ตอนที่ 62 ใครเป็นคนเกลียดชัง
พอดีกับที่บรรดานางรำพวกนั้นทำการร่ายรำจบลง เสียงเครื่องดนตรี ซอเอ้อหู ผีผา และขลุ่ยหยุดลง ในเวลานี้ทุกอย่างก็กลับมาเงียบกริบ
อันหลิงอีที่นั่งอยู่ด้านข้างของอันหลิงเกอที่เห็นสายตาที่หลงใหลของผู้คนรอบข้างจ้องมองมาทางอันหลิงเกอ พลันความริษยาภายในใจก็ปะทุขึ้นมาและส่งเสียงกรีดร้องอยู่ภายในใจของนาง
ในตอนนี้อันหลิงอีคิดเพียงว่าจะต้องทำให้อันหลิงเกอนั้นอับอายขายขี้หน้าให้ได้ ! ที่อันหลิงเกอบังอาจแย่งความสนใจของผู้คนไปจากนาง
งานเลี้ยงฤดูใบไม้ผลิในวังหลวงเป็นที่รู้โดยทั่วกันว่าแท้ที่จริงแล้วเป็นงานเลี้ยงที่บรรดาฮูหยินที่มีบุตรในวัยหนุ่มสาวจะให้ความสำคัญกับงานนี้มาก เพื่อจะมาดูว่ามีสตรีหรือชายใดเหมาะสมที่จะแต่งงานกับบุตรชายหรือบุตรสาวของตระกูลตนเองหรือไม่ แม้ว่าเรื่องนี้จะมิได้ระบุไว้อย่างชัดเจน แต่ทุกคนต่างก็รู้เรื่องนี้กันดี
เช่นเดียวกับที่อันหลิงอีจะรู้เรื่องนี้ดี ด้วยเหตุนี้นางจึงเกลียดอันหลิงเกออย่างมากที่แย่งความสนใจของผู้คนจากนางไป
เมื่อคิดได้เยี่ยงนี้ นางจึงเดินออกไปหยุดอยู่ต่อหน้าผู้คนมากมาย ทันทีที่การแสดงระบำจบและถอยกลับออกไป แล้วกล่าวออกมาว่าด้วยท่าที่สงบนิ่ง ยืดหลังตรง ดูสง่างามมิน้อย
“นางรำเหล่านี้ร่ายรำได้สวยงามยิ่งนักเพคะ หม่อมฉันก็มีการร่ายรำหนึ่งที่จะแสดงให้ฝ่าบาทได้ทอดพระเนตรด้วยเช่นกันเพคะ เพื่อเป็นการขอพระพรให้ราษฎรและต้าโจวมีความเจริญรุ่งเรืองและผาสุขเพคะ”
หลี่กุ้ยเฟยที่นั่งอยู่บนที่นั่งเมื่อเห็นอันหลิงอีกล่าวออกมาเยี่ยงนี้ นางก็ขยับเข้ามาใกล้ฮ่องเต้และกระซิบกระซาบข้างหูฮ่องเต้อยู่ชั่วขณะหนึ่ง มองดูแล้วคล้ายกับจะเป็นการแนะนำฮ่องเต้ให้รู้จักอันหลิงอี
หลังจากนั้นมินาน ฮ่องเต้ก็หัวเราะออกมาอย่างอารมณ์ดีและพยักหน้า
“ยากนักที่เจ้าจะมีใจเยี่ยงนี้ อนุญาต”
เมื่อฮ่องเต้ตรัสอนุญาต อันหลิงอีที่เตรียมตัวมาเกือบหนึ่งเดือนแล้ว โดยมีหลี่ซื่อยิ่งเพียรพยายามมากกว่าได้เชิญผู้เชี่ยวชาญที่มีชื่อเสียงจากทางใต้มาสอนอันหลิงอีเป็นการเฉพาะ เพียงเพื่อวันนี้
ให้อันหลิงอีเป็นจุดสนใจและทำให้ผู้คนในงานเลี้ยงตกตะลึง
นักดนตรีเหล่านั้นถูกจัดเตรียมไว้นานแล้ว เมื่อเห็นอันหลิงอีขึ้นมาก็รีบบรรเลงเสียงเพลงที่เตรียมไว้ในทันที
