เก้าสิบ

ลงมือทำ

ตอนที่เสวี่ยเจียเยว่เดินมาถึงเรือนของป้าหยาง นางก็กินข้าวเช้าเสร็จพอดี และกำลังยืนมองสาวใช้กวาดลานเรือน นางเรียกเธอเข้าไปนั่งในเรือนอย่างกระตือรือร้น ทั้งยังบอกให้สาวใช้ที่กำลังกวาดลานอยู่เข้ามารินน้ำชาให้เธอดื่ม

เสวี่ยเจียเยว่รู้ว่างานในเรือนนางนั้นมีอยู่ไม่น้อย แต่สาวใช้ของนางมีอยู่คนเดียว ปกติแล้วก็งานยุ่งจนล้นมือ เธอจึงโบกมือปฏิเสธ “ข้าไม่ดื่มชาเจ้าค่ะ ท่านป้าไปทำงานของตัวเองเถอะเจ้าค่ะ”

จากนั้นเธอก็เริ่มพูดคุยเรื่องสัพเพเหระกับป้าหยาง

ป้าหยางชอบเสวี่ยเจียเยว่ยิ่งนัก ประการแรก… ใบหน้าของเด็กสาวนั้นงดงาม ทั้งยังเป็นคนอารมณ์ดี ชอบยิ้มเมื่อพบเจอใคร ที่สำคัญคือปากหวาน และทุกครั้งที่หัวเราะปากก็คล้ายจะฉีกถึงรูหู

ประการที่สอง… เสวี่ยเจียเยว่ไม่เคยติดค้างค่าเช่า สองวันก่อนถึงกำหนดเก็บค่าเช่าทุกครั้ง เด็กสาวจะนำเงินมาจ่ายให้นาง ป้าหยางจึงคลายความกังวลไปได้ไม่น้อย

ประการที่สาม… นางคิดว่าต่อไปเสวี่ยหยวนจิ้งจะต้องได้รับตำแหน่งขุนนาง เขาดีกับเสวี่ยเจียเยว่มาก เชื่อฟังคล้อยตามทุกอย่าง หากนางมีความสัมพันธ์ที่ดีกับเสวี่ยเจียเยว่ ก็จะเป็นผลดีกับนางเมื่อเสวี่ยหยวนจิ้งประสบความสำเร็จ ด้วยเหตุนี้ป้าหยางจึงพูดเรื่องนี้หลายครั้งว่า “หากไม่ใช่เพราะลูกชายสองคนของข้าแต่งงานแล้ว ข้าก็อยากได้เจ้าเป็นลูกสะใภ้”

เสวี่ยเจียเยว่เพียงยิ้มแย้มทุกครั้งที่ได้ยิน ต่อมาเมื่อป้าหยางพูดถึงเรื่องนี้อีกครั้ง เธอก็บอกว่าต้องการให้นางเป็นแม่บุญธรรม และจะปฏิบัติต่อนางด้วยความกตัญญู เมื่อป้าหยางได้ยินเช่นนั้น ก็ทั้งตกใจและดีใจ ก่อนจะตอบรับด้วยความยินดี

ป้าหยางเลือกฤกษ์งามยามดีเชิญสหายสนิทหลายคนมาที่เรือน จากนั้นเสวี่ยเจียเยว่ก็คำนับนางสามครั้งต่อหน้าทุกคน ทั้งยังมอบรองเท้าหนึ่งคู่และขนมที่ทำอยู่หลายวันให้นางด้วยสองมือ แล้วนางก็มอบปิ่นเงินแบบเรียบๆ ให้เสวี่ยเจียเยว่ ถือว่าเสร็จพิธีอย่างเป็นทางการ นับแต่นั้นมา… เสวี่ยเจียเยว่ก็เรียกนางว่า ‘ท่านแม่’ ตลอด มาเยี่ยมนางที่เรือนเสมอ ส่วนป้าหยางก็ดูแลเสวี่ยเจียเยว่เป็นอย่างดี หากเด็กสาวมีเรื่องอะไรสามารถพูดกับนางได้

