บทที่ 115 เมื่อหมอพบหมอ บางอย่างก็พูดไม่ได้

เปิดระบบสุดโกงอัปสกิลหมอ

เพิ่งจะเดินเข้าไปในแผนกฉุกเฉินก็เห็นฉินเยว่เดินมาด้วยท่าทีลับๆ ล่อๆ! เธอเดินตามเฉินชางตรงเข้าไปยังห้องเปลี่ยนชุดชาย

เฉินชางรู้สึกอับจนคำพูดขึ้นมาทันที “นี่เป็นห้องเปลี่ยนเสื้อผ้าผู้ชายนะครับเจ๊ อย่าคิดว่าอกแบนแล้วจะปลอมตัวเป็นผู้ชายได้นะ!”

ฉินเยว่กลอกตาใส่เฉินชางครั้งหนึ่ง “ชิ…ก็ไม่ได้พาคุณเข้าไปที่ห้องเปลี่ยนเสื้อผ้าหญิงสักหน่อย ดูแล้วคุณคงทำได้สินะ”

เฉินชางถูกคำพูดนี้ของฉินเยว่ทำเอาพูดอะไรไม่ออก

“เฉินชาง ถ้าวันหนึ่งกลายเป็นคุณร่ำรวยแล้วก็อย่าลืมกันนะคะ!” ฉินเยว่ปิดประตูพลางพูดด้วยดวงตากลมโตโดยไม่เขินอายเลยสักนิด

เฉินชางหัวเราะออกมาโดยพลัน “อะไรคือคุณร่ำรวย? ผมแซ่เฉิน ผมคือคุณเฉินผู้ร่ำรวย! บรรพบุรุษผมเป็นเจ้าของที่ดิน มีที่ดินอยู่ในหมู่บ้านชนบท เป็นไงล่ะ? คุณเล็งทรัพย์สมบัติของครอบครัวผมอยู่หรือครับ? คิดจะเป็นสะใภ้เจ้าของที่ดินหรือ?”

ฉินเยว่มีท่าทีดูแคลน “หึ ยังมาเสแสร้งกับฉันอีก อย่าคิดว่าฉันไม่เห็นนะคะว่าเมื่อกี้คุณเพิ่งลงมาจากรถหรู เฉินชาง คุณเป็นเด็กเลี้ยงของเศรษฐีนีหรือ? ช่วยชีวิตเศรษฐีนีมาหรือ? มีความสัมพันธ์ลับๆ กันหรือคะ?”

เฉินชางรู้สึกอยากข่วนหน้าฉินเยว่จริงๆ ฉินเยว่คนนี้นี่ นับวันก็ยิ่งขี้มโน “ผมเหมือนคนแบบนั้นหรือครับ? หึ…”

ฉินเยว่พยักหน้าอย่างจริงจัง ยู่ปากพูดว่า “ไม่เหมือน แต่ใช่เลย!”

เฉินชางคิดว่าการคุยกับฉินเยว่เป็นการสิ้นเปลืองน้ำลายและไม่มีประโยชน์สักนิด

เฉินชางสวมเสื้อกาวน์สีขาว มองฉินเยว่แล้วพูดว่า “คุณรีบหาแฟนเถอะ ไม่งั้น…ขี้มโนแบบนี้เดี๋ยวไม่มีใครเอาพอดี”

ฉินเยว่แค่นเสียงออกมา “สบายใจเถอะค่ะ! ถึงไม่มีคนเอาฉันก็ไม่เอาคุณหรอก รีบบอกมาตามตรงเถอะ วันนี้ตอนเที่ยงคุณไปเจอเศรษฐีสาวมาใช่หรือเปล่า?”

