ตอนที่ 63 ปั้นน้ำเป็นตัว

พลิกชะตาชายาสยบแค้น

ตอนที่ 63 ปั้นน้ำเป็นตัว

อันหลิงเกอที่นั่งอยู่ในที่นั่งของตัวเองเมื่อได้ฟังอันหลิงเฉ่วกล่าวออกมาเยี่ยงนั้น ก็เลิกคิ้วขึ้น และสบตาเข้ากับอันหลิงเฉ่ว มินานมุมปากของนางก็ยกยิ้มเยาะเย้ยขึ้น

ผู้คนก็ต่างคิดว่านางเสียแม่ไปตั้งแต่ยังเด็ก แม่นมที่อยู่ข้างกายก็แอบหักหลัง มีเพียงอี๋เหนียงที่มิจริงใจคนเดียวควบคุมดูแลหลังบ้านนี้เท่านั้น จะสามารถเรียนรู้ทักษะฝีมืออะไรมาแสดงได้ ?

อันหลิงเฉ่วคงคิดถึงจุดนี้เช่นกัน  ดังนั้นเวลานี้นางจึงวางกับดักรอให้ตนเองตกหลุมพรางช่างเป็นแผนการที่ล้ำลึกยิ่งนัก

ถ้าในตอนนี้ตนกล่าวขึ้นมาว่าในเวลานี้ว่ามิเคยสัญญาเรื่องที่ร่วมบรรเลงเพลงด้วยกันกับอันหลิงเฉ่วมาก่อน ผู้อื่นก็จะคิดกันไปได้ว่าพอเรื่องมาถึงตัวเองก็หลบหนีไปหน้าตาเฉย มิกล้าแสดงแม้แต่ความสามารถของตัวเอง แต่ถ้าตัวขึ้นไปแสดงบนเวทีโดยความโง่เขลาที่ตัวเองทำอันใดมิเป็นเลย

กลัวว่ามันจะกลายเป็นเรื่องตลกไปทั่วทั้งเมืองหลวงก็เป็นได้

เมื่อคิดตริตรองแผนการนี้ของอันหลิงเฉ่วอย่างถี่ถ้วนแล้ว อันหลิงเกอก็เข้าใจในทันที มิน่าล่ะหลายวันก่อนที่อันหลิงเฉ่วมักจะวิ่งมาที่เรือนของตนเอง  ที่แท้เวลานั้นได้วางกับดักไว้ให้ตนเองนานแล้ว แต่ตัวนางกลับมิรู้ตัว ในเวลานั้นที่อันหลิงเฉ่วเข้าตีสนิทกับนาง มิเพียงแต่มอบถุงเงินกลิ่นชะมดให้นางเท่านั้น แต่นางยังกล่าวด้วยคำพูดที่น่าเชื่อถืออีกด้วย

ทุกคนในจวนโหวมิได้สงสัยอันใดเกี่ยวกับแผนการนี้ของอันหลิงเฉ่ว เนื่องจากทั้งสองแค่เพียงได้พบกันก็สนิทสนมราวกับพี่สาวน้องสาวร่วมอุทร และทุกคนในจวนโหวต่างรู้ว่าคุณหนูใหญ่และคุณหนูรองมีความสนใจคล้ายกัน มันจึงมิใช่เรื่องแปลกที่จะบรรเลงบทเพลงร่วมกันสักเพลงในงานเลี้ยงนี้

แม้แต่ฮูหยินผู้เฒ่าก็มิคิดว่าคำกล่าวนี้อันหลิงเฉ่วกุเรื่องขึ้นมาโกหก และเป็นการจงใจทำให้อันหลิงเกออับอาย

หึ ! อายุยังน้อยแต่วางแผนได้ลึกซึ้งมากเสียจริง

ยิ่งอันหลิงเกอครุ่นคิดเรื่องที่ผ่านมามากเท่าใด ยิ่งรู้สึกว่าจิตใจของอันหลิงเฉ่วนั้นช่างน่ากลัวมากเสียจริง

แต่มิว่าจะเกิดอันใดขึ้น มันยังมีอันใดให้น่ากลัวยิ่งไปกว่าวิญญาณชั่วร้ายที่ถือกำเนิดขึ้นมาใหม่เยี่ยงตนอีกงั้นหรือ ?

