บทที่ 109 หาเรื่ืองทรมานตัวเอง

ตื๊อรักแพทย์หญิง ฉบับท่านอ๋อง

เซียวเยี่ยนมองนาง จากนั้นหันกายกลับไปเดินต่อ

หลินชิงเวยมองหาแผ่นหินเรียบๆ ก้อนหนึ่งนั่งลงตรงนั้น ฮัมเพลงในคอแล้วนั่งแกว่งเท้า ไม่มีท่าทีร้อนใจสักนิด

ผ่านไปครู่หนึ่ง บนทางเดินที่มืดสลัวนั้นมีเงาร่างสายหนึ่งเดินกลับมา เมื่อเดินเข้ามาใกล้ร่างของเซียวเยี่ยนดูคล้ายก้อนหินก้อนใหญ่ที่ทาบทาลงเบื้องหน้าหลินชิงเวย เขาพูดด้วนสีหน้าดำราวกับก้นหม้อ “เจ้าต้องการอย่างไรกันแน่?”

หลินชิงเวยเอียงคอ “ข้าอยากดูดอกไม้ไฟนี่นา”

เซียวเยี่ยนหันกลับไปมองดอกไม้ไฟบนท้องฟ้า “เจ้านั่งอยู่ที่นี่ดูได้ กลับไปถึงตำหนักฉางเหยี่ยนก็ดูได้เช่นกัน”

“ทำอย่างนั้นได้อย่างไรกัน ต้องหาสถานสูงสักหน่อย จึงจะสามารถมองเห็นทัศนียภาพได้กว้างไกลสักหน่อย”

“หลินชิงเวย เจ้าได้รับบาดเจ็บ ไม่กลับไปพักผ่อนให้ดี หาเรื่องทรมานตัวเองเพื่ออะไร?”

“เสด็จอาไม่พาข้าไปก็ช่างเถิด เสด็จอาก็กลับไปเองสิ ข้าจะนั่งอยู่ที่นี่ไม่เดินแล้ว รอให้ข้าดูเหนื่อยแล้ว เดินกลับไปก็คงหลงทาง หากเกิดเรื่องอันใดขึ้นก็อาจจะถวายการรักษาขาของฝ่าบาทไม่ได้ระยะเวลาหนึ่ง”

“…” เซียวเยี่ยนพยายามอย่างยิ่งที่จะควบคุมอารมณ์ของตนในที่สุด จึงกล่าวด้วยน้ำเสียงข่มกลั้นเต็มที่ “เจ้าลุกขึ้น เปิ่นหวางจะพาเจ้าไปหาสถานที่สูงสักหน่อย”

หลินชิงเวยลุกขึ้นยืนแล้วปัดๆ กระโปรง ไหนเลยจะรู้ว่านางยังยืนได้ไม่มั่นคงบุรุษเบื้องหน้าก็โน้มกายลงมา เงาร่างสีดำสายหนึ่งกดลงมานางพลันรู้สึกว่าร่างของนางเบาหวิว

เซียวเยี่ยนถึงกับโอบเอวอุ้มนางขึ้นมาอย่างไม่เหนื่อยแรง นางจึงซุกกายอยู่ในอ้อมกอดของเขาเหมือนตุ๊กตาของเล่นไร้น้ำหนักน่ารักตัวหนึ่ง

หลินชิงเวยเงยหน้าเห็นใบหน้าอันแสนจะเย็นชาของเซียวเยี่ยนในยามราตรี ดอกไม้ไฟทำให้หน้าตาท่าทางของเขามีสภาพประเดี๋ยวสว่างประเดี๋ยวมืด เส้นสายบนใบหน้านั้นคมเข้ม ดวงตาหงส์เรียวยาวคู่นั้นเย็นชาและดูหม่นลง เส้นผมด้านหลังศรีษะของเขาที่ถูกรวบตรึงไว้ด้วยหยกครอบผมนั้นแผ่สยายคลุมลงมาบนไหล่สัมผัสถูกมือของหลินชิงเวยให้ความรู้สึกนิ่มลื่นและจั๊กจี้เล็กน้อย