ยามนี้เสวี่ยเจียเยว่พูดจาหวานกับป้าหยางสองสามประโยค จากนั้นเธอก็บอกเรื่องที่ตนเพิ่งเช่าร้านตัดชุดไปเมื่อวาน

ป้าหยางได้ยินเช่นนั้นย่อมตกใจมาก นางจึงรีบพูดขึ้นมา “เหตุใดอยู่ดีๆ ถึงได้ลุกขึ้นมาทำเรื่องนี้ได้เล่า เดี๋ยวพี่ชายเจ้าก็จะได้เป็นขุนนางแล้ว เจ้ากับเขามีปัญหาอันใดกันหรือ ทำไมถึงต้องเปลืองแรงตัวเองไปทำกิจการเช่นนั้นด้วย ข้าไม่ได้จะว่าเจ้านะ แม้ว่าตัวเจ้าจะเล็กแต่ใจเป็นผู้ใหญ่ ทว่าต่อให้เป็นคนเฉลียวฉลาดแค่ไหน ถึงอย่างไรเจ้าก็เป็นแค่เด็กอายุสิบสองปี เจ้าต้องเปิดร้านเอง ดูแลลูกจ้างหลายคน เจ้าจะทำเรื่องเหล่านี้ได้หรือ”

จากนั้นนางก็พูดต่อ “พี่เจ้าก็เช่นกัน เรื่องเช่นนี้เหตุใดไม่ห้ามเจ้า กลับปล่อยให้ทำตามใจตัวเองอีก ข้าว่าเขารักเจ้ามากเกินไป ถึงได้เลี้ยงอย่างตามใจเช่นนี้”

เสวี่ยเจียเยว่กล่าวด้วยรอยยิ้ม “ที่ท่านแม่กล่าวมานั้นถูกต้องแล้วเจ้าค่ะ แต่ตอนนี้ข้าจ่ายเงินค่าเช่าร้านนั้นไปแล้ว จะทำอย่างไรได้ล่ะเจ้าคะ จะไปบอกนางว่าข้าไม่เช่าต่อแล้ว ให้นางคืนเงินมาหรือเจ้าคะ คงทำได้แค่กัดฟันทำกิจการเท่านั้น ไม่แน่ข้าอาจจะได้กำไรก็ได้ พอได้กำไรแล้ว ข้าจะต้องกตัญญูต่อท่านแม่แน่นอนเจ้าค่ะ ข้าจะซื้อขนมในร้านกุ้ยเซียงโหลวมาให้ท่านกินทุกวันเลย”

ร้านกุ้ยเซียงโหลวเป็นร้านขายขนมชื่อดังในเมืองผิงหยาง ซึ่งป้าหยางชอบกินมากที่สุด แต่ราคาก็ไม่ใช่ถูกๆ ดังนั้นนางจึงเสียดายเงินเสมอ

ตอนนี้คำพูดของเสวี่ยเจียเยว่ทำให้ป้าหยางยิ้มไม่หุบ ก่อนจะใช้นิ้วดีดหน้าผากเด็กสาวเบาๆ อย่างอดไม่ได้ พร้อมกับเอ่ยออกมา

“ปากเจ้าช่างหวานจนจะเกลี้ยกล่อมนกบนต้นไม้ให้บินลงมาได้แล้ว เอาเถอะ ข้ารู้ เจ้าคงไม่ได้ตั้งใจมาพูดเรื่องนี้เพียงเรื่องเดียวใช่หรือไม่ มีเรื่องอะไรจะให้ข้าช่วย ไหนลองเล่ามาซิ”

“ท่านแม่ช่างฉลาดจริงๆ” เสวี่ยเจียเยว่หัวเราะคิกคัก “เพียงอ้าปากก็รู้ว่าข้าคิดอะไร”

