บทที่ 91 ความคิดอันเลือนราง

ท่านพี่อย่าเย็นชากับข้านักเลย

เก้าสิบเอ็ด

ความคิดอันเลือนราง

เสวี่ยหยวนจิ้งออกไปจากเรือนครู่หนึ่ง ก่อนจะยกชามบะหมี่ไข่ใส่ผักกวางตุ้งเข้ามา

ชายหนุ่มเดินมายืนข้างเสวี่ยเจียเยว่แล้วเคาะโต๊ะเบาๆ

เสวี่ยเจียเยว่ตกใจจนสะดุ้ง เมื่อเงยหน้าขึ้นมาเห็นว่าเป็นเขา ก็รีบยิ้มให้ทันที “ท่านพี่ กลับมาแล้วหรือเจ้าคะ”

ราวกับมีรอยยิ้มปรากฏขึ้นในดวงตาของเสวี่ยหยวนจิ้ง จากนั้นเขาก็วางชามลงตรงหน้าอีกฝ่าย “กินบะหมี่ไข่ใส่ผักกวางตุ้งก่อน”

เสวี่ยเจียเยว่ขานรับแล้ววางถ่านในมือลง ทว่าก่อนที่เธอจะหยิบตะเกียบ เสวี่ยหยวนจิ้งก็เอ่ยห้าม

“เดี๋ยวก่อน”

เมื่อสิ้นเสียงเขาก็เดินออกไป…

ขณะที่เสวี่ยเจียเยว่กำลังสงสัยว่าเขาหมายถึงอะไรนั้น ก็เห็นชายหนุ่มถือผ้าผืนเล็กกลับมา

เขายกเก้าอี้มานั่งอยู่เบื้องหน้าเธอ จากนั้นก็ไม่ได้กล่าวอันใด เพียงใช้ผ้าผืนนั้นเช็ดแก้มให้ เสวี่ยเจียเยว่คิดจะหลบ แต่ถูกเสวี่ยหยวนจิ้งจับคางเอาไว้แน่น

แม้ว่าเขาจะควบคุมกำลังของตนเอาไว้เพื่อไม่ทำให้เสวี่ยเจียเยว่เจ็บ แต่แรงเพียงเล็กน้อยของเขาก็ทำให้คนร่างเล็กดิ้นไปไหนไม่ได้ จึงทำได้เพียงปล่อยให้เขาเช็ดแก้มให้

เสวี่ยเจียเยว่เดาได้ว่าเหตุใดเขาถึงทำเช่นนี้ เพราะเมื่อครู่เธอเห็นว่ามือทั้งสองข้างของตนเปรอะเปื้อนไปด้วยถ่านสีดำ

“ท่านพี่ หน้าข้าก็สกปรกหรือเจ้าคะ”

เสวี่ยหยวนจิ้งไม่กล่าวอันใด เพียงเช็ดแก้มทั้งสองข้างของเสวี่ยเจียเยว่ต่ออย่างระมัดระวังและอ่อนโยนที่สุด

ก่อนหน้านี้เขานำผ้าไปชุบน้ำอุ่น ในยามนี้เมื่อเช็ดใบหน้าขาวนวลก็ยังสัมผัสถึงไอร้อน ชายหนุ่มรู้สึกว่าใบหน้านี้ยิ่งเปล่งประกายราวไข่มุกที่สว่างไสว นับวันยิ่งงดงามมากขึ้น

จู่ๆ หัวใจของเสวี่ยหยวนจิ้งก็เต้นรัว มือจับคางของเสวี่ยเจียเยว่แน่นขึ้น

ทว่าไม่นานนักเขาก็ได้สติกลับมาจึงรีบปล่อยมือ ก่อนจะหลุบตาลงและไม่มองเสวี่ยเจียเยว่อีก แล้วโยนผ้าให้พร้อมเอ่ยด้วยน้ำเสียงจริงจัง “เช็ดหน้าตัวเองแล้วก็กินบะหมี่เสีย”