เมื่อเสียงเพลงเริ่มบรรเลงขึ้นมา อันหลิงอีก็เริ่มร่ายรำตามจังหวะเสียงเพลงทันที กางแขนออกและเงยศีรษะขึ้น เสื้อผ้าที่งดงามสะบัดพริ้วไหวไปตามการหมุนของนางราวกับผีเสื้อที่โบยบินผ่านท่ามกลางดอกไม้ เพียงแค่มองผู้คนก็เต็มอิ่มไปด้วยความสุข
เสียงเพลงค่อย ๆ ดังขึ้นเรื่อย ๆ ฝีเท้าของอันหลิงอีก็เร็วขึ้นตามจังหวะเพลง ดอกไม้ที่ลอยอยู่บนชายเสื้อก็กระจายขึ้นเป็นชั้น ๆ คล้ายดอกไม้กลุ่มใหญ่ สีแดง และสีม่วงที่งดงามและสูงส่ง ถึงกับแยกมิออกเลยว่าอันไหนเป็นเสื้อผ้าหรือดอกไม้จริงที่แท้กันแน่
นางสะบัดข้อมืออย่างคล่องแคล่วและฉับไว เงยใบหน้าที่งดงามหน้าขึ้น ระหว่างที่กระโปรงก็โบกสะบัด เผยให้เห็นดวงตาคู่หนึ่งที่ปราดเปรียวและเฉียบแหลมสวยงามรู้สึกตราตรึงใจมิรู้ลืม
ท่วงท่าร่ายรำเปลี่ยนแปลงไปตามจังหวะดนตรี มีบางครั้งที่อันหลิงอียกมือขึ้นเลิกคิ้ว และบางครั้งก็กระโดดขึ้นเบา ๆ เคลื่อนไหวอ่อนช้อยราวกับเมฆที่แผ่วเบาและหมุนวนราวกับเสียงฟ้าร้อง แขนเสื้อขาวสะอาดสะบัดแข็งแกร่ง เดินย่องเขย่าเบา ๆ
หลังจากการร่ายรำจบลง อันหลิงอีก็สูดหายใจเข้าลึก ๆ ปรับสีหน้าท่าทางและเปิดเผยรอยยิ้มออกมา จากนั้นก็คำนับฮ่องเต้ที่นั่งอยู่ในตำแหน่งที่สูงที่สุด
“หม่อมฉันแสดงฝีมือที่ต่ำต้อย ร่ายรำได้หยาบกระด้าง ขอฝ่าบาททรงโปรดอภัยด้วยเพคะ”
“ฮ่าฮ่าคิดมิถึงว่าทักษะการร่ายรำของคุณหนูอันที่อายุยังน้อยจะยอดเยี่ยมถึงเพียงนี้ ช่างหายากเสียจริง”
ฮ่องเต้หัวเราะเสียงดังอย่างมีความสุข
“ข้าเห็นทักษะการ่ายรำของเจ้าแล้ว มิแพ้เจินเอ๋อเลย”
ที่ฮ่องเต้เรียกขานเต็มปากเต็มคำว่าเจินเอ๋อร์แน่นอนว่าต้องเป็นหลี่กุ้ยเฟย
หลี่กุ้ยเฟยเมื่อได้ฟังคำตรัสของฮ่องเต้ก็แสร้งทำเป็นโกรธ
“อีเอ๋อเคยชินกับการร่ายรำมาตั้งแต่เด็ก ทักษะการร่ายรำนี้ก็ต้องดีกว่าหม่อมฉันมากเป็นธรรมดา
ฝ่าบาทเอาหม่อมฉันไปเปรียบเทียบกับอีเอ๋อ หม่อมฉันยอมมิได้นะเพคะ”
นางทำท่าทางออดอ้อนฮ่องเต้ราวกับมิมีฮองเฮาอยู่ด้านข้าง มองดูพระพักตร์ของฮองเฮาในตอนนี้ที่ยิ่งหม่นหมองลงเรื่อย ๆ
นัยน์ตาของหลี่กุ้ยเฟยก็ยิ่งภาคภูมิใจมากขึ้น พร้อมกับกล่าวเยาะเย้ยภายในใจ
ฮองเฮาแล้วไง ฮ่องเต้มิโปรดปราน ฮองเฮาก็ยังต้องกลืนฝืนทนต่อหน้านางอยู่ดีมิใช่หรอกรึ ?