หลังจากพูดหยอกล้อมาได้สักพัก เธอก็เริ่มพูดคุยเรื่องกิจการของตน

เสวี่ยเจียเยว่คิดไตร่ตรองมาแล้วว่า ปกติป้าหยางจะเดินทางไปทั่วสารทิศ เพื่อช่วยครอบครัวร่ำรวยซื้อขายสาวใช้ เหล่าฮูหยินและคุณหนูในเมืองผิงหยางนี้มีผู้ใดไม่รู้จักนาง อีกทั้งนางยังพูดเก่งและตรงไปตรงมา แน่นอนว่ามีสตรีหลายคนสนิทกับนาง เสวี่ยเจียเยว่จึงอยากถามป้าหยางว่า ฮูหยินและคุณหนูตระกูลใดในเมืองผิงหยางชอบการแต่งตัวมากที่สุด พวกนางมีนิสัยอย่างไร สีที่ชอบที่สุดคืออะไร และชอบลวดลายชุดกระโปรงแบบไหนมากที่สุด

เธอคิดดีแล้ว หากเอาแต่เฝ้าโคนต้นไม้รอกระต่าย แล้วจะหาเงินได้อย่างไร เธอต้องเป็นฝ่ายเริ่มทำบางอย่างถึงจะถูก

แม้ป้าหยางจะไม่เข้าใจว่าเหตุใดเสวี่ยเจียเยว่ถึงถามเรื่องนี้ แต่นางก็คิดครู่หนึ่งแล้วเอ่ยชื่อคนที่ตนรู้จักออกมา แม้แต่ความชอบของพวกนาง ก็เล่าออกมาอย่างละเอียด

เสวี่ยเจียเยว่ฟังไปพลางจดจำไปพลาง สุดท้ายเธอก็เอ่ยด้วยรอยยิ้ม “ท่านแม่ ข้าอยากทำชุดให้พวกนาง หากข้าทำเสร็จแล้ว รบกวนท่านนำไปมอบให้พวกนางด้วย และเกลี้ยกล่อมให้พวกนางรับไว้”

ป้าหยางคิดว่าเสวี่ยเจียเยว่ต้องการให้นางขายชุดให้สตรีเหล่านั้น จึงเอ่ยด้วยความลังเล “แม้ว่าฮูหยินกับคุณหนูเหล่านั้นจะเคยซื้อเครื่องประทินโฉมและเครื่องประดับ แต่ถ้าพวกนางอยากได้อะไร ก็จะวานข้าไปซื้อให้ ข้าไม่เคยเป็นฝ่ายนำของไปเสนอขายแก่พวกนางสักครั้ง อีกอย่าง… ข้าไม่ได้จะว่าเจ้านะ พวกนางล้วนเป็นชนชั้นสูง หากอยากได้ชุดแบบไหนมีหรือว่าจะไม่ได้ แต่เจ้าเป็นเด็กแล้วทำชุดเอง พวกนางจะต้องไม่ซื้อแน่”

คงไม่เหมาะหากให้นางพาใบหน้าแก่ๆ เช่นนี้ไปขอร้องให้สตรีเหล่านั้นซื้อชุดกระโปรงของเสวี่ยเจียเยว่ หากชุดของเด็กสาวดีก็แล้วไป แต่ถ้าไม่ดี ต่อไปนางจะไปมาหาสู่กับสตรีเหล่านั้นได้อย่างไร ไม่เท่ากับว่าตัดเส้นทางทำมาหากินของตนหรอกหรือ

ที่สำคัญ… นางยังไม่เชื่อว่าเสวี่ยเจียเยว่จะสามารถทำชุดแบบไหนออกมาได้ดี เพราะเป็นเด็กอายุสิบสองปีเท่านั้น ถึงกับอยากเปิดร้านตัดชุดเชียวหรือ เสวี่ยหยวนจิ้งก็ตามใจน้องสาวมากเกินไป ปล่อยให้เด็กตัวเล็กๆ ทำเรื่องเช่นนี้ได้อย่างไร

เสวี่ยเจียเยว่เข้าใจความหมายของนางดี จึงกล่าวด้วยรอยยิ้ม “ท่านแม่ ท่านวางใจเถอะเจ้าค่ะ ข้าไม่ทำให้ท่านลำบากใจแน่นอน ชุดกระโปรงเหล่านั้นข้าไม่ต้องการเงินสักอีแปะ เพียงส่งให้พวกนางสวมเท่านั้น อีกอย่าง… ข้าไม่ให้ท่านแม่เหนื่อยโดยไม่มีค่าตอบแทนแน่นอน หากท่านสามารถเกลี้ยกล่อมให้พวกนางรับชุดเหล่านั้นได้ ข้าจะมอบเงินให้ท่านสองตำลึงต่อหนึ่งชุด ท่านคิดอย่างไรเจ้าคะ”

