ตอนที่ 112 จัดหาเงิน

แม่สาวเข็มเงิน

ตอนที่ 112 จัดหาเงิน

เจียงป่าวชิงออกมาจากร้านยาของเกิ่งจื่อเจียงด้วยท่าทางผ่อนคลาย นางนึกถึงเรื่องที่จะซื้อรองเท้าให้เจียงหยุนชานขึ้นมาได้จึงเดินไปทางตลาดทันที

ผู้คนที่ขายรองเท้ามีมากอยู่พอประมาณ ส่วนใหญ่จะเป็นคนยากคนจนที่อายุมากแล้วและไม่ได้มีฝีมืออะไร จึงทำได้เพียงรับรองเท้าไม่กี่คู่มาขายเท่านั้น เจียงป่าวชิงนั่งยอง ๆ ตรงหน้าแผงขายของเล็ก ๆ ร้านหนึ่ง จากนั้นก็หยิบรองเท้าป่านผู้ชายสองสามคู่ที่ตั้งอยู่บนแผงขายของขึ้นมาดูอย่างละเอียด

เจ้าของแผงขายรองเท้าเป็นหญิงสาวที่ค่อนข้างเงียบ นางไม่ได้พูดส่งเสริมสินค้าตัวเองเหมือนกับร้านอื่น และดูเหมือนว่านางจะอายุยังไม่มากเท่าไหร่ สามสิบกว่าปีโดยประมาณ

เจียงป่าวชิงสังเกตเห็นว่าบนมือของหญิงสาวพันด้วยรังไหมเต็มไปหมด สีหน้าของนางก็เหมือนผ่านโลกมาโชกโชนแล้วทำนองนั้น

พื้นรองเท้าคู่ที่นางดูอยู่มีความหนาและละเอียดมาก ดูก็รู้ว่าใช้ฝีมือในการทำจริง ๆ นางรู้สึกใจสั่นเล็กน้อยขณะเลือกรองเท้าที่เหมาะสมกับขนาดเท้าของเจียงหยุนชานและถามเจ้าของแผงขายรองเท้า “รองเท้านี้ขายยังไงหรือเจ้าคะ ?”

เจ้าของแผงพูดขึ้นอย่างช้า ๆ “แล้วแต่เจ้าจะให้เลยจ้ะแม่หนู เสนอราคามาก็ได้…”

อันที่จริงเจียงป่าวชิงเองก็ไม่มีประสบการณ์อะไรมากนักเช่นกัน นางครุ่นคิดอยู่สักครู่ จากนั้นก็บอกราคาไปสิบสองสลึงโดยประมาณ

เจ้าของแผงสองจิตสองใจ คล้ายกับนางกำลังรู้สึกลังเลอย่างนั้นแหละ

เจียงป่าวชิงครุ่นคิดสักครู่ แล้วก็ให้ราคาที่สูงกว่าราคาเมื่อสักครู่สองสลึง เป็นสิบสี่สลึง ซึ่งนั่นทำให้สีหน้าของเจ้าของแผงขายรองเท้ามีความขวยเขินเล็กน้อย นางลังเลอยู่ครั้งแล้วครั้งเล่า สุดท้ายก็พูดออกมาจนได้ “สาวน้อย เจ้าเป็นคนดี เจ้าดูสิว่ายี่สิบสลึงได้หรือเปล่า ?”

ยี่สิบสลึง!

ราคานั้นแพงกว่ารองเท้าป่านทั่วไปแปดถึงเก้าสลึง แทบจะแพงกว่าหนึ่งเท่าอยู่แล้ว

เจียงป่าวชิงรู้สึกลังเลเช่นกัน  หากจะว่ากันตามตรง คุณภาพรองเท้าป่านของร้านแผงลอยนี้ไม่เลวเลยจริง ๆ และนางเองก็เตรียมใจไว้แล้วว่ามันอาจจะแพงกว่าแผงขายของร้านอื่นเล็กน้อย  แต่แพงกว่าห้าถึงหกสลึงเช่นนี้ มันดูเหมือนเพิ่งเริ่มตั้งราคาอย่างไรอย่างนั้น

เจ้าของแผงขายรองเท้าเห็นเจียงป่าวชิงมีสีหน้าลังเล นางจึงรีบพูดขึ้นมาอย่างร้อนรน “เอ่อ… สาวน้อย หากว่าไม่ได้จริง ๆ  สิบแปดสลึงล่ะเป็นอย่างไร ?”

