ตอนที่ 123 ท่านเย่ ช่วงนี้ข้าทานเนื้อมิได้

เกิดใหม่ทั้งทีข้าขอเป็นเซียน

ตอนที่ 123 ท่านเย่ ช่วงนี้ข้าทานเนื้อมิได้

‘หม้อไฟเสือดำ ? ’

หลังได้ยินคำพูดจากปากของเย่ฉางชิง ทุกคนต่างก็นึกถึงเรื่องที่โจษจันไปทั่วทั้งจงหยวนในช่วงที่ผ่านมา

เรื่องที่จ้าวปีศาจพยัคฆ์ดำแห่งเทือกเขาแดนใต้ บุกเข้าจงหยวนเมื่อมิกี่วันก่อน

ว่ากันว่าจ้าวปีศาจพยัคฆ์ดำตนนี้มีพลังที่แข็งแกร่ง จนสามารถเอาชนะผู้พิทักษ์ราตรีแดนใต้ได้สำเร็จ จากนั้นก็ได้บุกเข้ามาในจงหยวน

เป้าหมายของเขาก็เพื่อต้องการช่วงชิงสมบัติวิเศษชิ้นหนึ่งที่อยู่ในแดนเหนือ

แต่สุดท้ายมิรู้เพราะเหตุใด หลังจากจ้าวปีศาจพยัคฆ์ดำบุกเข้ามายังแดนเหนือได้มินาน กลับต้องมาสิ้นชีพอยู่ในเขตแดนของดินแดนศักดิ์สิทธิ์ไท่เสวียนได้

จากนั้นวันต่อมา จู่ ๆ ศพของเขาก็หายไปอย่างลึกลับ

มีคนกล่าวกันว่ามียอดฝีมือเก็บศพของจ้าวปีศาจพยัคฆ์ดำตนนี้ไป เพื่อต้องการที่จะหลอมเป็นสังขารไร้พ่าย

บ้างก็กล่าวว่าจ้าวปีศาจพยัคฆ์ดำตนนี้แท้จริงแล้วยังมีชีวิตอยู่ อาจหนีไปซ่อนตัวยังที่ลึกลับบางแห่งในแดนเหนือ มิแน่เมื่อเวลาผ่านไปก็คงจะปรากฎตัวขึ้นอีกครา

ผู้คนต่างก็บอกเล่าเรื่องเหล่านี้กันไปต่าง ๆ นานา

แต่เมื่อเย่ฉางชิงเอ่ยขึ้นเช่นนี้ ก็เท่ากับเป็นการเฉลยให้แก่พวกเขา

ถูกต้องแล้ว !

จ้าวปีศาจพยัคฆ์ดำมิได้ถูกหลอมเป็นสังขารไร้พ่าย และมิได้เข้าไปซ่อนตัวในแดนลับใด ๆ

เพียงแค่ผ่านมาที่นี่และถูกเขาสังหารไปแล้ว

อีกทั้งจุดประสงค์ในการสังหารจ้าวปีศาจพยัคฆ์ดำนั้นช่างง่ายดายยิ่งนัก

นั่นเพราะเขาต้องการเนื้อเสือดำมาทำหม้อไฟก็เท่านั้น

ส่วนจะเป็นจ้าวปีศาจหรือไม่นั้น เขาหาได้สนใจไม่

เพราะในสายตาของเขาแล้ว จะจ้าวปีศาจหรือปีศาจที่ยังมิอาจแปลงกายเป็นมนุษย์ได้ มิได้มีความแตกต่างกันเลย

“สูด ! ”

ทันใดนั้นพวกนักพรตฉางเสวียนต่างก็สูดลมหายใจเข้าลึก ๆ ด้วยความหวั่นเกรง

‘ชาที่ดื่มต้มจากใบรู้แจ้ง อยากกินหม้อไฟก็แค่สังหารจ้าวปีศาจตัวหนึ่งเสีย’

‘นี่เป็นกิจวัตรทั่วไปของท่านเย่อเยี่ยงนั้นหรือ ! ’

ขณะเดียวกันระหว่างที่ทั้งสี่คนกำลังมองหน้ากันไปมาอยู่นั้น

ราชันทมิฬที่เพิ่งกลับมาจากข้างนอกก็ได้ปรากฏตัวขึ้นท่ามกลางสายตาของทุกคนที่อยู่ที่นั่น

ก่อนหน้านี้เยี่ยนปิงซินและนักพรตฉางเสวียน ต่างก็เคยเห็นรูปร่างและไอพลังของราชันทมิฬมาแล้ว

