ตอนที่ 124 เป็นพวกเราที่ละโมบเกินไป

เกิดใหม่ทั้งทีข้าขอเป็นเซียน

ตอนที่ 124 เป็นพวกเราที่ละโมบเกินไป

เย่ฉางชิงได้ยินเช่นนั้นก็เพียงแค่ยิ้มออกมา มิได้คิดมากอะไร

ตอนอยู่อีกโลกหนึ่งบรรดาผู้หญิงที่เขารู้จัก ต่างก็ควบคุมอาหารด้วยวิธีต่าง ๆ เพื่อรักษารูปร่างกันทั้งนั้น

ที่นี่แม้จะเป็นโลกเซียน แต่การที่สตรีรูปร่างอ้อนแอ้นอย่างเยี่ยนปิงซินใส่ใจรูปร่างของตนเช่นนี้ ย่อมถือว่าเป็นเรื่องที่ดีอยู่แล้ว

ใคร ๆ ต่างก็รักสวยรักงามกันทั้งนั้น

เรื่องนี้ทั้งสองโลกก็คงเป็นเหมือนกัน

อีกทั้งเนื้อเสือดำนี่ยังมันเกินไปจริง ๆ

เพื่อป้องกันมิให้เย่ฉางชิงเข้าใจผิด เยี่ยนเทียนซานจึงได้อธิบายว่า “ท่านเย่ ได้โปรดอย่าเข้าใจผิด ปิงซินเป็นคนมิชอบทานเนื้อมาแต่ไหนแต่ไรแล้ว”

เย่ฉางชิงยิ้มออกมาเรียบ ๆ พลางโบกมือให้

“เนื้อเสือดำนี่มันไปจริง ๆ คุณหนูเยี่ยนจะมิชอบก็เป็นเรื่องที่เข้าใจได้”

จากนั้นเย่ฉางชิงจึงหันไปมองทางนักพรตฉางเสวียนและสวีฉิงเทียน “พวกท่านอย่าได้เกรงใจ อยากทานอะไรก็เชิญหยิบได้เลย”

นักพรตฉางเสวียนลอบส่งสายตากับสวีฉิงเทียน ก่อนจะพยักหน้ายิ้ม ๆ

หลังจากเย่ฉางชิงเริ่มลงมือ พวกนักพรตฉางเสวียนต่างก็สบตากัน ก่อนจะหยิบตะเกียบขึ้นมาเริ่มคีบเนื้อลงไปจุ่มในหม้อเช่นกัน

มินาน เมื่อเห็นเย่ฉางชิงทานด้วยความเอร็ดอร่อย นักพรตฉางเสวียนที่อยู่ข้าง ๆ จึงลังเลเล็กน้อย ก่อนจะคีบเนื้อสองชิ้นที่ลวกสุกแล้วเข้าปากบ้าง

แต่ในตอนนั้นเองดวงตาของเขาก็เบิกกว้างขึ้นเล็กน้อย ใบหน้าที่เต็มไปด้วยริ้วรอยก็เต็มไปด้วยความประหลาดใจ

เนื้อเสือดำนี่แม้จะแฝงเอาไว้ด้วยปราณชีวิตอันรุนแรงก็จริง แต่ช่างมีรสเลิศเหลือคณา

เย่ฉางชิงบังเอิญเหลือบไปเห็นนักพรตฉางเสวียน จึงถามขึ้นด้วยรอยยิ้มว่า “ท่านเหอ รสชาติเป็นเช่นไรบ้าง ? ”

นักพรตฉางเสวียนพยักหน้า พลางตอบกลับด้วยรอยยิ้ม “เนื้อนี้ช่างมีรสเลิศจริง ๆ ข้ามิได้ทานอาหารที่มีรสเลิศเช่นนี้มานานแล้ว”