คราวที่แล้ว ฮองเฮาเป็นเหตุให้นางต้องเสียหน้า วันนี้ในที่สุดนางก็สามารถเหยียบพระพักตร์ของฮองเฮาลงกับพื้นได้แล้ว !
เหตุใดฮองเฮาจะมิเข้าใจสายตาที่ท้าทายของหลี่กุ้ยเฟยที่ส่งมายังตน แต่ตอนนี้มันเป็นงานเลี้ยงในฤดูใบไม้ผลิในวังหลวง หากพระนางตำหนิหลี่กุ้ยเฟยก็จะทำให้ฮ่องเต้มิพอพระทัยเอาได้ เมื่อคิดถึงตรงนี้ ฮองเฮาจึงทำได้เพียงระงับความโกรธไว้ภายในใจ
แต่นางมิมีทางปล่อยหลี่กุ้ยเฟยไปง่าย ๆ เยี่ยงนี้เป็นแน่ เช่นนั้นฮองเฮาจึงตรัสออกมาว่า “คุณหนูอันช่างมีทักษะการร่ายรำที่ดียิ่งนัก แม้ว่าจะเป็นเพียงบุตรตรีอนุของจวนโหว แต่เห็นได้ชัดว่านางพยายามมาก มิต้องพูดถึงเลยว่าเก่งกว่าหลี่กุ้ยเฟยเพียงใด แต่ลีลาการร่ายระบำของนางเหล่านั้น ช่างเก่งกาจยิ่งนัก”
ประโยคนั้นของนางจงใจเอ่ยถึงสถานะบุตรีอนุของอันหลิงอี เพื่อให้บรรดาฮูหยินที่ดูการร่ายรำของอันหลิงอีที่กำลังคิดจะเชื่อมสัมพันธ์ได้รับรู้ฐานะของอันหลิงอี และได้ขจัดความคิดนั้นทิ้งไปทันที
ก็แค่บุตรสาวอนุคนหนึ่งเท่านั้น ต่อให้มีทักษะการระบำที่โดดเด่นเพียงใด แต่ก็มิสามารถเป็นภรรยาเอกของตระกูลใหญ่ได้ จึงมิมีความจำเป็นที่จะต้องเสียเวลาเสวนากับอันหลิงอีอีกต่อไป ?
ยิ่งไปกว่านั้น ฮูหยินเหล่านี้ก็มิได้โง่ เมื่อฟังฮองเฮากล่าวถึงอันหลิงอีแล้วนั้นก็รู้ทันทีว่าฮองเฮามิโปรดปรานอันหลิงอี
แม้ว่าอันหลิงอีจะเป็นหลานสาวของหลี่กุ้ยเฟย แต่ก็มีเพียงมิกี่คนที่อยากจะเข้ามาเชื่อมสัมพันธ์นี้ด้วย
อาการท้าทายที่หลี่กุ้ยเฟยกระทำต่อฮองเฮาให้ขุ่นเคืองใจ ก็คงมีแต่คนโง่เท่านั้นแหละที่จะทำเรื่องเยี่ยงนี้ออกมาได้
ใช่ว่าอันหลิงอีจะฟังมิออกว่า คำชมเชยที่ฮองเฮากล่าวมานั้นแท้จริงแล้วกลับแฝงไปด้วยคำเสียดสีและดูถูก แววตาคู่นั้นของนางเก็บซ่อนความโกรธเอาไว้ มือที่ห้อยอยู่ข้างกายกำแน่นและคลายออกทันที เพราะกังวลว่ามันจะตกไปอยู่ในสายตาของผู้คน ในตอนนี้ถึงทำได้เพียงกัดริมฝีปากระงับความขุ่นเคืองเอาไว้ในใจ จากนั้นโค้งคำนับต่อฮ่องเต้อย่างอ่อนช้อยและถอยกลับออกไป
เมื่ออันหลิงอีเป็นคนริเริ่ม ก็เป็นธรรมดาที่คุณหนูคนอื่น ๆ จะนั่งกันมิติดอีกต่อไปแล้ว มิว่าพวกนางจะต้องการเสาะหาว่าที่สามีหรือไม่ ตราบใดที่สามารถสร้างชื่อเสียงในงานเลี้ยงฤดูใบไม้ผลิได้ มันก็ถือว่าดีสำหรับตระกูลของพวกนาง