ทว่าเวลาผ่านไปมินาน บัดนี้ราชันทมิฬกลับมีร่างกายใหญ่โตราวกับพยัคฆ์ ดวงตาสีดำสนิท ไอพลังที่แผ่ออกมาจากกายทำให้พวกเขาต่างก็อดที่จะหวาดกลัวขึ้นมามิได้

‘จักรพรรดิปีศาจ ? ’

ทันใดนั้นทั้งสี่คนก็มีสีหน้าเปลี่ยนไปอีกครั้ง

พวกเขาคาดมิถึงว่าเย่ฉางชิงจะเลี้ยงผู้แข็งแกร่งระดับจักรพรรดิปีศาจเอาไว้ด้วย

เมื่อเห็นทั้งสี่คนมีท่าทางประหลาด

เย่ฉางชิงจึงเอ่ยถามขึ้นด้วยรอยยิ้ม “หรือว่าทุกท่านมิชอบทานหม้อไฟอย่างนั้นหรือ ? ”

“ห๊ะ ! ”

ทั้งสี่คนได้สติทันทีที่ได้ยิน ก่อนจะสบตากันแล้วพยักหน้าหงึกหงัก

‘นี่เป็นเนื้อของจ้าวปีศาจเชียวนะ ! ’

แม้จะฟังดูโหดร้าย แต่เนื้อของจ้าวปีศาจนั้นแฝงไว้ด้วยพลังและปราณชีวิตมหาศาล

หากสามารถกลั่นพลังเหล่านี้ได้ อาจเป็นโชคและวาสนาคราใหญ่เลยก็ว่าได้

ขณะนั้นเองเยี่ยนปิงซินก็ได้เอ่ยกับเย่ฉางชิงขึ้นเป็นคนแรกว่า “ท่านเย่ ให้ข้าช่วยอะไรหรือไม่เจ้าคะ ? ”

เย่ฉางชิงขมวดคิ้วเล็กน้อย สีหน้ามิได้บ่งบอกอารมณ์ใด ๆ

เยี่ยนปิงซินแม้จะเป็นหญิงสาวเพียงหนึ่งเดียวในที่นี้ แต่ก่อนหน้านี้นางก็เคยพักอาศัยอยู่ที่นี่มาช่วงหนึ่ง นอกจากกวาดพื้นแล้ว ก็เหมือนมิได้ทำประโยชน์ใด ๆ อีก

แน่นอนว่าก่อนหน้านี้เย่ฉางชิงมิได้รู้ถึงฐานะของเยี่ยนปิงซิน แต่บัดนี้เขามั่นใจว่าสตรีผู้นี้ ต้องมีฐานะที่มิธรรมดาอย่างแน่นอน

เย่ฉางชิงชั่งใจเล็กน้อย ก่อนจะพยักหน้าให้นางเป็นการตกลง “คุณหนูเยี่ยน หากท่านอยากจะช่วยจริงล่ะก็ ช่วยข้าล้างผักก็แล้วกันนะ”

“ล้างผัก ? ”

เยี่ยนปิงซินชะงักไปเล็กน้อย ก่อนจะรีบเดินเข้าไปในครัวอย่างมิลังเล

สวีฉิงเทียนลังเลอยู่ครู่หนึ่ง ก่อนจะลองเอ่ยถามขึ้นบ้าง “ท่านเย่ ข้าช่วยหั่นเนื้อให้ท่านดีกว่า”

เย่ฉางชิงพยักหน้าพลางกำชับว่า “ท่านสวี เนื้อของเสือดำตัวนี้หั่นยากอยู่สักหน่อย ท่านไปใช้มีดทำครัวที่ข้าเพิ่งซื้อมาใหม่ในครัวดีกว่า”

‘มีดทำครัวที่เพิ่งซื้อมาใหม่งั้นหรือ ? ’

สวีฉิงเทียนนิ่งอึ้งเล็กน้อย ก่อนจะพยักหน้ารับพร้อมรอยยิ้ม จากนั้นจึงรีบเดินตามเยี่ยนปิงซินไปทางห้องครัวทันที

“ท่านเย่ พวกข้าสองคนช่วยพอจะช่วยอะไรได้บ้างหรือไม่ขอรับ”