เจียงป่าวชิงพลิกรองเท้าป่านไปมาในมือ จากนั้นก็มองพื้นรองเท้าอย่างละเอียดและพูดขึ้นเสียงเบา “ท่านน้าเจ้าคะ ฝีมือการทำรองเท้าของท่านดีมากจริงๆ รอยเย็บก็ละเอียดกว่าร้านอื่น แต่ก็ไม่สามารถเรียกราคาที่สูงแบบนี้ได้ มันแพงเกินไปเจ้าค่ะ”

เจ้าของแผงร้อนใจจนตาแดงก่ำ นางยกฝ่ามือขึ้นมาเช็ดตานิดหน่อย “สาวน้อย ข้าไม่ได้ตั้งใจจะขึ้นราคา แต่… แต่ที่บ้านข้าขาดเงินจริง ๆ  ด่วนมากด้วย…”

เจียงป่าวชิงไม่ได้พูดอะไร อันที่จริงนางก็ขาดเงินเหมือนกัน

ในสภาพสังคมเช่นนี้ โดยเฉพาะคนที่อาศัยอยู่ในภูเขาอย่างพวกเขาไม่ง่ายเลยที่จะบุกเบิกที่นา ใครกินข้าวโดยไม่พึ่งธรรมชาติกันบ้างล่ะ ? ช่วงนี้ก็ประสบภัยพิบัติอย่างต่อเนื่องอีกด้วย ทุกครัวเรือนล้วนไม่ง่ายเลยจริง ๆ

เมื่อเจ้าของแผงขายรองเท้าเห็นเจียงป่าวชิงไม่พูดอะไร นางก็กัดฟันอย่างสิ้นหวัง “สิบหกสลึง สาวน้อย ต่อไม่ได้แล้วจริง ๆ แพงกว่าราคาที่เจ้าเสนอมาสองสลึงก็แล้วกัน” เสียงนางสะอื้นเล็กน้อยขณะที่พูดต่อ “เด็กที่บ้านไปหาเรื่องคนที่ไม่ควรหาเรื่องเข้า นี่ข้าก็กำลังสมทบเงินเพื่อไปไกล่เกลี่ยให้เขาอยู่น่ะ”

ความสิ้นหวังในดวงตาของนางหนาราวกับผนังบ้าน

เจียงป่าวชิงนั่งยอง ๆ  เงินสองสลึงนี้ สำหรับนางแล้วอาจไม่ได้เกี่ยวกับชีวิตของนางมากนัก และมันก็อาจจะไม่ได้มีผลใด ๆ กับเจ้าของแผงขายรองเท้าเช่นกัน แต่ไม่แน่มันก็อาจจะสามารถทำให้ความสิ้นหวังในดวงตาของนางลดน้อยลงก็ได้

เจียงป่าวชิงพยักหน้า จากนั้นก็หยิบรองเท้าที่ขนาดพอดีมาสองคู่และทำการจ่ายเงิน

เจ้าของแผงขอบคุณเจียงป่าวชิงจากใจจริง จากนั้นก็หยิบถุงผ้าเล็ก ๆ ที่ค่อนข้างชำรุดออกมาจากในอ้อมอกอย่างระมัดระวัง และใส่เงินสามสิบสลึงลงไปในถุงผ้าใบนั้น

ทว่าทันใดนั้นเอง มีเสียงเอะอะโวยวายผสมไปกับเสียงก่นด่าดังขึ้นจากตรงปากทางตลาด เมื่อเจ้าของแผงขายรองเท้าเห็น สีหน้าของนางก็ขาวซีดทันที

เจียงป่าวชิงมองตามไปก็เห็นเจ้าหน้าที่ของหน่วยงานราชการสองสามคนกำลังเก็บภาษีกับเจ้าของแผงลอยต่าง ๆ อย่างทะนงองอาจ  พวกเขาถีบแผงขายของนี้บ้าง หยิบผลไม้สามถึงห้าลูกจากแผงขายของนั้นบ้าง แผงขายของที่เจ้าหน้าที่เดินผ่านไม่มีแผงใดเลยที่จะโชดดีรอดพ้นไป

ถ้าหากว่าเจอเจ้าของแผงขายที่ไม่ให้ความร่วมมือในการจ่ายเงิน พวกเจ้าหน้าที่ก็จะลงมือพังแผงขายของนั้นทันที บางครั้ง แม้แต่คนก็ยังถูกพวกเขาใช้กำลังตบตีด้วย

เพราะเหตุนี้ เจ้าของแผงขายของต่าง ๆ ส่วนใหญ่จึงเลือกที่จะจ่ายเงินไปตรง ๆ ถือว่าเป็นการเสียเงินเพื่อหลีกเลี่ยงเคราะห์ร้ายทำนองนั้น

