและเขายังต้องทำตัวเป็นคนมีมนุษยธรรม แต่เรื่องนี้จะไม่จัดการคงไม่ได้ ถึงอย่างไรก็ต้องมีคำอธิบายให้หมิงอวิน จึงต้องให้บทเรียนแก่นางฮานสักหน่อย ขืนปล่อยให้เป็นเช่นนี้ต่อไป บ้านหลังนี้เป็นอันต้องพังพินาจไม่ช้าก็เร็ว 

 

 

“ไสหัวกลับมาเดี๋ยวนี้” หลี่จิ้งเสียนตะคอก 

 

 

แม่เถียนชะงักฝีก้าวในทันทีทันใด ไม่กล้าขยับเขยือนแม้แต่น้อย 

 

 

“ผู้ดูแลจ้าว เก็บของทั้งหมดไว้ให้ดีๆ หากขาดหายไปแม้เพียงชิ้นเดียว ข้าจะให้เจ้าชดใช้” หลี่จิ้งเสียนสั่งการด้วยน้ำเสียงเย็นชา แล้วจึงหันไปตะคอกใส่นางฮาน “เจ้าช่วยทำตัวให้เข้าลู่เข้าทางเสียด้วย” 

 

 

พูดจบก็สะบัดชายแขนเสื้อแล้วเดินออกไป เขาเข้ามายังห้องของอนุภรรยาหลิวด้วยจิตใจอันว้าวุ่น ทันทีที่พ้นประตูเข้ามาก็นั่งลงบนเก้าอี้และกอบกุมขมับด้วยอารมณ์หงุดหงิดที่ยังคุกกรุ่น 

 

 

หลิวอี๋เหนียงคุ้ยชินกับการปรนนิบัติรับใช้ผู้อื่น เรื่องการสังเกตสีหน้าอารมณ์จึงถือเป็นจุดแข็งของนาง นางสั่งให้ข้ารับใช้ออกไปจนหมด แล้วถือถ้วยน้ำชาร้อนๆ มาให้ “ผู้ใดทำให้เหล่าเหยียทุกข์ใจอีกหรือเจ้าคะ” นางกล่าวด้วยสดใสชวนฟัง 

 

 

หลี่จิ้งเสียนถอนหายใจเฮือกใหญ่ “ในบ้านหลังนี้ไม่มีผู้ใดทำให้ข้าวางใจได้เลย” 

 

 

หลิวอี๋เหนียงนั่งลงบนหน้าตักของเหล่าเหยียแล้วเอยกายแนบอิงอย่างนุ่มนวล มีหนึ่งข้างลูบคลำผ่านเสื้อของเขา ราวกับต้องการจะสอดแทรกเข้าไปด้านใน และยังหยอกล้ออยู่เหนือเนื้อผ้าอยู่เช่นนั้นพลางกล่าวขึ้นด้วยน้ำเสียงออดอ้อน “เหล่าเหยียพูดจาเช่นนี้ก็ไม่ถูกนะเจ้าคะ ข้าน้อยทำให้เหล่าเหยียไม่วางใจตั้งแต่เมื่อไหร่กันเจ้าคะ มากสุดก็แค่ทำให้เหล่าเหยียหมดเรี้ยวแรงเท่านั้นเอง” 

 

 

เมื่อหลี่จิ้งเสียนได้ฟังยินคำพูดเช่นนั้นจึงเผยรอยยิ้มขึ้นมา มองดูอนุภรรยาหลิวด้วยสายตาหวานหยดเยิ้ม ความกังวลวุ่นวายภายในใจค่อยๆ ลดระดับลง เขาโอบรอบเอวของอนุภรรยาหลินแล้วบีบเนื้อแน่นอวบอั๋นของนางอย่างเต็มไม้เต็มมือ “เจ้าน่ะจิ้งจอกน้อย ซึ่งทำให้ข้าต้องคอยเป็นห่วงมากที่สุด” 

 

 

อนุภรรยาหลิวยิ้มยั่วยวนพลางทำทีหลีกหนีออกไป “พอๆๆ เจ้าค่ะ วันหน้าวันหลังข้าน้อยไม่กล้าแนบกายเหล่าเหยียอีกแล้ว” 

 

 

หลี่จิ้งเสียนดึงรั้งนางกลับเข้ามาในอ้อมกอดแล้วลูบไล้เรือนร่างอันอวบอิ่มเยาว์วัยพลางกล่าวด้วยเสียงอ่อนระทวย “ตอนนี้ก็มีเพียงเจ้าผู้เดียวที่ยังพอทำให้ข้าได้รู้สึกถึงความสุข” 

 

 