ต่อมาปลายเท้าของเซียวเยี่ยนเพียงแตะพื้น สองเท้าเหยียบย่ำบนอากาศ ใช้กำลังลมปราณพาหลินชิงเวยเหินกายขึ้นไป ตลอดทางที่เหินขึ้นไปใต้ฝ่าเท้ามีต้นไม้สูงใหญ่ไม่น้อย เซียวเยี่ยนแตะบนยอดกิ่งไม้ที่สูงที่สุดเพื่อยืมพลังส่งผลให้กิ่งไม้สั่นไหวเบาๆ ได้ยินเสียงใบไม้เขย่าดังซู่ๆ ให้เขาเหินกายไปได้ไกลมากทีเดียว

ต้นไม้ในสวนที่อยู่ในเงามืดด้านล่าง ถนนสายเล็กๆ เงียบสงัดไร้ผู้คน หากมีผู้คนที่อยู่นั่นไม่รู้ว่าเมื่อใดจะรู้ได้ว่าเซียวเยี่ยนได้พานางเหินกายผ่านมุมหนึ่งของสระน้ำ เขาหยุดอยู่บนชายคาของศาลา สายลมพัดเสื้อผ้าอาภรณ์และเส้นผมของเขาพลิ้วสะบัดราวกับเป็นเทพเซียนที่ยืนอยู่ใต้แสงจันทร์

มองไกลออกไปสักหน่อยก็เป็นกำแพงเมืองหลวงทั้งด้านนอกและด้านใน โคมไฟของบ้านเมืองนับหมื่นหลัง ราวกับเป็นดวงดาวดารดาษที่จมลงในน้ำ หรูหราอย่างเหลือแสน ยามนี้บนศีรษะมีเสียงดัง เพิง ขึ้นครั้งหนึ่ง หลินชิงเวยเงยหน้าขึ้นดูในระยะใกล้ถึงเพียงนี้ราวกับนางและเซียวเยี่ยนยืนอยู่ใต้ดอกไม้ไฟนั้น

ที่จริงแล้วพวกเขาอยู่ห่างจากที่นั่นมาก

“นี่ดูเหมือนเป็นทิศทางกลับตำหนักฉางเหยี่ยน” หลินชิงเวยกล่าว

“ดังนั้น เจ้ารีบดูจะเป็นการดีที่สุด อีกประเดี๋ยวไปถึงก็มองไม่เห็นแล้ว”

หลินชิงเวยจับอาภรณ์ของเซียวเยี่ยน “ที่แท้ท่านไม่ได้พาข้าไปยังสถานที่สูงหน่อยหรือนี่?”

เซียวเยี่ยนตวัดสายตามองหลินชิงเวย น้ำเสียงนั้นทุ้มเบาไพเราะเสนาะหูประหนึ่งสุราชั้นดีในเดือนสามอย่างไรอย่างนั้น หางเสียงนั้นสูงขึ้นเล็กน้อยให้ความรู้สึกเย้ายวนชวนลุ่มหลง “ยังคิดว่าสูงไม่พออีกหรือ? เจ้าต้องการสูงเพียงใดกัน?”

แม้จะพูดเช่นนี้แต่กลับไม่ได้ให้โอกาสหลินชิงเวยได้ออกความเห็น ไม่ว่าจะสูงเพียงใดหรือต่ำเพียงใด อย่างไรเวลานี้เซียวเยี่ยนและนางล้วนอยู่กลางอากาศ หลินชิงเวยย่อมไม่อาจดิ้นรนขัดขืนต่อต้านอันใด นอกจากว่านางคิดจะร่วงหล่นตกลงไปเป็นก้อนเนื้อบดเละๆ

แต่เยี่ยงนี้ก็ไม่เลว นางได้ดูดอกไม้ไฟระหว่างทางกลับไป ที่สำคัญคือนางไม่ต้องเดินด้วยตนเองทั้งมีความปลอดภัยอย่างที่สุด ประหยัดเรี่ยวแรงไปได้ไม่น้อยเลยทีเดียว