เฉินชางถอนใจออกมา ก่อนจะพูดขึ้นว่า “เมื่อวานผมผ่าตัดให้ผู้ป่วยที่ถูกส่งมาจากโรงพยาบาลซื่อปา วันนี้หัวหน้าแผนกของที่นั่นให้ผมไปช่วยผ่าตัดน่ะครับ ตอนกลางวันผมก็เลยไปที่นั่น”

ฉินเยว่ได้ยินดังนั้นพลันเบิกตากว้างก่อนจะกะพริบตาปิ๊งๆ “โอ้โห เฉินชาง คุณฉายเดี่ยวได้แล้วหรือ? จริงหรือเปล่าเนี่ย?”

“บอกมาเร็ว รู้สึกยังไงคะ? ออกไปข้างนอกมีพยาบาลสาวสวยอยู่เป็นเพื่อนหรือเปล่า?”

เฉินชางรีบปิดปากฉินเยว่ทันที “นี่เจ๊ พูดเบาๆ หน่อยได้หรือเปล่า อย่าให้คนอื่นรู้นะครับ โอเคไหม? นี่ไม่ใช่เรื่องที่จะเปิดเผยตรงไปตรงมาได้นะ”

ตอนนี้มีคนผลักประตูเข้ามาพอดี

หวังเชียนเดินเข้ามาก็เห็นเฉินชางกำลังปิดปากฉินเยว่โดยดันตัวเธอติดกับกำแพงพอดี (ห้องเปลี่ยนเสื้อแคบมาก แค่เดินสวนกันได้เท่านั้น มีล็อกเกอร์อยู่แถวหนึ่งเอาไว้แขวนเสื้อ)

หวังเชียนถูกภาพเบื้องหน้าทำเอาดวงตาสว่างแวววาว มีปฏิกิริยาขึ้นมาทันที “อา ให้ตายเถอะ ทำไมผมแสบตาแบบนี้นะ ผมไม่เห็นอะไรทั้งนั้น”

จากนั้นก็หมุนตัวเดินออกไปแล้วปิดประตู แถมยังล็อคห้องเปลี่ยนเสื้อผ้าให้ด้วย

การกระทำนี้ทั้งคล่องแคล่วและรวดเร็วมาก ไม่มีท่าทีอย่างที่หมอแผนกฉุกเฉินคนหนึ่งสมควรมีเลยแม้แต่น้อย!

เมื่อออกไปแล้วหวังเชียนก็มีท่าทีครุ่นคิดอะไรบางอย่าง ตัดสินใจว่าตนควรส่งเสริมชายโสดหญิงโสดแห่งแผนกฉุกเฉินคู่นี้ให้ดี!

เขายืนอยู่บริเวณประตู เห็นหวังหย่งเดินมาพอดี

“พี่เชียน ยืนทำอะไรตรงนี้ครับ? แอร์ห้องทำงานไม่เย็นหรือ?”หวังหย่งมองไปยังประตูที่หวังเชียนยืนขวางเอาไว้

หวังเชียนส่ายหน้า “เปล่าๆๆ ด้านในไม่มีคน เอ่อ…เฉินชางและฉินเยว่ไม่ได้อยู่ข้างใน”

หวังหย่งได้ยินดังนั้นสมองก็ว่างเปล่าไปทันที จากนั้นจึงค่อยมีปฏิกิริยาขึ้นมา เดินยืนขวางประตูกับเขาด้วยกัน “อืม ที่นี่เย็นดีนะครับ”

“พี่เชียน พวกเขาสองคนทำอะไรกันอยู่ด้านในหรือ?” หวังหย่งกระซิบเสียงเบา ท่าทางคล้ายอยากซุบซิบเต็มที่

หวังเชียนมีท่าทีจริงจัง “ผมไม่รู้ ผมไม่ได้เห็นสองคนนั้นตัวติดกันนะครับ ผมไม่เห็นเฉินชางเอามือแนบหน้าฉินเยว่…”

ตอนนี้พยาบาลน้อยทั้งหลายในห้องเปลี่ยนเสื้อผ้าหญิงเปลี่ยนเสื้อผ้าเสร็จแล้ว พวกเธอเดินออกมานอกประตู พูดขึ้นด้วยสีหน้าตกใจว่า “มายืนทำอะไรกันตรงนี้คะ?”