เขาลุกขึ้นแล้วเดินออกไปด้วยความรวดเร็ว

เสวี่ยเจียเยว่มองตามแผ่นหลังของอีกฝ่ายด้วยความงุนงง เมื่อครู่ยังดีๆ กับเธอ แต่เหตุใดจู่ๆ ถึงได้ลุกขึ้นแล้วเดินจากไป

กระนั้นเธอก็ไม่ได้เอ่ยถาม เพียงหยิบผ้ามาเช็ดมือ จากนั้นก็กินบะหมี่ที่เสวี่ยหยวนจิ้งนำมาให้

ที่ผ่านมาฝีมือการทำอาหารของเสวี่ยหยวนจิ้งไม่นับว่าดีเท่าไรนัก แต่บะหมี่ชามนี้กลับอร่อยมาก ไม่เพียงมีไข่ลวกอยู่ด้านบนเท่านั้น เมื่อกินจนเกือบหมด เธอก็พบว่ายังมีไข่ลวกอยู่ที่ก้นชามอีกด้วย

เสวี่ยเจียเยว่กินไข่ลวกทั้งหมดในชามนี้โดยไม่คิดอะไร

วันนี้เธอตั้งใจวาดแบบชุดกระโปรงอย่างจริงจัง แม้แต่ข้าวกลางวันก็ลืมกิน ก่อนที่เสวี่ยหยวนจิ้งจะถือชามบะหมี่เข้ามาเธอยังไม่หิวด้วยซ้ำ แต่พอเห็นบะหมี่ชามนี้กลับหิวขึ้นมาทันที

เมื่อกินอิ่มแล้ว เสวี่ยเจียเยว่ก็ยกชามเปล่ากับตะเกียบเดินออกจากห้องของตน เมื่อเดินไปถึงห้องโถง ก็เห็นเสวี่ยหยวนจิ้งนั่งอยู่บนเก้าอี้ข้างโต๊ะ กำลังมองมือขวาของตน ใช้นิ้วหัวแม่มือกับนิ้วชี้ถูกันอย่างช้าๆ สีหน้าดูมีสมาธิและอ่อนโยนไม่น้อย ไม่รู้ว่าเขากำลังคิดสิ่งใดอยู่

เสวี่ยเจียเยว่เดินเข้าไปแล้วเอ่ยเรียก “ท่านพี่”

เสวี่ยหยวนจิ้งตกใจจนเงยหน้าขึ้นมาอย่างกะทันหัน สีหน้าดูตื่นตระหนกและลำบากใจ

เสวี่ยเจียเยว่รู้สึกว่าวันนี้เขาแปลกไปมากจึงเอ่ยถาม “ท่านพี่ ท่านเป็นอันใดไปเจ้าคะ”

เสวี่ยหยวนจิ้งรีบซ่อนมือขวาไว้ด้านหลัง และปรับสีหน้าให้เป็นปกติ แต่ก็ยังไม่กล้ามองเสวี่ยเจียเยว่อยู่ดี เขาตอบเพียงสั้นๆ “ข้าไม่ได้เป็นอันใด”

ยามนี้ความสนใจของเสวี่ยเจียเยว่อยู่ที่แบบชุดบนกระดาษ จึงไม่ได้สนใจอาการแปลกประหลาดของเสวี่ยหยวนจิ้งนัก หลังจากได้ยินคำตอบแล้วก็ยกชามกับตะเกียบออกไปล้างด้านนอก เมื่อกลับเข้ามาก็ถามอีกฝ่าย

“ท่านพี่ ท่านให้ข้ากินบะหมี่ชามนี้ แล้วท่านไม่กินหรือเจ้าคะ”

เสวี่ยหยวนจิ้งข่มความรู้สึกประหลาดของตนกลับไปได้แล้ว เมื่อได้ยินเช่นนั้นก็ตำหนิอีกฝ่าย “ข้ากลับมาเมื่อครู่ ก็เห็นว่าผักในตะกร้ายังเหลือเท่าเดิม ไม่ลดลงไปแม้แต่ต้นเดียว เจ้ายังไม่กินข้าวกลางวันใช่หรือไม่”