ความจริงแล้วเงินสองตำลึงไม่ใช่น้อยๆ ลูกจ้างในโรงเตี๊ยมต้องทำงานทั้งเดือนถึงจะได้เท่านี้ แต่หนึ่งชุดได้สองตำลึง สองชุดก็ได้สี่ตำลึง หากสามชุด สี่ชุดเล่า…

ป้าหยางได้ยินเช่นนั้นก็ทั้งตกใจและดีใจ แต่นางยังไม่เข้าใจจึงเอ่ยถาม “เจ้าอยากส่งชุดให้พวกนางโดยไม่คิดเงินสักอีแปะจริงๆ หรือ แล้วเจ้าจะหาเงินได้อย่างไร”

จากนั้นนางก็พูดต่อ “จะทำตัวห่างเหินไปทำไมเล่า การช่วยเจ้านั้นเป็นเรื่องที่ควรทำ เมื่อถึงตอนนั้นเจ้าจะให้สิ่งใดตอบแทนข้าก็ได้”

ใบหน้าของเสวี่ยเจียเยว่ปรากฏรอยยิ้มบางๆ “เงินเหล่านี้ไม่นับว่ามากอันใด ข้าควรซื้อขนมให้ท่านแม่กิน”

การหาเงินง่ายๆ เช่นนี้ เหตุใดป้าหยางจะไม่ทำ นางจึงตอบตกลงว่าจะช่วยเหลือ

เสวี่ยเจียเยว่เข้าใจดีว่าต้องใช้เงินในการตอบแทน ป้าหยางถึงจะยอมเกลี้ยกล่อมให้สตรีเหล่านั้นรับชุดไป แต่แน่นอนว่าเธอย่อมไม่ได้มอบชุดเหล่านั้นให้เปล่าๆ

เธอเอ่ยต่อด้วยรอยยิ้ม “ข้ายังมีอีกเรื่องที่อยากพูดกับท่าน แม้ว่าข้าจะให้สตรีเหล่านั้นสวมชุดโดยไม่คิดเงินสักอีแปะ แต่วันที่เก้าเดือนเก้ายามที่พวกนางออกมาเดินชมดอกเบญจมาศ พวกนางจะต้องสวมชุดของข้า หากมีคนถามว่าได้ชุดนี้มาจากไหน พวกนางต้องตอบไปว่าได้มาจากร้านซู่ยวี่เซวียน”

เสวี่ยเจียเยว่ได้ยินมาว่า คนในเมืองผิงหยางชอบดอกเบญจมาศมากที่สุด ดังนั้นในเดือนเก้าของทุกปีจึงมีการจัดเทศกาลฉงหยาง[1] คนในเมืองจะออกมาชมดอกเบญจมาศ อีกทั้งในเมืองผิงหยางยังมีทะเลสาบชื่อ ‘ซีฉือ’ ในฤดูใบไม้ร่วงท้องฟ้าปลอดโปร่งเย็นสบายเช่นนี้ มีหลายคนที่ถือโอกาสออกไปเล่นน้ำ และในช่วงนั้นจะเป็นการรวมตัวกันของเหล่าสตรี หากให้ฮูหยินหรือคุณหนูเหล่านั้นสวมชุดในร้านของเธอ ก็จะถือว่าเป็นการประกาศไปในตัว

ส่วนชื่อร้าน ‘ซู่ยวี่เซวียน’ นั้น หลังจากทำเรื่องเช่าร้านเสร็จ เธอให้เสวี่ยหยวนจิ้งคิดชื่อร้านให้ เมื่อเสวี่ยเจียเยว่เห็นอักษรทั้งสามตัวนั้น เธอก็ตัดสินใจเอาชื่อนี้โดยไม่ลังเลแม้แต่น้อย

เสวี่ยเจียเยว่พูดคุยกับป้าหยางอีกครู่หนึ่ง ก่อนจะขอตัวกลับ

เสวี่ยหยวนจิ้งไปเรียนที่สำนักศึกษาแล้ว เธอจึงนั่งวาดแบบชุดให้ฮูหยินและคุณหนูเหล่านั้นอย่างเงียบๆ