เยี่ยนเทียนซานและสวีฉิงเทียนที่ดูหวาดหวั่น เมื่อได้ยินเช่นนั้น ต่างก็ค่อย ๆ นำเนื้อที่ลวกสุกแล้วเข้าปากอย่างลังเล

ขณะเดียวกันเย่ฉางชิงก็ได้เอ่ยขึ้นอย่างใจกว้างว่า “พวกท่านทานกันให้เต็มที่ เนื้อเสือดำนี่มิได้มีเพียงที่เห็นในตู้เย็นหรอก”

นักพรตฉางเสวียนพยักหน้าให้กับเย่ฉางชิง ก่อนจะเป่าเนื้อที่ลวกแล้วเบา ๆ และส่งเข้าปากต่อ

แต่ในตอนนั้นเองสีหน้าของสวีฉิงเทียนและเยี่ยนเทียนซานก็ดูแปลกไป

สวีฉิงเทียนเพียงแค่ขมวดคิ้วเล็กน้อย กลับมิได้แสดงสีหน้าใด ๆ ออกมา

ส่วนเยี่ยนเทียนซานนั้นหลังจากมิกี่อึดใจต่อมา ใบหน้ากลับแดงก่ำ ไอพลังที่แผ่ออกมาเหมือนจะเริ่มปั่นป่วนขึ้น

“ท่านเย่ ข้าขอตัวออกไปด้านนอกสักครู่ แล้วจะกลับมาอีกครา”

มิกี่อึดใจต่อมา ในที่สุดเยี่ยนเทียนซานก็ทนมิไหวจนต้องลุกขึ้นและเอ่ยขอตัวกับเย่ฉางชิง

เย่ฉางชิงพยักหน้าและยิ้มให้อย่างเข้าใจ

หลังจากเยี่ยนเทียนซานออกไปได้มินาน นักพรตฉางเสวียนก็เม้มปากเล็กน้อยอย่างพึงพอใจ ก่อนจะลุกขึ้นเอ่ยลา “ท่านเย่ บัดนี้เย็นมากแล้ว ข้ายังมีเรื่องที่ต้องจัดการ คงต้องขอตัวลาก่อน”

“จะกลับแล้วงั้นหรือ ? ”

เย่ฉางชิงเอ่ยขึ้นอย่างเสียดาย “ข้าคิดว่าหลังจากกินเสร็จแล้ว จะดื่มกับท่านต่อเสียหน่อย”

นักพรตฉางเสวียนหัวเราะออกมา พร้อมกับเอ่ยอย่างรักษาน้ำใจ “วันหน้าพวกเรายังมีโอกาสอีกมากนัก”

เมื่อเห็นว่านักพรตฉางเสวียนตัดสินใจแล้ว เย่ฉางชิงจึงเอ่ยด้วยรอยยิ้มว่า “เมื่อเป็นเช่นนั้น ข้าก็มิรั้งท่านเอาไว้แล้วล่ะ”

ตอนนั้นเองสวีฉิงเทียนพลันดวงตาเปล่งประกายขึ้น ก่อนจะลุกขึ้นยืนแล้วเอ่ยว่า “ท่านเย่ ข้ามากับพี่เหอ เช่นนั้นข้าก็คงต้องขอตัวลาเช่นกัน”

เย่ฉางชิงกวาดตามองสวีฉิงเทียนเล็กน้อย คิ้วขมวดขึ้นอย่างอดมิได้ และเอ่ยอย่างแปลกใจว่า “พวกท่านจะกลับพร้อมกันทั้งสองคนเลยงั้นหรือ ? ”

สวีฉิงเทียนและนักพรตฉางเสวียนพยักหน้าพร้อม ๆ กัน

“ในเมื่อเป็นเช่นนั้น พวกเราค่อยพบกันอีกวันหน้าก็แล้วกัน”

เย่ฉางชิงทอดถอนใจเบา ๆ ก่อนจะลุกขึ้นยืนและพูดว่า “ข้าไปส่งพวกท่านสองคนก็แล้วกัน”