อนุภรรยาหลิวเอ่ยถามอย่างออดอ้อนออเซาะ “มีเรื่องอะไรรบกวนใจเหล่าเหยียอยู่หรือเจ้าคะ” 

 

 

หลี่จิ้งเสียนถอดถอนหายใจอยู่หลายครั้งก่อนจะนำเรื่องสิ่งของที่หายไปในห้องคลังและเรื่องการพบของปลอบเล่าออกมาให้นางฟัง 

 

 

หลังจากอนุภรรยาหลิวได้รับฟังแล้ว นางเงียบไปพักใหญ่ก่อนจะกล่าวขึ้น “ข้าน้อยขอพูดสักหน่อยนะเจ้าคะ เหล่าเหยียมีกิจการครอบครัวที่ใหญ่โตขนาดนี้แล้ว อีกทั้งยังเป็นขุนนางชั้นดี เอ้อร์เส้าเหยียก็ไม่ได้น้อยหน้าไปกว่าท่านขนาดนี้ ทั้งพ่อลูกล้วนสอบผ่านระดับสูงสุด ในสายตาข้ามองว่านี่มันช่างเป็นเรื่องที่พบเห็นได้ยากยิ่ง แล้วเหล่าเหยียยังจะมัวยึดติดอะไรอยู่อีกเจ้าคะ มันก็แค่ชื่อเสียงดีงามที่เคยจารึกไว้ในอดีตเท่านั้นเอง ข้าน้อยก็เคยได้ยินมาบ้างเช่นกันว่านายหญิงบางคนด้วยความละโมบโลภมากจึงใช้เล่ห์กลอุบายเพื่อสลับสับเปลี่ยนสิ่งของล้ำค่า ทว่าข้าน้อยคิดว่าฮูหยินไม่น่าจะทำเช่นนั้น แต่ตอนนี้ดันเกิดเรื่องเช่นนี้ขึ้นในบ้านของเหล่าเหยีย มีเพียงตระกูลที่ภายนอกดูแข็งแกร่งทว่าแท้จริงแล้วมีแต่ความอ่อนแอเท่านั้นแหละเจ้าค่ะถึงจ้องแต่จะหุบทรัพย์สมบัติของลูกสะใภ้และลูกชาย ในจวนของพวกเรายังไม่ตกต่ำถึงขนาดนั้นหรอกนะเจ้าคะ เหตุใดเหล่าเหยียถึงไม่นำสิ่งของเหล่านั้นมอบกลับคืนพวกเขาให้ไปดูแลกันเองล่ะเจ้าคะ ต่างคนต่างดูแลทรัพย์สินของตนเองกันไป หากเกิดของหาย เสียหาย หรือกระทั่งถูกขายออกไปแล้วนั่นมันก็เป็นเรื่องของพวกเขา ใครหน้าไหนก็ไม่อาจเอาไปติฉินนินทาได้อีก และจะว่าไปแล้ว เหล่าเหยียลำบากมาทั้งชีวิตขนาดนี้ ล้วนมิใช่เพื่อลูกหลายหรือเจ้าคะ” 

 

 

ขณะที่หลี่จิ้งเสียนสดับรับฟังคำพูดจากนาง มือไม้ของเขาก็ไม่ได้ซุกซนดั่งตอนแรกอีก ภายในใจค่อยๆ กระจ่างชัดแจ้ง จริงด้วย ต้นตอของปัญหาก็คือทรัพย์สมบัติเหล่านี้ หากนำสิ่งของส่งคืนให้หลั้วเหยียนกับหมิงอวิน นางฮานยังจะสามารถใช้เล่ห์กลอะไรให้ต้องอับอายขายหน้าได้อีกล่ะ กิจการใหญ่โตที่เยี่ยซินเหว่ยทิ้งไว้ให้ มันก็มากพอสำหรับจุนเจือตระกูลหลี่ไปชั่วชีวิตแล้ว แล้วใยต้องสนใจสิ่งของเล็กๆ น้อยๆ พวกนี้ด้วย เมื่อหลี่จิ้งเสียนคิดได้แล้ว นัยน์ตาที่จ้องมองไปยังอนุภรรยาหลิวก็ค่อยๆ สว่างไสวขึ้นมา “ไม่ยักรู้เลยว่าเจ้าจะมีความคิดที่ฉลาดถึงเพียงนี้” 

 

 

อนุภรรยาหลิวกล่าวด้วยรอยยิ้มกรุ้มกริ่ม “ก็เหล่าเหยียสั่งสอนไว้อย่างดีหนิเจ้าคะ” 

 

 

