ตอนที่ 125 พระจันทร์คืนนี้งดงามยิ่งนัก

เกิดใหม่ทั้งทีข้าขอเป็นเซียน

ตอนที่ 125 พระจันทร์คืนนี้งดงามยิ่งนัก

เวลาผ่านไปเกือบครึ่งชั่วยาม

หลังเยี่ยนเทียนซานกินยาควบรวมแก่นแท้ไปสามสี่เม็ด และปรับลมปราณในร่างให้สมดุลแล้ว

ในที่สุดก็ค่อย ๆ ดีขึ้น

“พี่สวี พี่เหอ พวกเราลากันตรงนี้ก็แล้วกันนะ”

เยี่ยนเทียนซานถอนหายใจเฮือกก่อนจะลุกขึ้นยืน พลางประสานมือคารวะให้กับนักพรตฉางเสวียนและสวีฉิงเทียน

สวีฉิงเทียนพิจารณาเยี่ยนเทียนซานเล็กน้อย แล้วพยักหน้าว่า “ไอพลังสงบลงแล้ว น่าจะมิมีปัญหาอะไรแล้ว”

นักพรตฉางเสวียนพยักหน้าเห็นด้วยพร้อมกล่าวว่า “ในเมื่อเป็นเช่นนั้นพวกเราก็ลากันตรงนี้ก็แล้วกันนะ วันหน้าหากมีโอกาสพวกเราคงได้พบกันใหม่”

เยี่ยนเทียนซานยิ้มออกมาอย่างฝืดเฝื่อน ก่อนจะหมุนตัวจากไป

นักพรตฉางเสวียนเหมือนนึกบางอย่างขึ้นมาได้ จึงได้ร้องเรียกออกไป “พี่เยี่ยน ช้าก่อน”

เยี่ยนเทียนซานหันกลับไป พร้อมกับถามขึ้นว่า “พี่เหอ มีอะไรงั้นหรือ ? ”

นักพรตฉางเสวียนปรายตามองสวีฉิงเทียน และเอ่ยถามขึ้นอย่างลังเลว่า “พี่เยี่ยน ตอนนี้ก็เย็นมากแล้ว คืนนี้พวกท่านปู่หลานตั้งใจจะค้างกับท่านเย่ใช่หรือไม่ ? ”

สวีฉิงเทียนได้ยินเช่นนั้นก็ขมวดคิ้วขึ้นเล็กน้อย ก่อนหันไปมองเยี่ยนเทียนซานด้วยสีหน้าที่เปลี่ยนไปเล็กน้อย

แม้ผู้อาวุโสเย่จะเป็นบรรพจารย์ของดินแดนศักดิ์สิทธิ์ไท่เสวียน แต่วันนี้กลับมอบโชคและวาสนาอันยิ่งใหญ่ให้แก่เขารวมทั้งดินแดนศักดิ์สิทธิ์จื่อชิง

อีกทั้งการที่เขาคุกเข่าก่อนหน้านี้ ก็เท่ากับดินแดนศักดิ์สิทธิ์จื่อชิงยอมศิโรราบให้แก่ผู้อาวุโสเย่แล้ว

เช่นนั้นเขาจึงมีสิทธิ์ที่จะรับรู้ความเป็นไปของผู้อาวุโสเย่ด้วยเช่นกัน

เยี่ยนเทียนซานลังเลเล็กน้อย “น่าจะเป็นเยี่ยงนั้น”

นักพรตฉางเสวียนและสวีฉิงเทียนส่งสายตาให้กันเล็กน้อย ก่อนจะเอ่ยขึ้นอย่างตรงไปตรงมา “พี่เยี่ยน แม้ท่านเย่จะเป็นบรรพจารย์ของดินแดนศักดิ์สิทธิ์ไท่เสวียนของข้า แต่ก็เคยมอบโชคและวาสนาให้แก่พวกท่านทั้งสอง เช่นนั้นข้าขอพูดตามตรงเลยก็แล้วกันนะ”

“พี่เหอ ท่านพูดถูกแล้ว”