“ท่านเย่มิต้องไปส่งหรอก พวกเรากลับกันเองก็ได้ขอรับ”

สวีฉิงเทียนและนักพรตฉางเสวียนมีท่าทีตกใจที่จู่ ๆ ก็ได้รับความเมตตา จึงรีบเอ่ยห้ามไว้

เย่ฉางชิงจึงพยักหน้ายิ้ม ๆ

มินานหลังจากสวีฉิงเทียนและนักพรตฉางเสวียนจากไปอย่างรีบร้อน เย่ฉางชิงก็กลับมานั่งที่อีกครั้ง

‘หรือว่าเนื้อเสือดำนี่จะมีอะไรแปลกไป ? ’

เย่ฉางชิงปรายตามองเยี่ยนปิงซินที่อยู่ด้านข้าง พลางครุ่นคิดอย่างสงสัย ‘มิน่าจะใช่ ตู้เย็นที่ข้าออกแบบ เนื้อสัตว์ปกติวางเอาไว้ครึ่งเดือนก็ยังมิมีกลิ่นแปลก ๆ เลยสักนิด’

‘บางทีพวกเขาอาจจะมีธุระจริง ๆ สินะ ’

ผ่านไปครู่หนึ่ง เย่ฉางชิงก็เอ่ยขึ้นอย่างปลอบตัวเอง

…………………………

อีกด้านหนึ่ง

หลังจากสวีฉิงเทียนและนักพรตฉางเสวียนออกมาจากลานแห่งนั้นแล้ว ก็รีบออกไปจากเมืองเสี่ยวฉือทันที

หลังจากที่ทั้งสองคนมาถึงชายแดนเมืองเสี่ยวฉือ ก็แปลงกายเป็นลำแสงสองลำพุ่งไปทางเทือกเขาที่ทอดยาวอยู่ทันที

“เหอฉางเสวียน เจ้าวางแผนอะไรอยู่กันแน่ห๊ะ ? ”

“พี่สวี ท่านพูดอะไรกัน ข้ากินเยอะกว่าท่านเสียอีก”

“เจ้าก็รู้ว่าปราณชีวิตที่แฝงอยู่ในเนื้อเสือดำนั้นรุนแรงมากเพียงใด แม้แต่ตบะบารมีของเจ้ากับข้าในตอนนี้ก็ยังต้องสะกดเอาไว้ เหตุใดเจ้ายังพูดว่ารสเลิศอีก เจ้า เจ้าตั้งใจวางกับดักใส่ข้างั้นหรือ ? ”

“พี่สวี เมื่อครู่อยู่ต่อหน้าท่านบรรพจารย์เย่ ข้าจะกล้าหักหน้าท่านบรรพจารย์เย่ได้เยี่ยงไรกัน ? ”

“เจ้า ! ”

“พี่สวี ท่านดูนั่นสิ นั่นมันตาเฒ่าจากแคว้นต้าเยี่ยนผู้นั้นมิใช่หรือ ? ”

ขณะที่สวีฉิงเทียนและนักพรตฉางเสวียนกำลังผ่านดินแดนรกร้างแห่งหนึ่ง

ก็เห็นเยี่ยนเทียนซานมีเสื้อผ้าขาดรุ่งริ่ง ผมเผ้ากระเซอะกระเซิง พลังปราณที่แผ่ออกมาจากร่างรุนแรงสุดจะหยั่ง วิ่งอย่างคลุ้มคลั่งอยู่ในดินแดนรกร้างโดยที่ท่อนบนเปลือยเปล่า

ขณะเดียวกันเสียงคำรามทุ้มต่ำก็ดังขึ้นมาอย่างต่อเนื่อง

“คนแซ่เหอ นี่คือผลจากการกระทำของเจ้าอย่างไรเล่า”