เมื่อเป็นเช่นนั้นคุณหนูจากจวนช่างชูก็ยืนขึ้นอย่างรวดเร็ว จากนั้นก็กล่าวคำอวยพรที่เป็นสิริมงคลแล้วเสร็จ ก็ได้รับคำชมจากฮองเฮาก่อนที่จะเริ่มแสดงความสามารถของตนเอง
คุณหนูจากจวนช่างชูเติบโตมาในครอบครัวบทกวี นางจึงคุ้นเคยกับพระคัมภีร์มาตั้งแต่เด็ก จึงเขียนอักษรออกมาได้สวยงามยิ่งนัก นางหยิบพู่กันขนพังพอนที่อยู่ด้านข้างขึ้นจุ่มหมึก จากนั้นตวัดข้อมือใช้พู่กันขนพังพอนขีดเขียนแม้แต่มังกรเห็นก็ยังต้องตกตะลึง
อันหลิงเกอเมื่อเห็นคุณหนูจากจวนช่างชูเขียนอักษรที่สวยงามนั้นขึ้นก็เกิดความสนใจ มองดูลายมือของคุณหนูจางว่านอีแห่งจวนช่างชู ลายมือของนางมิได้บอบบางเช่นสตรีสูงศักดิ์ทั่วไป ในทางกลับกันลายเส้นพู่กันดูแข็งแกร่งและอ่อนโยน เข้มแข็งและทรงพลังโดยแท้ ดูแล้วคมเข้มยิ่งกว่าบุรุษเขียนเสียอีก
หลังจากที่คุณหนูจากจวนช่างชูตวัดหมึกลงบนกระดาษขาวนวลราวกับหิมะก็ปรากฏตัวอักษรขนาดใหญ่ที่ทรงพลังและมีพลานุภาพสองสามคำ ที่มีความหมายว่า “ประเทศที่มีทิวทัศน์สวยงามวิจิตรตระการตา”
ฮ่องเต้ที่ประทับนั่งอยู่เมื่อเห็น พระพักต์ที่สง่างามมีรอยยิ้มที่กว้างมากขึ้นกว่าเดิม
“ดีดีดี ! นี่คือบุตรสาวของจางช่างชูสินะ พ่อพยัคฆ์มิมีลูกเป็นสุนัขจริง ๆ ฝีแปรงโฉบและเอนเอียง
ทั้งแข็งทั้งอ่อนโยน ราวกับเมฆเคลื่อนตัวและน้ำที่ไหลริน ถ้าบอกว่าเป็นนักเขียนพู่กันก็มิใช่การคาดหวังที่เกินจริง เกรงว่าน่าจะเป็นสตรีคนแรกในเมืองหลวงเลยก็ว่าได้”
เขาพูดคำว่าดีสามคำติดต่อกัน นั่นแสดงออกถึงความรู้สึกชมเชยต่อจางว่านอีเป็นอย่างมาก
แต่จางว่านอีนั้นยังมีท่าทางที่สงบเสงี่ยมและเจียมตัวเอามาก ๆ หลังจากได้รับคำชื่นชมจากฮ่องเต้เยี่ยงนี้แล้ว นางจึงโค้งคำนับต่อฮ่องเต้อย่างมิแข็งกร้าวจนดูเย่อหยิ่ง จากนั้นจึงถอยหลังกลับออกไปดั่งเช่นอันหลิงอี
การแสดงของบรรดาคุณหนูทำให้งานเลี้ยงในฤดูใบไม้ผลินั้นมีชีวิตชีวาขึ้นมาก แต่ละคนพากันทยอยขึ้นมาแสดงความสามารถของตัวเองบนเวที
เช่นเดียวกับอันหลิงเฉ่วที่เดินขึ้นมาบนเวทีอย่างเขินอาย แต่มิได้เริ่มการบรรเลงบทเพลงที่เตรียมไว้ในทันที แต่กลับหันมาส่งยิ้มให้อันหลิงเกอ แววตาแฝงไปด้วยความคิดชั่วร้าย แล้วกล่าวออกมาเสียงดังว่า “พี่หญิงบอกว่าจะมาร่วมบรรเลงเพลงกับข้า คงมิคิดจะเปลี่ยนใจในเวลานี้ใช่หรือไม่เจ้าคะ ? ”