เพียงแต่พระพายยามราตรีพัดชายกระโปรงของนางให้พลิ้วไปมา ผนวกกับเสื้อคลุมของเซียวเยี่ยนที่สะบัดไปมานางจึงรู้สึกหนาวเล็กน้อย

เพียงไม่นานประตูตำหนักฉางเหยี่ยนก็ปรากฏขึ้นในคลองจักษุ โคมไฟหลายดวงยังคงสว่างไสว หน้าประตูตำหนักมีนางกำนัลหลายคนเริ่มหดกายเข้ามุมกำแพงสัปหงก

เซียวเยี่ยนไม่ได้หยุดอยู่หน้าประตูตำหนัก ขาทั้งคู่ของเขาเหยียบลงบนมุมชายคาเรือนสูงที่สุดเลยประตูตำหนักฉางเหยี่ยนตรงเข้าไปด้านใน

ภายในตำหนักเงียบสงบ นางกำนัลที่พบเห็นได้มีไม่กี่คน เพียงชั่วครู่เซียวเยี่ยนก็อุ้มหลินชิงเวยไปหยุดอยู่บนหลังคาเรือนหลังเล็กของนาง

ลมหายใจของหลินชิงเวยถูกสายลมที่พัดผ่านใบหน้าทำให้สับสนเล็กน้อย ทว่าลมหายใจของเซียวเยี่ยนกลับหนักแน่นมั่นคง ราวกับการที่เขาต้องอุ้มคนๆ หนึ่งเหินกายมานานเช่นนี้กลับไม่ได้ทำให้เขารู้สึกเหน็ดเหนื่อยแม้แต่น้อย เสียงหัวใจของเขาเต้นเป็นจังหวะหนักแน่น ก้องสะท้อนดังตุบๆ

ต่อมาเซียวเยี่ยนเหินกายลงสู่พื้น คนทั้งสองจึงกระโดดลงสู่พื้นได้อย่างมั่นคง กลิ่นคาวจางๆ ของโลหิตที่มากับสายลมนั้นแตะเข้าจมูกของหลินชิงเวย

เมื่อเซียวเยี่ยนปล่อยนางลงจากอ้อมกอด มือของนางลูบผ่านหัวไหล่ของเขาคล้ายเจตนาและไม่เจตนา ละเลื่อนไปตามแขนเสื้อของเขา

ยามนี้ซินหรูคงกลับห้องเข้านอนแล้ว

หลินชิงเวยจับเสื้อคลุมบนร่างของตนแล้วหันไปยิ้มหวานกับเซียวเยี่ยน “ในเมื่อมาแล้ว หากเสด็จอาไม่รังเกียจก็เข้าไปดื่มน้ำชาเถิด”

เซียวเยี่ยนตอบเรียบๆ ว่า “ไม่จำเป็นแล้ว เจ้าพักผ่อนให้ดี” พูดแล้วก็หันกายเดินไป

หลินชิงเวยยืนอยู่ข้างหลังเขา แสงจันทร์สาดส่องลงมาบนร่างของนางราวกับร่างของนางมีแสงมลังเมลืองครอบคลุมไว้อีกชั้นหนึ่ง นางพูดไม่ช้าไม่เร็วว่า “ต่อให้เสด็จอาไม่อยากดื่มน้ำชา ก็ควรจะเปลี่ยนยากระมัง หาไม่แล้วพรุ่งนี้บาดแผลเกิดอักเสบขึ้นมาจะทำงานได้อย่างไร ยิ่งไม่ต้องกล่าวถึงว่าจะไปไต่สวนผู้บุกรุกคนนั้น”