เยี่ยนเทียนซานขมวดคิ้วเล็กน้อย พร้อมกับพยักหน้าเห็นด้วย “หากท่านมีสิ่งใดก็เอ่ยมาตรง ๆ ได้เลย หากมีสิ่งใดที่ข้าพอจะทำให้ได้ข้าเองก็ยินดีที่จะทำ”

นักพรตฉางเสวียนชั่งใจเล็กน้อย ก่อนจะค่อย ๆ เอ่ยว่า “ข้าหมายความว่า หากเกิดอะไรขึ้นกับท่านเย่ หวังว่าท่านจะแจ้งให้ข้าทราบทันที”

“เกิดอะไรขึ้นหรือ ? ”

สวีฉิงเทียนได้ยินเช่นนั้นก็เอ่ยขึ้นอย่างฉงน “ตบะบารมีของท่านเย่ลึกล้ำสุดจะหยั่ง คนระดับเขายังจะมีอะไรเกิดขึ้น หรือพบสิ่งที่มิคาดฝันอีกงั้นหรือ ? ”

“ข้ามิได้หมายความเช่นนั้น”

นักพรตฉางเสวียนถลึงตาใส่สวีฉิงเทียนพร้อมกับเบ้ปากและกล่าวต่อว่า “ท่านบรรพจารย์เย่เก่งกาจเพียงใด ข้าย่อมรู้ดีอยู่แก่ใจ เขามอบวาสนามากมายเช่นนี้ให้แก่พวกเรา การที่ผู้น้อยเช่นเราจะแสดงความกตัญญูต่อเขาเป็นเรื่องที่มิถูกต้องหรือเยี่ยงไร ? ”

“ข้าเข้าใจแล้ว ที่แท้ก็เป็นเช่นนี้นี่เอง”

สวีฉิงเทียนชะงักเล็กน้อย ก่อนจะตบหน้าผากตัวเองเบา ๆ แล้วเอ่ยอย่างเข้าใจว่า “พี่เหอ ช่างเป็นคนละเอียดรอบคอบจริง ๆ เป็นข้าเองที่คิดน้อยไป”

สวีฉิงเทียนกล่าวจบก็หันไปกำชับเยี่ยนเทียนซานว่า “พี่เยี่ยน ที่พี่เหอพูดมามีเหตุผล หากท่านเย่มีสิ่งใดเกิดขึ้น ท่านต้องรีบส่งข่าวแจ้งให้ข้าและพี่เหอทราบด้วยล่ะ”

เยี่ยนเทียนซานประสานมือให้แก่สวีฉิงเทียนและนักพรตฉางเสวียนอีกครั้ง พลางเอ่ยด้วยน้ำเสียงที่หนักแน่นว่า “ท่านทั้งสองได้โปรดวางใจ หากมีสิ่งใดเกิดขึ้นข้าจะส่งข่าวให้พวกท่านทราบทันที”

“จริงสิ ท่านพกหยกถ่ายทอดเสียงสองก้อนนี้ติดกายเอาไว้”

……………………………..

อีกด้านหนึ่ง

หลังจากเย่ฉางชิงและเยี่ยนปิงซินทาน ช่วยกันเก็บทำความสะอาดเรียบร้อยแล้ว

ดวงตะวันก็ลาลับขอบฟ้า หมอกสีแดงในยามเย็นก็ค่อย ๆ เคลื่อนมาปกคลุม

เย่ฉางชิงนอนอยู่บนเก้าอี้หวายตัวหนึ่งอย่างสบายอารมณ์ โดยอุ้มจิ้งจอกน้อยเอาไว้แนบอก

ราชันทมิฬที่มีร่างกายกำยำราวกับพยัคฆ์หมอบอยู่ข้างกายเย่ฉางชิงอย่างเกียจคร้าน

ส่วนเยี่ยนปิงซินก็นั่งอยู่ข้าง ๆ อย่างเงียบ ๆ

“คุณหนูเยี่ยน ปู่ของท่านยังมิกลับมา จะเกิดอะไรขึ้นกับเขาหรือไม่ ? ”

เย่ฉางชิงหันไปถามเยี่ยนปิงซิน

เยี่ยนปิงซินที่เหมือนมีความในใจอะไรบางอย่าง เมื่อได้ยินคำถามของเย่ฉางชิงก็ได้สติขึ้นมา