นักพรตฉางเสวียนเอ่ยขึ้นบ้าง เมื่อเห็นสวีฉิงเทียนเดินไปยังห้องครัวแล้ว

เย่ฉางชิงชี้ไปทางห้องเก็บของพร้อมรอยยิ้มเป็นนิจ แล้วเอ่ยขึ้นอย่างมิเกรงใจว่า “ท่านเหอ ในห้องเก็บของห้องนั้นมีโต๊ะกับหม้อทองแดงอยู่ ท่านช่วยไปทำความสะอาดสักหน่อยก็แล้วกัน”

ได้ยินเช่นนั้นเจ้าสำนักดินแดนศักดิ์สิทธิ์ไท่เสวียนอย่างนักพรตฉางเสวียน ผู้มีฐานะสูงส่งก็มิได้ถือตัวแต่อย่างใด เขารีบพยักหน้าพร้อมรอยยิ้ม ก่อนจะรีบวิ่งไปทางห้องเก็บของในทันที

แน่นอนว่าเย่ฉางชิงมิได้ลืมจุดประสงค์ที่นักพรตฉางเสวียนมาเยี่ยมเยียนในวันนี้ จึงได้หันไปถามว่า “ท่านเหอ วันนี้ที่มาท่านต้องการภาพอักษรพู่กันหรือภาพวาดเล่า ? ”

นักพรตฉางเสวียนหันกลับมาโบกมือไปมา พลางกล่าวด้วยรอยยิ้มว่า “ท่านเย่เข้าใจผิดแล้ว วันนี้ข้าเพียงตั้งใจมาเยี่ยมท่านเท่านั้น”

เย่ฉางชิงเอ่ยอย่างหยอกล้อ “จริงหรือ ? ”

นักพรตฉางเสวียนลังเลเล็กน้อย ก่อนจะตอบกลับว่า “เป็นเช่นนั้นจริง ๆ ”

เย่ฉางชิงพยักหน้าให้อีกครั้ง ก่อนจะหันกลับไปถามเยี่ยนเทียนซานบ้าง “แล้วท่านผู้เฒ่า ต้องการภาพอักษรพู่กันหรือภาพวาดหรือ ? ”

เยี่ยนเทียนซานตะลึงงัน ก่อนจะแนะนำตัวด้วยรอยยิ้มว่า “ท่านเย่ ก่อนหน้านี้ข้าลืมแนะนำตัวไป ผู้น้อยเยี่ยนเทียนซานเป็นปู่ของเยี่ยนปิงซิน ครานี้ที่ข้ามาก็เพื่อมาเยี่ยมเยียนท่านเท่านั้น มิได้ต้องการสิ่งใด”

เย่ฉางชิงจึงตอบว่า “ในเมื่อเป็นเช่นนั้น เชิญท่านเยี่ยนนั่งดื่มชารอตรงนี้ก่อนก็แล้วกัน”

เยี่ยนเทียนซานรีบโบกมือปฏิเสธทันที “ท่านเย่ ให้ข้าไปช่วยพี่เหอดีกว่า”

หลังจากทั้งสี่คนแยกย้ายกันไปทำงานแล้ว เย่ฉางชิงก็ได้แต่ส่ายหน้ายิ้ม ๆ แต่กลับดูสบายใจมิน้อย

ก่อนที่เขาจะปรายตามองจิ้งจอกน้อยที่นอนหมอบอยู่บนเก้าอี้ด้วยท่าทางเกียจคร้าน ก่อนจะนั่งลงตรงโต๊ะชาและเริ่มรินชาเพื่อดื่มอีกครั้ง

ขณะเดียวกัน หลังจากสวีฉิงเทียนมาถึงห้องครัวแล้ว ก็อดมิได้ที่จะกวาดมองราวกับคนโง่งม

ทั่วทั้งห้องครัวแห่งนี้อบอวลไปด้วยไอพลังเหมันต์อันบริสุทธิ์

ส่วนไอพลังเหมันต์เหล่านี้ ล้วนมาจากกล่องไม้ใบหนึ่งที่วางเอาไว้ในแนวตั้ง

หลังจากที่เขาเปิดกล่องออก

ก็เห็นช่องไม้ช่องหนึ่งอยู่ตรงกลางของกล่อง

มีมุกเหมันต์หายากเม็ดหนึ่งวางเอาไว้ภายใน

เห็นได้ชัดว่าไอพลังเหมันต์ที่แผ่อยู่ภายในห้องครัวห้องนี้ มีที่มาจากมุกเหมันต์เม็ดนี้นี่เอง