แน่นอนว่าไม่อาจวาดด้วยพู่กันได้ เธอจึงใช้ถ่านแทน โดยใช้มีดตัดให้เป็นแท่งเล็กและยาว

เมื่อเธอทำงานอย่างตั้งใจ เวลาก็ผ่านไปเร็วยิ่งนัก จนกระทั่งเสวี่ยหยวนจิ้งเลิกเรียนและกลับมาถึงเรือน เสวี่ยเจียเยว่ก็ยังคงก้มหน้าก้มตาอยู่ที่โต๊ะ ในมือถือถ่านต่างพู่กันวาดแบบชุดลงบนกระดาษอย่างจริงจัง เป็นเพราะต้องคิดตลอดเวลาคิ้วของเธอจึงขมวดแน่น วาดไปได้สักพักก็หยุดแล้วครุ่นคิด บางครั้งก็ยกมือขึ้นมาลูบแก้ม ทำให้แก้มขาวดุจหยกมีรอยนิ้วมือสีดำอยู่หลายจุด

เสวี่ยหยวนจิ้งเห็นดังนั้น พลันราวกับมีรอยยิ้มปรากฏขึ้นในดวงตาของเขาก็ไม่ปาน

เขาวางถุงผ้าลงแล้วเดินเข้าไปเงียบๆ ก่อนจะเห็นภาพแบบชุดกระโปรงบนกระดาษสองแผ่น

ตั้งแต่เขาเข้าเรียนในสำนักศึกษาไท่ชู ก็ได้เรียนวาดภาพกับอาจารย์ ทว่าผู้ใดบ้างที่ไม่ใช้พู่กัน ยามนี้เขาเพิ่งเคยเห็นคนเอาถ่านมาวาดภาพเป็นครั้งแรก อีกทั้งยังมีตัวอักษรเขียนอยู่ด้วย ซึ่งเป็นการอธิบายว่าลวดลายต่างๆ บนชุดนั้นควรใช้สีอะไรบ้าง

เสวี่ยหยวนจิ้งเป็นคนสอนให้เสวี่ยเจียเยว่ใช้พู่กันเขียนตัวอักษร การจับพู่กันครั้งแรกยังไม่ถูกต้อง แม้ว่าช่วงที่ผ่านมาจะเขียนดีขึ้น แต่เขาก็ยังไม่พอใจเท่าไรนัก มักจะคิดว่าการใช้พู่กันของเด็กสาวไม่พลิ้วไหวไหลลื่นดั่งสายน้ำ ทว่าตอนนี้ตัวอักษรเหล่านี้กลับถูกเขียนขึ้นมาด้วยถ่านซึ่งน่าจะยากกว่าพู่กัน…

ชายหนุ่มเม้มปากแล้วยกยิ้มพลางมองอีกฝ่าย

เสวี่ยเจียเยว่อยากวาดภาพแบบชุดให้เสร็จโดยเร็ว เพื่อให้ป้าเฝิงตัดเสร็จก่อนถึงเทศกาลฉงหยาง จากนั้นเหล่าฮูหยินและคุณหนูจะได้สวมออกไปชมงาน เท่ากับทำให้คนในเมืองรู้จักร้านของเธอไปในตัว ด้วยเหตุนี้เธอจึงทำงานโดยไม่ได้พักและยิ่งตั้งใจมากขึ้น ทำให้ไม่รู้ว่าเสวี่ยหยวนจิ้งกลับมาแล้ว

เสวี่ยหยวนจิ้งมองเสวี่ยเจียเยว่อยู่สักพัก เมื่อเห็นว่าอีกฝ่ายไม่รู้ว่าเขากลับมา และยังคงเอาแต่ก้มหน้าก้มตาใช้ถ่านวาดภาพแบบชุดอย่างเอาจริงเอาจัง จึงเดินออกไปจากเรือนเงียบๆ

[1] เทศกาลชมดอกเบญจมาศ จัดขึ้นในวันที่เก้าเดือนเก้า ตามปฏิทินจันทรคติ