“ท่านเย่ ท่านมิต้องเป็นกังวลหรอกเจ้าค่ะ ท่านปู่ของข้ามิมีทางเป็นอะไรแน่นอน อีกมินานก็คงจะกลับมาแล้วเจ้าค่ะ”

เยี่ยนปิงซินมองใบหน้าที่แฝงเอาไว้ด้วยรอยยิ้มของเย่ฉางชิงก็ชะงักไปเล็กน้อย ก่อนจะรีบตอบพร้อมส่ายหน้าไปมา

เย่ฉางชิงพยักหน้าให้ยิ้ม ๆ

ตอนนั้นเองเยี่ยนปิงซินที่จ้องมองใบหน้าคมคายทางด้านข้างของเย่ฉางชิง จึงเอ่ยถามอย่างนุ่มนวลว่า “ท่านเย่ ท่านอยู่ที่เมืองแห่งนี้มานานเท่าไรแล้วหรือเจ้าคะ ? ”

เย่ฉางชิงได้ยินเช่นนั้นก็มีสีหน้าครุ่นคิด ก่อนจะตอบไปว่า “ห้าปีกว่าได้แล้ว”

เยี่ยนปิงซินกะพริบตาคู่งาม แล้วถามต่อ “ท่านเคยคิดที่จะออกไปท่องเที่ยวที่อื่น หรือไปอยู่ที่อื่นบ้างหรือไม่เจ้าคะ”

‘หือ’

เย่ฉางชิงจมดิ่งอยู่ในภวังค์ความคิดของตัวเองทันที

ความจริงแล้วเขาเองก็คิดอยากจะออกไปเผชิญโลกภายนอกมานานแล้ว แต่ความสามารถของเขามันกลับมิเอื้ออำนวย

เพราะที่นี่คือโลกเซียนทุก ๆ ที่ต่างเต็มไปด้วยภยันอันตราย

หลังจากที่เขาบังเอิญโผล่มายังโลกเซียนแห่งนี้ ก็เหมือนถูกตัดสินให้รับโทษประหารเอาไว้แล้ว

ภายในไร้รากวิญญาณ นั่นจึงหมายความว่าชั่วชีวิตนี้เขามิสามารถบำเพ็ญเพียร และเป็นผู้แข็งแกร่งได้

ที่สำคัญที่สุดก็คือผู้ทะลุมิติเช่นเขา จนถึงวันนี้ยังมิสามารถปลุกดัชนีทองคำใด ๆ ให้ตื่นได้เลย

มิมีแหวนที่รู้ทุกสิ่ง ทั้งยังมิมีระบบโกง ๆ อีกด้วย

เช่นนั้นคำถามนี้ของเยี่ยนปิงซิน ช่างแทงใจดำของเขายิ่งนัก

ขณะนั้นเองเย่ฉางชิงที่นิ่งเงียบไป พลันมีประกายบางอย่างวาบผ่านดวงตา

ก่อนจะที่เขาจะถามกลับว่า “คุณหนูเยี่ยน ระหว่างทางที่เจ้ามาครานี้มิได้พบอันตรายใด ๆ ใช่หรือไม่ ? ”

‘อันตราย ? ’

เยี่ยนปิงซินชะงักไปเล็กน้อย ก่อนจะส่ายศีรษะพร้อมส่งยิ้มให้แก่เย่ฉางชิง “ระหว่างทางที่ข้าและท่านปู่เดินทางมา ได้พาทหารที่มีฝีมือดีมาคอยคุ้มกันด้วยสามสี่คนเจ้าค่ะ”

“อีกทั้งเมืองเสี่ยวฉือนั้นอยู่มิไกลจากเมืองชิงเหอ เพียงแค่ถึงเมืองชิงเหอ พวกเราก็สามารถใช้ค่ายกลห้วงเวลาไปโผล่ที่เมืองหลวงได้แล้ว สะดวกมากเลยเจ้าค่ะ”

เยี่ยนปิงซินตอบคำถามเย่ฉางชิงด้วยรอยยิ้มสดใส

‘ทหารที่มีฝีมือดี ! ’