เสวี่ยเจียเยว่อมยิ้ม แต่ไม่ได้กล่าวอันใดต่อ

เสวี่ยหยวนจิ้งเห็นเช่นนั้นก็โกรธทันที “ไม่ว่าอย่างไร สุขภาพของเจ้าก็สำคัญ เหตุใดเจ้าไม่กินข้าว หากเจ้าเป็นเช่นนี้ ต่อไปข้าจะไม่เห็นด้วยกับกิจการของเจ้าอีก”

เสวี่ยเจียเยว่กังวลใจทันที รีบทำวิธีเดิม โดยเดินไปกอดแขนเขาและเอ่ยด้วยน้ำเสียงออดอ้อน “ข้ารู้เจ้าค่ะ ต่อไปข้าจะไม่ทำเช่นนี้แล้ว”

หากเป็นเมื่อก่อน ทุกครั้งที่เสวี่ยเจียเยว่เรียกเขาว่า ‘ท่านพี่’ ทำตัวอ่อนหวานและเอ่ยด้วยน้ำเสียงออดอ้อน แม้ว่าจะเป็นเรื่องใหญ่เพียงใด เขาก็ใจอ่อนเสมอ ทว่าเมื่ออีกฝ่ายกอดแขนเขาในยามนี้ กลับรู้สึกราวถูกฟ้าผ่าก็ไม่ปาน เขาจึงรีบชักแขนกลับมา แล้วลุกขึ้นจากเก้าอี้เดินถอยหลังไปสองก้าว

เสวี่ยเจียเยว่ไม่รู้ว่าขณะนี้ใบหูทั้งสองข้างของเสวี่ยหยวนจิ้งแดงเรื่อ หัวใจก็เต้นรัวราวกับจะทะลุออกมาจากอก เธอคิดว่าเขาโกรธจริงๆ จึงขยับเข้าไปใกล้มากขึ้นและกอดแขนเขาอีกครั้ง แสร้งทำสีหน้าน้อยใจและน้ำเสียงก็ยิ่งออดอ้อนมากกว่าเมื่อครู่

“ท่านพี่ ข้ารู้ว่าข้าผิดจริงๆ ท่านอย่าโกรธข้าได้หรือไม่เจ้าคะ”

เสวี่ยหยวนจิ้งขบริมฝีปากแน่น เมื่อมองหน้าอีกฝ่ายเขาก็สูญเสียความเป็นตัวเองไปเล็กน้อย เหตุใดเขาถึงได้ใจเต้นแรงและหน้าร้อนผ่าวยามที่เสวี่ยเจียเยว่เข้ามาสัมผัสเช่นนี้ ทั้งที่เมื่อก่อนอีกฝ่ายก็เคยกอดแขนเขาพร้อมกับทำตัวออดอ้อนอยู่หลายครั้ง

ผ่านไปครู่หนึ่งเขาก็หันไปจับจ้องต้นไม้ตรงมุมหนึ่งของลานเรือน ก่อนจะเอ่ยด้วยเสียงแหบพร่า “ข้าไม่ได้โกรธเจ้า”

ทั้งยังไม่ได้หลบเลี่ยงอีก ปล่อยให้เสวี่ยเจียเยว่กอดแขนเขาเช่นนั้น แม้ว่าหัวใจจะเต้นเร็วขึ้นทุกขณะก็ตาม

เสวี่ยเจียเยว่ไม่เชื่อ “จริงหรือเจ้าคะ”

เสวี่ยหยวนจิ้งพยักหน้า “อือ จริง”