อันหลิงเกอยืนขึ้นพร้อมกับสบสายตากับอันหลิงเฉ่ว  ทางด้านอันหลิงอีที่อยู่อีกด้านก็ยิ้มร้ายออกมาที่มุมปากเช่นกัน

อันหลิงอีเติบโตมากับอันหลิงเกอตั้งแต่ยังเล็ก ย่อมรู้ดีว่าแม่ของตนสั่งสอนอันหลิงเกอมาเยี่ยงไร

เดิมทีอันหลิงเกอก็มิได้เรียนรู้ฝึกฝนทักษะความสามารถอันใดมา วันนี้เมื่อนางถูกบังคับให้ขึ้นบนเวที จะต้องแสดงความอับอายขายขี้หน้าออกมาต่อน้าผู้คนเป็นแน่

เมื่อคิดได้เยี่ยงนี้ มิว่าอันหลิงอีจะรู้สึกภาคภูมิใจเพียงใด อยากจะส่งเสียงโห่ร้องให้อันหลิงเกออับอายเพียงใด ก็ต้องเก็บอาการนี้ไว้ภายในใจ มิอาจแสดงท่าทางเหล่านั้นออกมาได้

อันหลิงเกอยืนขึ้นอย่างเฉยเมยและเดินขึ้นไปบนเวทีอย่างมิเร่งรีบ

“เรื่องที่สัญญาไว้กับน้องรอง พี่มิมีทางลืมได้หรอก”

เมื่อกล่าวจบ นางก็นั่งลงข้าง ๆ อันหลิงเฉ่ว  ที่มีกู่เจิงและพิณผีผาที่งดงามอย่างละเครื่องวางอยู่ตรงเบื้องหน้าของพวกนาง 2 คน

อันหลิงเฉ่วหยิบพิณผีผาขึ้นมาด้วยรอยยิ้มเขินอาย ใบหน้าสวยที่ดูไร้เดียงสา ผู้ใดเล่าจะคิดว่ามีความคิดชั่วร้ายแอบแฝงอยู่ใต้ใบหน้าอันงดงามของนางได้ ?

อันหลิงเฉ่วเลือกบทเพลงชิ้นเอกที่ค่อนข้างยากมากเยี่ยง ‘เพลงหนีชางหวู่’ มิต้องกล่าวถึงคนที่มิเคยเรียนดนตรี แม้แต่คนที่ฝึกฝนกู่เจิงและพิณผีผามาสามถึงห้าปีก็อาจบรรเลงบทเพลงนี้ได้มิดีพอ

ถึงแม้ว่าอันหลิงเฉ่วจะเติบโตจากบ้านเก่า แต่ฮูหยินผู้เฒ่าก็มิเคยละเลยการอบรมสั่งสอนแก่นาง

แม้แต่ค่าอาหารการกิน เสื้อผ้าที่สวมใส่ทั้งหมดก็เป็นไปตามมาตรฐานสูงสุดของบุตรสาวภริยาเอกในเมืองหลวง ในแง่ทักษะความสามารถก็ยิ่งทุ่มเทพยายามให้เป็นอย่างมาก

เพลง ‘หนีชางหวู่’ นี้มิมีใครนำมาบรรเลงในงานเลี้ยงฤดูใบไม้ผลิมาหลายปีแล้ว มิมีเหตุผลอื่น แต่เพียงเพราะบทเพลงนี้ยากเกินไป มีมิกี่คนที่สามารถบรรเลงได้ ยิ่งคนที่บรรเลงได้อย่างไพเราะก็ยิ่งมีน้อย

วันนี้อันหลิงเฉ่วเลือกเพลงนี้เป็นเหตุให้ฮองเฮาที่นั่งตัวตรงอยู่บนที่นั่งบนสุดถึงกับเลิกคิ้ว อันหลิงเฉ่วรับรู้สึกได้ถึงสายตาของทุกคน และหันมองดูอันหลิงเกอที่นั่งอยู่ข้างนาง จากนั้นปลายนิ้วเรียวยาวขาวของนางวางอยู่บนสายเครื่องดนตรีแล้วขยับเบา ๆ เสียงที่ไพเราะและคมชัดก็ค่อย ๆ เปล่งเสียงออกมาจากพิณผีผา