ส่วนด้านบนของช่องไม้มีผักสดหลากหลายชนิดวางเอาไว้ ด้านล่างเป็นเนื้อเสือดำชิ้นใหญ่สามสี่ชิ้นที่แผ่ปราณชีวิตอันรุนแรงออกมา

สวีฉิงเทียนที่ได้เห็นภาพตรงหน้า ก็อดที่จะเอ่ยอย่างชื่นชมมิได้ว่า “สมแล้วที่ท่านเย่เป็นยอดคน ช่างเป็นการออกแบบที่วิจิตรงดงามอย่างที่มิเคยมีมาก่อนจริง ๆ ”

เยี่ยนปิงซินที่ยืนอยู่ด้านข้าง ก็ขมวดคิ้วเรียวยาวขึ้นเล็กน้อยพลางเอ่ยอย่างครุ่นคิดว่า “หรือว่านี่จะเป็นตู้เย็น ที่ท่านเย่เคยพูดถึง ? ”

“ตู้เย็น ? ”

สวีฉิงเทียนผงะไปเล็กน้อย ก่อนจะหันไปเอ่ยกับเยี่ยนปิงซินด้วยน้ำเสียงอ่อนโยนว่า “เด็กน้อย พวกเรารีบทำงานกันเถิด อย่าให้ท่านเย่รอนานเลย”

เยี่ยนปิงซินจึงพยักหน้ารับคำ

และขณะที่สวีฉิงเทียนหยิบเนื้อเสือดำชิ้นหนึ่งออกมาวางบนโต๊ะ พร้อมกับหยิบมีดทำครัวขึ้นมานั้น ดวงตาก็หรี่ลงในทันที

“บนมีดทำครัวเล่มนี้มีไอพลังของสมบัติวิญญาณแผ่ออกมา ช่างน่าเหลือเชื่อยิ่งนัก ! ”

“สมแล้วที่เป็นท่านเย่ แม้แต่ในห้องครัวเล็ก ๆ ก็ยังกลายเป็นแดนแห่งวาสนาชั้นยอดได้ ! ”

……………………………

เวลาผ่านไปเกือบครึ่งชั่วยาม

เย่ฉางชิงรวมทั้งพวกนักพรตฉางเสวียนทั้งสี่คน ก็ได้นั่งล้อมวงกันอยู่หน้าโต๊ะกลม

มีหม้อทองแดงใบหนึ่งวางอยู่ตรงกลางโต๊ะกลม รอบ ๆ มีผักสดวางอยู่สองจาน รวมทั้งเนื้อเสือดำที่แล่เอาไว้บาง ๆ อีกหกจาน

ต้องบอกว่ายอดนักกระบี่แห่งยุคอย่างสวีฉิงเทียน ฝีมือการแล่เนื้อนั้นยอดเยี่ยมมิแพ้ใครเลยจริง ๆ

เย่ฉางชิงกวาดตามองทั้งสี่คน ก่อนจะเอ่ยด้วยรอยยิ้มว่า “ทุกท่านมิต้องเกรงใจ ทานกันตามสบายเลยนะ”

ทั้งสี่คนสบตากันเล็กน้อย ก่อนจะพยักหน้าลงอย่างนอบน้อม

ตอนนั้นเองเยี่ยนเทียนซานก็เหลือบมองเย่ฉางชิงอย่างระมัดระวัง พลางส่งกระแสจิตบอกแก่เยี่ยนปิงซินว่า “เด็กน้อย จำเอาไว้ว่าอย่ากินเนื้อนี่เด็ดขาด เนื้อเสือดำแฝงไว้ด้วยปราณชีวิตอันรุนแรง ด้วยตบะบารมีของเจ้าในตอนนี้ยังมิอาจรับได้”

ได้ยินเช่นนั้นเยี่ยนปิงซินที่กำลังเตรียมจะกินอย่างจุใจ ราวกับถูกน้ำเย็นสาด นางรีบวางตะเกียบในมือลงทันที

มินานหลังจากแกว่งเนื้อจนสุก เย่ฉางชิงจึงได้คีบให้แก่เยี่ยนปิงซินเป็นคนแรก

“คุณหนูเยี่ยน ลองทานดูสิ”

เย่ฉางชิงเอ่ยพร้อมรอยยิ้ม

เยี่ยนปิงซินชะงักไปเล็กน้อย ก่อนจะเอ่ยออกมาอย่างเกรงใจว่า “ท่านเย่ ช่วงนี้ข้าทานเนื้อมิได้เจ้าค่ะ”