เพราะกลัวว่าเสวี่ยเจียเยว่จะไม่เชื่อ เขาจึงหันกลับไปหยิกแก้มนุ่มนิ่มเบาๆ “เอาละ เจ้ารีบไปทำธุระของตัวเองเถอะ เจ้าบอกว่าอีกไม่กี่วันร้านก็จะเปิดแล้วไม่ใช่หรือ พอถึงตอนนั้นเจ้าต้องยุ่งมากแน่นอน”

พอเขาเอ่ยเตือนเช่นนั้น เสวี่ยเจียเยว่ถึงได้รู้สึกตัว ก่อนจะวิ่งกลับไปวาดแบบชุดในห้องของตนต่อ

อีกไม่กี่วันร้านก็จะเปิดแล้ว เธอต้องรีบวาดแบบชุดให้เสร็จ

หลังจากเสวี่ยเจียเยว่วิ่งกลับห้องไปแล้ว เสวี่ยหยวนจิ้งยังยืนนิ่งอยู่กับที่ และก้มมองนิ้วที่หยิกแก้มนุ่มนิ่มทั้งสองข้างเมื่อครู่

เมื่อก่อนเขาเคยหยิกแก้มเสวี่ยเจียเยว่บ่อยๆ แก้มของแม่นางน้อยขาวเนียนนุ่ม ตอนที่หยิกนั้นเขารู้สึกดียิ่งนัก และในใจของเขาก็ไม่มีความคิดเป็นอื่น ทว่าเมื่อครู่นี้…

เสวี่ยหยวนจิ้งลูบนิ้วของตนเบาๆ ราวกับว่าสัมผัสเนียนนุ่มของแก้มเสวี่ยเจียเยว่ยังคงติดอยู่บนนิ้ว ก่อนจะยกขึ้นสูดดม ดูเหมือนว่าจะได้กลิ่นหอมก็ไม่ปาน

ในใจของเขาเกิดความลุ่มหลง ชั่วขณะนั้นก็อยาก…

ทันใดนั้นเสวี่ยหยวนจิ้งก็รู้สึกตกใจ จึงรีบลดมือลงก่อนที่มันจะสัมผัสริมฝีปากของเขา แล้วตำหนิตัวเองในใจทันที เหตุใดเขาถึงได้คิดสกปรกเช่นนี้ได้ ทำไมจู่ๆ เขาจึงกลายเป็นเช่นนี้

หลังจากตะลึงงันไปพักใหญ่ เขาก็ออกไปทำบะหมี่ให้ตัวเองหนึ่งชาม แต่ไม่ได้เพิ่มผักและไข่ลงไป เมื่อกินเสร็จก็นำชามกับตะเกียบไปล้าง ก่อนจะเข้าไปในห้องของตนแล้วหยิบตำราหนึ่งเล่มขึ้นมาอ่าน แต่สมาธิไม่ได้อยู่กับตำรา เขาจำตัวอักษรไม่ได้แม้แต่ตัวเดียว มีหลายครั้งที่คิดจะลุกขึ้นไปดูว่าเสวี่ยเจียเยว่กำลังทำสิ่งใดอยู่ แต่ในที่สุดเขาก็พยายามควบคุมตัวเองเอาไว้ได้

ขณะที่เสวี่ยหยวนจิ้งกำลังกระสับกระส่าย เสวี่ยเจียเยว่กลับจดจ่ออยู่กับแบบชุดของตน เธออยากจะวาดแบบชุดทั้งหมดให้เสร็จโดยเร็วที่สุด แต่ไหนเลยจะง่ายดายเช่นนั้น แม้ว่าเธอจะมีแบบชุดมากมายในหัว และเคยวาดแบบชุดฮั่นฝูมานับไม่ถ้วนในภพก่อน แต่เรื่องที่เผชิญอยู่ตอนนี้กลับแตกต่าง เธออยากให้ร้านของตนเป็นที่พูดถึงในเวลาไม่นาน ดังนั้นจึงต้องใส่ใจกับมันมากกว่าที่ผ่านมา แม้แต่ลวดลายบนชายกระโปรงก็ยังต้องคิดแล้วคิดอีก