ผู้รอบรู้สามารถค้นหาความจริงได้โดยที่มิต้องใช้ความพยายามมาก บรรดาฮูหยินและคุณหนูที่นั่งอยู่ที่นี่ล้วนมีพรสวรรค์ เป็นธรรมดาที่จะฟังฝีไม้ลายมือการดีดพิณผีผาที่ลึกซึ้งของอันหลิงเฉ่วออกเป็นอย่างดี

ปลายนิ้วของนางที่กรีดกรายดีดพิณผีผา ดีดโน้ตทีละตัวช้า ๆ และอ่อนโยน เป็นเหตุให้ใบหน้าของผู้คนที่ได้รับฟังเต็มไปด้วยความอบอุ่น ทันใดนั้นเสียงดนตรีก็เปลี่ยนเป็นฮึกเหิมตื่นเต้นขึ้นราวกับว่าทหารนับหมื่นนับพันออกสู้รบ โดยนักรบผู้กล้าบุกฝ่าทะลวงธารน้ำแข็งหิมะ ภูเขาแม่น้ำลำธาร

ทหารนับหมื่นคุมเชิงเข้าปะทะกันและเกิดศึกปะทุขึ้น กระตุ้นหัวใจของทุกคนที่ได้รับฟังให้ตื่นเต้น แต่เสียงกลับขาดห้วนหายไปอย่างฉับพลัน

พร้อมทั้งอันหลิงเกอยื่นมือออกมาเช่นกัน แล้วเริ่มใช้นิ้วที่ขาวเรียวของนางวางลงบนสายกู่เจิง นิ้วทั้งสิบสั่นไหวรวดเร็วจนทำเอาผู้คนเห็นการเคลื่อนไหวมิชัด ได้ยินเพียงเสียงกู่เจิงที่เร่าร้อนดังก้องเข้ามาในหูราวกับเกือกม้าที่กระทืบลงบนพื้น เสียงม้าร้อง เสียงคำรามของการต่อสู้ ดุจสายน้ำเชี่ยวกรากที่ไหลลงมาจากฟากฟ้ามิอาจหยุดยั้งลงได้

การเคลื่อนไหวของมือนางนั้นรวดเร็วว่องไว แต่ใบหน้าท่าทางของนางกลับดูผ่อนคลาย เห็นได้ชัดว่ามีความชำนาญยิ่งนัก ถึงได้สามารถบรรเลงท่วงทำนองที่ดุดันและโน๊ตเพลงสูงสุดในบทเพลงนี้ได้อย่างคล่องแคล่วและว่องไว

อันหลิงเฉ่วที่อยู่ด้านข้างมีสีหน้าเปลี่ยนไปเล็กน้อย เดิมทีนางต้องการให้อันหลิงเกอได้อับขายหน้าต่อหน้าผู้คน ไฉนใครจะคาดคิดว่าอันหลิงเกอจะมีระดับความสามารถสูงถึงเพียงนี้ หากนางมิพยายามอย่างเต็มที่ เกรงว่าถ้าอันหลิงเกอจะโดดเด่นเกินนาง นางจะกลายเป็นคนที่อับอายขายหน้าเสียเองมากกว่า

เมื่อภายในใจของอันหลิงเฉ่วรู้สึกกระวนกระวาย เป็นเหตุให้เมื่อเมื่อนางต้องดีดพิณอีกครั้ง ใจก็เริ่มเหม่อลอย มีเหงื่อไหลซึมออกมากที่หน้าผาก นิ้วมือดีดพิณผิดสายมั่วจังหวะไปหลายครั้งติดต่อกัน

แต่อันหลิงเกอกลับดีดประสานเสียงร่วมขึ้นมา ทำให้บรรเลงเพลงออกมาได้อย่างสมบูรณ์แบบ ยิ่งเป็นเหตุให้อันหลิงเฉ่วยิ่งดีดผิดพลาด พลันปลายนิ้วมือของอันหลิงเฉ่วก็ถูกสายพิณบาดจนมีเลือดไหลออกมา นางจึงจ้องมองไปที่เครื่องสายที่บาดบนนิ้ว จากนั้นริมฝีปากยังเปลี่ยนเป็นซีดเผือด