หวังหย่งยิ้มอย่างเขินอาย “ไม่มีอะไรครับ ที่นี่มันเย็นดี”

หวังเชียนกระแอมออกมา “เบาเสียงหน่อย เฉินชางกับฉินเยว่ไม่ได้อยู่ข้างใน!”

พยาบาลน้อยทั้งหลายได้ยินดังนั้น จิตวิญญาณเจ้าแม่ซุบซิบก็ถูกกระตุ้นขึ้นมาทันที!

รีบแนบหูเข้าไปใกล้ประตูราวกับต้องการสำรวจอะไรบางอย่าง ทว่าจู่ๆ ประตูก็ถูกเปิดออก!

เฉินชางและฉินเยว่เดินออกมานอกประตู เห็นด้านนอกมีคนยืนอยู่กลุ่มหนึ่ง

หวังเชียนไอออกมาสองครั้ง “อืม บังเอิญจัง”

หวังหย่งและคนอื่นๆ ก็ยิ้มกระอักกระอ่วน “ใช่ๆๆ! บังเอิญจัง…”

……

……

ตอนบ่ายยังมีงานผ่าตัดอีกมาก หวังหย่งไปจัดการประวัติผู้ป่วยต่อ จู่ๆ เฉินชางก็ได้ยินหัวหน้าพยาบาลกล่าวขึ้นว่า “หมอเสี่ยวเฉินคะ แผนกฉุกเฉินมีผู้ป่วยมาคนหนึ่ง คุณไปดูหน่อยเถอะค่ะ”

เฉินชางจึงเดินออกไป

พบว่าชายชราที่นั่งอยู่บนรถเข็นคนหนึ่งกำลังถูกเข็นเข้ามาในแผนกฉุกเฉิน ผู้ที่เป็นคนเข็นคือผู้หญิงแต่งตัวสุภาพและมัดผมเรียบร้อยคนหนึ่ง

เธอสวมแว่นตา สะพายกระเป๋าใบหนึ่ง อายุสี่สิบกว่าปี ดูท่าทางเป็นผู้รู้หนังสือ บนหน้าเต็มไปด้วยความสงบนิ่งไม่มีท่าทีร้อนใจ

กลับเป็นชายชราที่นั่งอยู่บนเก้าอี้รถเข็นที่ดูแย่ เขาอายุประมาณแปดสิบกว่าปี บนใบหน้าเต็มไปด้วยความทุกข์ระทม สีหน้าแดงก่ำ ขดเอวก้มตัว มือทั้งสองกุมอยู่ที่ท้อง ท่าทางนั่งไม่สบายแต่ก็ยืนไม่ไหว สรุปคือดูแย่มาก

เฉินชางรีบเอ่ยถามทันที “คุณลุง เป็นอะไรหรือครับ?”

ชายชราอ้าปากตอบ “อะ เอ่อ อา…”

ผู้หญิงพูดด้วยรอยยิ้ม “พ่อฉันเป็นอัลไซเมอร์ค่ะ เขาพูดไม่รู้เรื่องแล้ว”

เฉินชางพยักหน้า หันไปถามผู้หญิงว่า “ผู้ป่วยเป็นอะไรมาครับ?”

เธออธิบายว่า “เมื่อวานพวกเรากินเกี๊ยวกันค่ะ แต่กินไม่หมด มีเหลืออยู่ส่วนหนึ่ง วันนี้เช้าพ่อฉันกินเกี๊ยวที่เหลือเข้าไป ผลคือตอนสายก็เริ่มปวดท้องแล้ว”

ขณะที่พูดเธอก็ตำหนิว่า “ฉันบอกไม่ให้เขากินของเหลือจนปากเปียกปากแฉะ แต่เขาก็เสียดาย คนแก่ไม่ค่อยฟังกันเลยค่ะ”

พูดจบก็กล่าวต่อไปว่า “ฉันจะมาซื้อยาแก้ปวดท้อง”

เฉินชางชะงักไป คุณมาแผนกฉุกเฉินเพื่อมาซื้อยานี่นะ!