ในที่สุดก็วาดเสร็จก่อนเปิดร้าน…

วันเปิดร้านเสวี่ยเจียเยว่ตื่นแต่เช้าและกอดม้วนกระดาษที่มีภาพแบบชุดทั้งหมดไว้ในอ้อมแขนเหมือนเป็นของล้ำค่า ก่อนจะออกไปกินข้าวเช้าแล้วตั้งใจจะไปเรียกป้าเฝิง แต่คิดไม่ถึงว่าเสวี่ยหยวนจิ้งจะเรียกเธอเอาไว้

“รอข้าด้วย ข้าไปด้วย”

เสวี่ยเจียเยว่หันกลับไปด้วยสีหน้าแปลกใจ “วันนี้ไม่ใช่วันหยุดนี่เจ้าคะ ท่านพี่ ท่านไม่ไปเรียนหรือเจ้าคะ”

เสวี่ยหยวนจิ้งยิ้มบางพลางเอ่ย “วันนี้เป็นวันเปิดร้านของเจ้า ข้าจะไม่อยู่ได้อย่างไร เจ้าวางใจเถอะ เมื่อวานนี้ข้าขอลาหยุดกับท่านอาจารย์แล้ว ส่วนการบ้านที่ขาดไปข้าจะทำชดเชยเอง”

เสวี่ยเจียเยว่ยังอยากเกลี้ยกล่อม แต่เขาก็เอ่ยขัด

“ใกล้จะถึงฤกษ์เปิดร้านแล้ว รีบไปเรียกป้าเฝิงเถอะ พวกเราจะได้ไปพร้อมกัน”

เสวี่ยเจียเยว่รู้ดีว่าหากเขาตัดสินใจทำสิ่งใดแล้ว เธอไม่สามารถเกลี้ยกล่อมให้เปลี่ยนใจได้ เมื่อคิดดังนั้นเธอจึงพยักหน้า จากนั้นพวกเขาก็ออกไปเรียกป้าเฝิง เสี่ยวฉานกับหูจื่ออยากไปด้วย ทุกคนจึงเดินไปพร้อมกัน ทำให้บรรยากาศคึกคักยิ่งนัก

พวกเขาพบป้าหยางที่หน้าเรือน แต่เป็นเพราะนางเคยพูดอยู่หลายครั้งว่าตนอยากมีลูกชายเพิ่มอีกสักคน เพื่อจะได้สู่ขอเสวี่ยเจียเยว่ไปเป็นภรรยาของลูกชายนาง เสวี่ยหยวนจิ้งจึงไม่ชอบนางอยู่บ้าง ตอนที่นางพูดคุยกับเขา สีหน้าของชายหนุ่มก็มักจะเฉยชาเสมอ แต่ป้าหยางรู้ว่าเสวี่ยหยวนจิ้งเป็นคนมีความรู้ คิดมาตลอดว่าในภายภาคหน้าเขาจะได้เป็นขุนนาง ทั้งยังได้รับตำแหน่งสูง จึงอยากจะดึงเขามาเป็นพวกตลอดเวลา นางไม่ใส่ใจท่าทางเย็นชาของเขานัก เพราะเสวี่ยหยวนจิ้งมักจะมีท่าทีเช่นนี้กับผู้อื่นเสมอ และดูเหมือนจะเป็นคนไม่ค่อยพูด

เมื่อทุกคนเดินไปถึงหน้าร้าน ก็พบว่าลูกจ้างคนอื่นๆ มาถึงแล้ว พวกนางกำลังยืนรออยู่หน้าประตู

หลังจากเสวี่ยเจียเยว่หยิบกุญแจออกมาเปิดประตูร้าน ทุกคนก็พากันเดินเข้าไป และเริ่มยุ่งวุ่นวายกับการเตรียมเปิดร้าน

ไม่นานก็ได้ยินเสียงกลองดังอยู่ด้านนอก ทุกคนจึงรีบวิ่งออกไปดู