หลี่จิ้งเสียนรู้สึกสุขใจอย่างยิ่ง “เยี่ยมๆ เด็กน้อยของข้า” จากนั้นเขาก็ตบลงไปที่บั้นท้ายเด้งดึ๊งของนาง “รีบลุกขึ้นเร็วเข้า ข้าจะออกไปจัดการธุระให้เรียบร้อยแล้วค่อยกลับมาจัดการเจ้า” 

 

 

หลิวอี๋เหนียงบดเบียดอย่างนุ่มนวลบริเวณหว่างขาทั้งสองของเหล่าเหยีย ขณะเดียวกันก็แสดงทีท่าไม่อยากลุกขึ้นเท่าไหร่นัก 

 

 

หลินหลันเดินไปเดินมาภายในห้อง พ่อหลี่ผู้ไร้ยางอายไปหาแม่มดชราแล้ว ไม่รู้ว่าตอนนี้สถานการณ์ที่โถงหนิงเฮ๋อเป็นอย่างไรบ้าง หลังจากส่งจิ่นซิ่วไปสืบเสาะก็ได้ความว่าบริเวณด้านนอกโถงหนิงเฮ๋อมีคนคอยเฝ้าดูอยู่ ไม่ว่าผู้ใดก็เข้าไปไม่ได้ทั้งสิ้น เหล่าข้ารับใช้ต่างถูกไล่ออกมาทั้งหมด ดังนั้นจึงไม่มีผู้ใดรับรู้ว่าเกิดอะไรขึ้นด้านในบ้าง 

 

 

ทางด้านพ่อหนุ่มหลี่หมิงอวินที่กำลังถือหนังสือพลางจิบชาอย่างดูเหมือนไม่เดือดเนื้อร้อนใจเลยสักนิด หลินหลันเดินเข้าไปแล้วแย่งเอาหนังสือมา 

 

 

“หมิงอวิน เจ้าว่าท่านพ่อของเจ้าจะสั่งสอนแม่มดชราสักชุดแล้วหลังจากนั้นเกิดนึกขึ้นมาได้ว่าเรื่องอัปยศเช่นนี้ไม่ควรทำให้เป็นเรื่องใหญ่โตหรือไม่” หลินหลันกล่าวด้วยความกังวล 

 

 

หลี่หมิงอวินกระตุกยิ้มมุมปาก ราวกับจะเผยรอยยิ้มออกมา “เขาน่าจะรู้ดีว่าเรื่องนี้หากไม่จัดการให้เรียบร้อย คงได้นำมาซึ่งหายนะอันไม่มีที่สิ้นสุด” 

 

 

หลินหลันมุ่ยปาก “งั้นก็พูดยากแล้วล่ะ ท่านพ่อเจ้าก็เป็นผู้ที่หลงใหลในทรัพย์สินเงินทองผู้หนึ่ง มิเช่นนั้นตอนแรกก็คงไม่แต่งงานกับท่านแม่ของเจ้า” 

 

 

ดวงตาของหลี่หมิงอวินฉายให้เห็นถึงความเด็ดเดี่ยวอย่างเด่นชัด “ข้าไม่มีทางให้เขาปล่อยเรื่องนี้ผ่านเลยไปอย่างง่ายดายหรอก” 

 

 

“เจ้ามีวิธีอะไรหรือ” หลินหลันกล่าวด้วยความประหลาดใจ 

 

 

หลี่หมิงอวินจงใจฉีกยิ้มอย่างเจ้าเล่ห์ แล้วคว้าหนังสือกลับคืนมา “เจ้าวางใจเถอะน่า สามีของเจ้ามิใช่อันพาลที่จะคอยรังแกผู้อื่นหรอก” 

 

 

ระหว่างการสนทนา จิ่นซิ่ววิ่งเข้ามารายงาน “เอ้อร์เส้าหน่ายนายเจ้าคะ เหล่าเหยียออกมาจากโถงหนิงเฮ๋อแล้วเจ้าค่ะ” 

 

 

“ออกมาแล้วยังไงต่อ” หลินหลันเอ่ยถาม 

 

 

“หลังเหล่าเหยียออกมาจากโถงหนิงเฮ๋อแล้วก็ตรงไปหาหลิวอี๋เหนียงเจ้าค่ะ” จิ่นซิ่วกล่าว 

 

 

หลินหลันโบกมือภายใต้สีหน้าตื่นตกใจ “เจ้าออกไปก่อนเถอะ” 

 

 

หลังจากนั้นหลินหลันจึงเดินไปนั่งบนคั่งอย่างเหม่อลอยด้วยความรู้สึกท้อแท้ “หมิงอวิน ข้าว่าครั้งนี้ท่านพ่อเจ้าคงทำเรื่องใหญ่โตให้เป็นเรื่องเล็กประจิ๋วอีกแล้วล่ะ” 