สวีฉิงเทียนเอ่ยขึ้นเสียงขรึม “เยี่ยนเทียนซานเพิ่งจะบรรลุสู่แดนเทวาได้มินาน รากฐานยังมิมั่นคง ดูจากท่าทางของเขาในตอนนี้แล้ว เหมือนจะมิสามารถหลอมปราณชีวิตรุนแรงที่แฝงอยู่ในเนื้อเสือดำได้”

“พี่สวี เรื่องนี้ต้องโทษที่ข้ามิได้เตือนเขาก่อน”

นักพรตฉางเสวียนเอ่ยออกมาอย่างมิปฏิเสธ “เอาเช่นนี้ก็แล้วกัน พวกเรารวมพลังกันเถิด มิเช่นนั้นหากวันนี้เยี่ยนเทียนซานมิได้กายระเบิดจนสิ้นชีพ ก็คงได้เสียสติไปจริง ๆ เป็นแน่”

สวีฉิงเทียนกระตุกมุมปากอย่างเย็นชา จากนั้นก็แปลงกายเป็นลำแสงพุ่งลงมาหาเยี่ยนเทียนซานที่อยู่ด้านล่าง

ทันใดนั้นหลังจากลำแสงทั้งสองพุ่งลงมาด้านล่าง พลันเกิดร่างเทพที่เปล่งประกายสองร่างปรากฏขึ้น ก่อนที่ทั้งสองร่างจะปล่อยพลังใส่เยี่ยนเทียนซานซึ่งทั่วร่างเป็นสีแดงเพลิงและใกล้จะเสียสติเต็มที

ขณะเดียวกันพลังมหาศาลก็ได้ปกคลุมไปทั่วในรัศมี 100 จั้ง ผนึกต่าง ๆ หลอมรวมกัน จนเกิดเป็นแสงอันเจิดจ้าพุ่งออกไป จากนั้นก็ห่อหุ้มพลังฟ้าดินอันทรงพลานุภาพ แล้วปลดปล่อยพลังลงสู่ด้านล่างอย่างต่อเนื่อง

จนเวลาผ่านไปเกือบสองชั่วยาม

ในที่สุดพลังมหาศาลนั้นก็สงบลง

บนแดนรกร้างตอนนี้ นักพรตฉางเสวียนและสวีฉิงเทียนต่างก็มีใบหน้าซีดเผือด ก่อนจะทรุดลงนั่งกับพื้น

ส่วนเยี่ยนเทียนซานผู้เป็นบรรพจารย์ของแคว้นต้าเยี่ยนกลับนอนนิ่งบนพื้นอย่างไร้เรี่ยวแรง

ตอนนั้นเองนักพรตฉางเสวียนก็เผยรอยยิ้มขมขื่น พลางส่ายหน้าไปมา “แม้ที่พำนักของท่านบรรพจารย์เย่จะเต็มไปด้วยโชคชะตาและวาสนา แต่ก็มีอันตรายร้ายแรงแฝงอยู่เช่นกัน”

สวีฉิงเทียนกลอกตาอย่างเอือมระอา แล้วเอ่ยเสียงขรึมว่า “หากมิใช่เจ้าแสร้งทำ ข้าและพี่เยี่ยนจะถูกเจ้าทำร้ายถึงเพียงนี้หรือ ? ”

“พี่เหอ พี่สวี ขอบคุณท่านทั้งสองมากที่ช่วยข้าเอาไว้”

เยี่ยนเทียนซานใบหน้าซีดเผือด เอ่ยขึ้นอย่างไร้เรี่ยวแรง “หากมิใช่เพราะท่านทั้งสองยื่นมือช่วยเอาไว้ เกรงว่าข้าคงมิอาจรอดพ้นหายนะครั้งนี้ได้”

สวีฉิงเทียนมีท่าทีอ่อนลง ส่ายหน้าพลางทอดถอนใจออกมา “เป็นพวกเราที่ละโมบเกินไปจริง ๆ ”