เนื่องด้วยนางตัวเล็กและน่ารักเกินไป ตอนนี้ใบหน้าที่ซีดเซียวก็ยิ่งดูน่าสงสารมากขึ้นไปอีก ฮองเฮาจึงทนดูให้นางอับอายมากไปกว่านี้มิได้  จึงเอ่ยปากเพื่อแก้หน้าให้นาง

“พิณผีผานี้มิค่อยดีนัก ทำคุณหนูอันบาดเจ็บแล้ว คุณหนูอันรีบไปทำแผลเถอะ”

อันหลิงเกอขอบพระทัยฮองเฮาอย่างสุภาพเรียบร้อย จากนั้นจึงพาอันหลิงเฉ่วกลับไปที่นั่งด้วยเป็นห่วงเป็นใย แววตาแฝงไปด้วยความเห็นอกเห็นใจ แล้วกล่าวออกมาว่า “น้องเฉ่วเอ๋อก็ประมาทเกินไป มันเป็นเพียงการแสดงในงานเลี้ยงฤดูใบไม้ผลิเท่านั้น บรรเลงเพลงสักเพลงก็พอแล้ว เหตุใดถึงทำให้ตัวเองบาดเจ็บได้ ? เห็นเจ้าบาดเจ็บเยี่ยงนี้ ท่านย่ากับอาสะใภ้สามจะเสียใจมากแค่ไหนกัน”

ทุกคำกล่าวของอันหลิงเกอดูเป็นห่วงเป็นใย เป็นเหตุให้ริมฝีปากของอันหลิงเฉ่วสั่นเทา  แต่ก็ยังคงฝืนยิ้มอย่างลำบากออกมาให้

“มันเป็นความประมาทของเฉ่วเอ๋อเองเจ้าค่ะ  จึงเป็นเหตุให้พี่หญิงอับอายแล้ว”

เมื่อนางกล่าวจบดวงตาก็แดงก่ำและมีน้ำตาไหลไหลรินออกมาจากดวงตา แต่นางพยายามอดกลั้นน้ำตาเอาไว้อย่างดื้อรั้นและน่าสงสาร

อันหลิงเกอหยิบผ้าเช็ดหน้าในมือออกมา ซับหน้าให้นางอย่างเบามือ

“ข้าจะโทษเจ้าเพราะเรื่องนี้ได้เยี่ยงไร เจ้าได้รับบาดเจ็บเพื่องานเลี้ยงหนึ่ง คุ้มหรือไม่  ต่อไปอย่าทำเรื่องโง่ ๆ เยี่ยงนี้อีกนะ”

เมื่อได้ฟังอันหลิงเกอกล่าวออกมาเยี่ยงนี้ อันหลิงเฉ่วได้แต่นึกคิดกับตัวเองในใจ

ต่อไปนางจะมิมีทางทำเรื่องโง่ๆ เยี่ยงนี้อีกแน่นอน !

เมื่อคิดได้เยี่ยงนั้น เป็นเห็นให้อันหลิงเฉ่วกำหมัดแน่นจนแขนซีดขาว จนปลายเล็บเจาะลึกเข้าไปในฝ่ามือ ครั้งนี้เป็นความผิดพลาดของนางเอง นางคิดมิถึงว่าอันหลิงเกอจะชำนาญการเล่นกู่เจิงสูงถึงเพียงนี้ ทำเอาตัวนางตื่นตระหนกจนได้รับความอับอาย แต่กลับทำให้อันหลิงเกอมีชื่อเสียงที่ดี !

ทางด้านอันหลิงอีที่มองดูอาการบาดเจ็บของอันหลิงเฉ่วก็รู้สึกมีความสุขขึ้นมา แต่เมื่อเห็นแววตาที่มู่ซื่อจื่อมองอันหลิงเกอด้วยรักและเสน่หา  ใบหน้าบอบบางที่งดงามของนางก็พลันหม่นหมองในทันที

หลี่ซื่อที่เห็นท่าทีของอันหลิงอี ก็ได้แต่ตบลงบนหลังมือของนางอย่างปลอบโยน และแอบขยิบตาให้นางกำนัลอย่างลับ ๆ

นางกำนัลผู้นั้นก็พยักหน้ารับ จากนั้นจึงยกไหไวน์เดินตรงเข้าไปหาอันหลิงเกอ