 

 

สีหน้าของหลี่หมิงอวินดูจริงจังขึ้นมาเล็กน้อย “รอดูไปอีกหน่อยแล้วกัน” 

 

 

“เวลาแบบนี้ท่านพ่อเจ้ายังกะจิตกะใจไปหาหลิวอี๋เหนียง หมายความว่าแม่มดชราคงทำแผนการของพวกเราพังทลายไปแล้ว” หลินหลันยกมือขึ้นเท้าแก้มของนางและถอนหายใจออกมา “แผนการเดิมพันนี้ของข้าคือการทำให้แม่มดชราตกเป็นผู้กระทำเรื่องสกปรก หากนางดันโบ้ยว่าของที่สิ่งเข้ามาเป็นของปลอม โดยยืนยันหัวเด็ดตีนขาดเช่นนี้ ท่านพ่อเจ้าก็คงทำอะไรไม่ได้เช่นกัน” 

 

 

หลี่หมิงอวินอมยิ้ม “ดูเจ้าขมวดคิ้วเข้าสิ ราวกับหญิงชราคนหนึ่ง ในเมื่อมีปัญหาเกิดขึ้นหนึ่งอย่างแล้ว แต่ยังคิดว่าเป็นแค่เรื่องบังเอิญอยู่ได้ แล้วหากเกิดปัญหาที่สองที่สามตามมาล่ะ ไว้ข้าให้คนมาพูดกับท่านพ่อโดยตรง ดูสิว่าท่านพ่อจะเอาหน้าไปไว้แห่งหนใด” 

 

 

หลินหลันมองบนใส่เขา “ข้าคิดว่าแผนการนี้จะจบรวดเดียวเสียอีก” 

 

 

หลี่หมิงอวินกล่าวปลอบใจ “อดทนกันมาได้ตั้งหลายปีขนาดนี้แล้ว รออีกสักสองสามวันจะเป็นไรไป มิใช่เจ้าเคยเอ่ยว่าการต่อสู้กับฟ้า ต่อสู้กับดิน ต่อสู้กับคนเป็นความสนุกอย่างไม่มีที่สิ้นสุดหรอกหรือ หากล้มแม่มดชราได้อย่างง่ายดาย เช่นนั้นความสนุกก็ลดน้อยลงไปเยอะเลยน่ะสิ” 

 

 

หลินหลันเม้มกลีบปากพลางพยักหน้า “ก็จริงอย่างที่เจ้าพูด ก็ได้ งั้นรออีกหน่อยแล้วกัน ทวงของขวัญกลับคืนมาถือเป็นเป้าหมายแรก หลังจากนั้นค่อยจัดการแม่มดชราอย่างช้าๆ ทำให้นางม้วนเสื่อแล้วไสหัวออกไปซะ ไม่สิ แม้แต่เสื่อก็ไม่ให้นางได้เอาออกไป นางมาอย่างไรก็กลับไปอย่างนั้น ในบ้านหลังนี้ไม่มีสิ่งของของนาง เอ่อ..ไม่สิ หมิงเจ๋อกับหมิงจูเป็นนางที่ให้กำเนิด ดังนั้นให้นางเอากลับไปด้วยจะเป็นการดีที่สุด” 

 

 

หลี่หมิงอวินอดหัวเราะขึ้นมามิได้ “เลิกคิดได้แล้ว รีบนอนพักผ่อนเถอะ” 

 

 

“เอ้อร์เส้าเหยียเจ้าคะ” หยินหลิ่วตะโกนเข้ามาจากด้านนอก 

 

 

“มีเรื่องอันใด” 

 

 

“เหล่าเหยียเรียนเชิญท่านไปห้องหนังสือเจ้าค่ะ” 

 

 

หลินหลันและหลี่หมิงอวินหันหน้ามองกันโดยมิได้นัดหมาย ท่านพ่อหลี่ผู้ไร้ยางอายนั่นเข้าไปยังรังรักแล้วแท้ๆ ยังมีกะจิตกะใจคิดเรื่องอื่นอีกหรือ 

 

 

หลี่หมิงอวินรีบลงจากคั่ง “เดี๋ยวข้ามา” 

 

 

“ข้าไปด้วยสิ” หลินหลันกล่าว 

 

 

หลี่หมิงอวินสวมใส่รองเท้าเป็นที่เรียบร้อยแล้วหันมาเอ่ยกับนาง “ท่านพ่อไม่ได้เรียกเจ้า ดังนั้นเจ้าไม่ต้องไปร่วมวงสนุกด้วยหรอก เดี๋ยวไว้กลับมาข้าจะเล่าให้เจ้าฟังโดยละเอียด”