‘ค่ายกลห้วงเวลาที่เมืองชิงเหอ ! ’

‘มีความหวังแล้วสิเรา ! ’

‘มิแน่ครานี้อาจจะได้ออกจากเมืองเสี่ยวฉือ ไปท่องโลกภายนอกได้แล้วน่ะสิ’

เย่ฉางชิงคิดถึงตรงนี้ใบหน้าหล่อเหลา พลันปรากฏรอยยิ้มขึ้นมาทันที

เวลานี้หากมิใช่เพราะเยี่ยนปิงซินอยู่ตรงนี้ เขาอยากจะร้องไห้ออกมาดัง ๆ แล้วหัวเราะอย่างสะใจสักหนึ่งก้านธูป

เย่ฉางชิงคิดได้เช่นนั้นจึงเอ่ยถามเยี่ยนปิงซินด้วยดวงตาเป็นประกาย “คุณหนูเยี่ยน ท่านอยู่ที่เมืองหลวงตั้งแต่เด็กจนโตเลยงั้นหรือ ? ”

เยี่ยนปิงซินตอบด้วยรอยยิ้มอ่อนโยน “ครอบครัวของข้าอยู่ที่เมืองหลวงมาโดยตลอด ข้าย่อมอยู่ที่เมืองหลวงตั้งแต่เด็กจนโตสิเจ้าคะ”

เย่ฉางชิงหัวเราะออกมา แล้วถามต่อ “เช่นนั้นคนในเมืองหลวงชื่นชอบตัวอักษรและภาพวาดหรือไม่ ? ”

“ต้องมีคนที่ชื่นชอบอยู่แล้วเจ้าค่ะ”

เยี่ยนปิงซินตอบออกไปตามความจริง “แคว้นต้าเยี่ยนให้ความสำคัญกับการศึกษา เช่นนั้นเมืองหลวงจึงมีโรงเรียนหลายแห่ง รวมทั้งมีบัณฑิตมากมาย พวกเขาต่างก็เป็นคนที่มีความรู้ความสามารถ ย่อมชื่นชอบสะสมภาพวาดเหล่านี้อยู่แล้วเจ้าค่ะ”

เยี่ยนปิงซินพูดถึงตรงนี้ จึงถามหยั่งเชิงเย่ฉางชิงว่า “ท่านเย่ เหมือนว่าท่านมิเคยไปเมืองหลวง ครานี้ท่านอยากจะไปอยู่เมืองหลวงกับพวกเราสักสามสี่วันดีหรือไม่เจ้าคะ ? ”

ได้ยินเช่นนั้นในใจของเย่ฉางชิงพลันเกิดความรู้สึกที่หลากหลาย อดมิได้ที่จะแสดงสีหน้าสับสนออกมา

เย่ฉางชิงค่อย ๆ สงบสติอารมณ์ลง ก่อนจะยิ้มออกมา “ในเมื่อเป็นเช่นนั้น ข้าจะไปเมืองหลวงกับพวกเจ้าสักสามสี่วันก็แล้วกัน”

เยี่ยนปิงซินนิ่งอึ้งไปทันที ก่อนจะยิ้มหวานออกมา “ท่านเย่ ท่านจะไปจริง ๆ หรือเจ้าคะ ? ”

เย่ฉางชิงมองเยี่ยนปิงซิน ก่อนจะพยักหน้าเบา ๆ พร้อมยกยิ้มออกมา

ตอนนั้นเองเมื่อเย่ฉางชิงมองขึ้นไปบนท้องนภา ก็พบว่าพระจันทร์ลอยเด่นส่องแสงสีเหลืองนวลออกมา อีกทั้งหมู่ดาวยังสุกสกาวยิ่งนัก

“พระจันทร์คืนนี้งดงามยิ่งนัก”

เย่ฉางชิงมุมปากหยักโค้งขึ้นน้อย ๆ เงยหน้าขึ้นมองท้องนภายามราตรี ก่อนจะทอดถอนใจออกมา

สิ้นเสียง เยี่ยนเทียนซานที่หายไปหลายชั่วยาม ในที่สุดก็กลับมา และได้ปรากฏตัวอยู่ที่ลานบ้านของเย่ฉางชิงแล้ว