เซียวเยี่ยนหยุดชะงัก หลินชิงเวยหันกายเดินเข้าไปแล้ว นางเยื้องย่างนุ่มนวล มือขาวๆ นั้นผลักประตูห้องของตนให้เปิดออกเบาๆ แสงสว่างที่ส่องออกมาจากช่องประตูที่นางเหลือไว้ให้เซียวเยี่ยน

เซียวเยี่ยนยังคงเดินตามเข้าไปในห้องของหลินชิงเวย ภายในห้องอบอวลไปด้วยกลิ่นอายเครื่องหอมของสตรี ทำให้คนรู้สึกอ่อนโยน สุขุม ในกลิ่นหอมนั้นยังปนเปนไปด้วยกลิ่นของสมุนไพรจางๆ

เมื่อเขาก้าวเข้าประตูมาก็เห็นหลินชิงเวยปลดเสื้อคลุมของเขาพาดไว้บนฉากกั้นลมส่งผลให้แขนข้างหนึ่งของนางเปลือยเปล่า นางเปิดล่วมยาเตรียมยาให้เซียวเยี่ยน

ยาของสำนักหมอหลวงจะดีกว่ายาที่นางปรุงเองได้อย่างไร ต่อให้ไม่เปลี่ยนยาให้เซียวเยี่ยนในคืนนี้ รุ่งเช้านางก็ต้องไปเปลี่ยนยาให้เขาอยู่ดี เพียงแต่นางประมาทเกินไปเสียแล้ว วันนี้เซียวเยี่ยนอุ้มนางกลับมาบาดผลจึงปริออกอีกครั้ง ดังนั้นเมื่อสักครู่จึงมีกลิ่นคาวเลือดจางๆ กระจายออกมา

หลินชิงเวยมองหัวไหล่ของเซียวเยี่ยนด้วยดวงตาเรียบเฉย ที่นั่นมีรอยเลือดที่ไหลซึมออกมาจนเปียกชุ่ม นางให้เซียวเยี่ยนลงที่โต๊ะด้านข้าง ทางหนึ่งยื่นมือไปปลดอาภรณ์ของเขา อีกทางหนึ่งกล่าวว่า “ข้าลืมไปเสียสนิทว่าท่านมีบาดแผล”

เซียวเยี่ยนกล่าว “ข้าทำเอง”

เขาปลดอาภรณ์ออกปรากฏให้เห็นหัวไหล่ ผ้าพันแผลสีขาวถูกเลือดซึมจนเปียกชุ่ม หลินชิงเวยคลายปมผ้าพันแผลออกจึงเห็นบริเวณบาดแผลมีเลือดใหม่ที่ไหลออกมาจากบริเวณปากแผล

หลินชิงเวยห้ามเลือดให้เขาทันทีแล้วใส่ยากลับไปใหม่ นางทำงานอย่างคล่องแคล่วเชี่ยวชาญอีกทั้งทำได้อย่างเหมาะสม ทำแผลที่หัวไหล่แล้วนางยังคลายปลมผ้าพันแผลที่มือของเซียวเยี่ยนเพื่อใส่ยาใหม่ บาดแผลล้วนมีร่องรอยปริแตกใหม่ทั้งสิ้น

เมื่อทุกอย่างเสร็จสิ้นหลินชิงเวยทิ้งผ้าพันแผลเปื้อนเลือดที่เปลี่ยนออกไว้ในอ่างใบหนึ่งแล้วนำออกไปด้านนอก เมื่อกลับเข้ามาอีกครั้งกลับพบว่าเซียวเยี่ยนอยู่ไม่สุขเสียแล้ว เขากำลังยืนอยู่ริมเตียงของนาง มือข้างดีของเขากำลังหยิบหมอนลวดลายดอกไม้ที่นางนอนหนุนประจำขึ้นมา

ข้างใต้หมอนมีเพียงความว่างเปล่า ไม่มีอะไรทั้งสิ้น

เซียวเยี่ยนผิดหวังอย่างห้ามไม่อยู่

หลินชิงเวยกุมมือของตนถามขึ้นอย่างเห็นขันว่า “เสด็จอาหาสิ่งใดหรือ?”