เฉินชางมองไปที่ชายชรา รู้สึกว่าอาการไม่เหมือนผู้ป่วยโรคกระเพาะ จึงถามขึ้นว่า “ให้ผมตรวจดูหน่อยได้ไหมครับ?”

เธอมองนาฬิกาก่อนจะกล่าวเร่ง “อืม ได้ค่ะ รบกวนคุณหมอด้วยนะคะ แล้วก็ออกใบสั่งยาให้ด้วย ฉันไปที่แผนกผู้ป่วยนอกมาแล้ว ที่นั่นคนเยอะมาก ฉันต่อแถวไม่ไหว อีกเดี๋ยวฉันมีประชุมด้วย”

เฉินชางเข้าใจแล้ว พี่สาวคนนี้เห็นแผนกฉุกเฉินเป็นแผนกผู้ป่วยนอกไปแล้ว แต่ตอนนี้คนยังไม่เยอะ เขาจึงไม่ใส่ใจ

เฉินชางพยักหน้า “เสี่ยวหลิน ช่วยผมประคองคุณลุงไปที่เตียงด้วยครับ”

เสี่ยวหลินคือพยาบาลอายุยี่สิบต้นๆ ไม่ค่อยแต่งหน้าและแต่งหน้าไม่เป็น แต่หน้าสดค่อนข้างดูดี มีทักษะความสามารถดีและทนความลำบากได้ เรียกว่าเป็นนางพยาบาลที่เหมาะกับงานพยาบาลมาก

ทั้งสองประคองชายชราขึ้นไปที่เตียง ทว่าเมื่อเฉินชางตรวจดูก็ต้องขมวดคิ้ว! เนื่องจากชายชราไม่ได้มีอาการที่เรียกว่าปวดท้องเพราะกินของแสลงเลย

“คุณลุงมีอาการท้องเสียไหมครับ?” เฉินชางเอ่ยถาม

ผู้หญิงคนนั้นส่ายหน้า “ไม่มีค่ะ แต่ตอนสายๆ อ้วกมาหลายครั้ง”

ในใจของเฉินชางรู้สึกหนักอึ้ง ถามคำถามอีกหลายคำถาม ผู้หญิงคนนั้นรู้สึกรำคาญแต่ก็ยังอดทนเอาไว้ อาจเป็นผลมาจาก “การศึกษาที่ดี” ก็เป็นได้

“ปวด อ้วก บวม ปิด!”

ชื่อของโรคบางอย่างปรากฏขึ้นในสมองของเฉินชางทันที! นี่ไม่เกี่ยวกับว่ากินอาหารเหลือค้างคืนมาหรือเปล่า ไม่ต้องพูดถึงเกี๊ยวค้างคืนเลย ไม่ว่าคุณจะกินอะไรก็ไม่สบายได้ทั้งนั้น

เฉินชางรู้สึกว่าอาการของชายชราไม่ได้เพิ่งเกิดขึ้นวันนี้ และเกี๊ยวเป็นเพียงตัวแปรที่ทำให้อาการหนักขึ้นเท่านั้น

เสียงสะท้อนของลำไส้มีจังหวะสั้น! รวมกับที่ระบบย่อยอาหารของชายชราไม่ดีมาตลอด และสามปีก่อนหน้านี้ยังเคยผ่าตัดลำไส้มาด้วย…

ช่วงสายๆ เฉินชางเพิ่งจะผ่านการฝึกฝนวินิจฉัยอาการเกี่ยวกับช่องท้องมา! ดังนั้นเมื่อเบาะแสต่างๆ ถูกเฉินชางรวบรวมเข้าด้วยกัน ตัวการใหญ่ก็ถูกเปิดเผยออกมาแล้ว!

“ลำไส้อุดตันเฉียบพลัน!”

อาการป่วยที่พบได้บ่อยและมีอันตรายถึงชีวิต!