เจ้าของแผงขายรองเท้าตัวสั่นน้อย ๆ  นางกำบริเวณที่ใส่ถุงผ้าตรงหน้าอกไว้แน่น และพูดพึมพำอย่างสิ้นหวังว่า “พวกมาเก็บค่าแผงอีกแล้ว… ก็เห็นอยู่ว่าเคยเก็บไปแล้วก่อนหน้านี้ มาถี่แท้ ๆ”

เจียงป่าวชิงก็รู้สึกแปลกใจเช่นกัน นางเคยมาที่ตลาดนี้แล้วสองสามครั้ง นี่เป็นครั้งแรกที่นางเห็นเหตุการณ์เช่นนี้ “เดี๋ยวก่อนนะท่านน้า พวกเจ้าหน้าที่เก็บสองครั้งมาตลอดเลยรึ ?”

“อื้ม เพิ่งเริ่มเมื่อไม่กี่วันก่อนนี่เอง” เจ้าของแผงอีกคนที่อยู่ข้าง ๆ ทั้งอึดอัดใจและกลุ้มใจ เขาจึงพูดบ่นเสียงเบา “ได้ยินมาว่าขุนนางยศใหญ่กว่าขุนนางอำเภอใกล้จะฉลองวันเกิดแล้ว ขุนนางอำเภอจึงถือโอกาสใช้นามขุนนางผู้ซื่อสัตย์ที่กตัญญูมาขูดเลือดขูดเนื้อประชาชน… ร้านแผงลอยทุกร้านจะต้องจ่ายค่าภาษีสองครั้ง ครั้งหนึ่งคือค่าภาษีแผงลอย  อีกครั้งคือค่าภาษีวันเกิด”

ถึงแม้ว่าจะบ่นเช่นนี้ แต่ตอนที่เจ้าหน้าที่เดินมา เจ้าของแผงขายของคนนั้นก็ยังจ่ายเงินไปตรง ๆ อยู่ดี

จนมาถึงทีของเจ้าของแผงขายรองเท้า นางน้ำตาคลอเบ้า จากนั้นก็ล้วงถุงผ้าออกมาอย่างหวาดกลัว ซึ่งสองมือของนางกำลังสั่นเทา

“เร็วเข้า เอ็งอย่ามัวอย่าชักช้า!” พวกเจ้าหน้าที่พูดเร่งอย่างหงุดหงิด

เจ้าของแผงขายรองเท้ารวบรวมความกล้าแล้วเอ่ยถามอย่างเยิ่นเย้อ “พวกท่าน ลูก… ลูกชายข้ากำลังรอเงินสมทบจากข้าอยู่ ข้าไม่มีเงินจริง ๆ ขอเลื่อนออกไปก่อนได้หรือไม่ ?”

“ขอเลื่อนรึ ?!” หนึ่งในเจ้าหน้าที่ด่าขึ้นมา “วันเกิดของท่านผู้ใหญ่เบื้องบนสามารถเลื่อนได้หรืออย่างไร ? แค่ทองแดงไม่กี่แผ่นยังไม่ยอมจ่าย ข้าว่าเจ้ากำลังดูถูกราชสำนักเสียมากกว่า”

เจ้าหน้าที่พูดเสร็จ เขาก็พลิกแผงขายรองเท้าบนพื้นของเจ้าของแผงทันที

เจ้าของแผงขายรองเท้ารีบล้วงเงินออกมาจากอ้อมอกด้วยเนื้อตัวที่สั่นเทา ตอนที่นางส่งทองแดงให้ด้วยมือทั้งสองข้าง นางก็ตัวสั่นจนแทบไม่เป็นผู้เป็นคน

เจ้าหน้าที่แย่งทองแดงไปด้วยความหงุดหงิด จากนั้นก็ถ่มน้ำลายลงพื้น “เป็นเพราะพวกเจ้าไม่ให้ความร่วมมือ พวกข้าจึงต้องลำบากในการเก็บภาษีแบบนี้อย่างไรเล่า!”

พวกเจ้าหน้าที่เดินไปเก็บภาษีต่อแล้ว แต่เจ้าของแผงขายรองเท้ากลับหมอบลงกับพื้นและร้องไห้ยกใหญ่อยู่อย่างนั้น

เจียงป่าวชิงช่วยเจ้าของแผงขายรองเท้าเก็บแผงขายที่พลิกคว่ำอย่างเงียบ ๆ เจ้าของแผงที่ขายผักอยู่ข้าง ๆ ก็พูดกล่อมนาง “พอเถอะ เจ้าไม่ต้องร้องแล้ว พอผ่านวันเกิดของท่านผู้นั้นไปก็ดีขึ้นแล้วล่ะ”

เจ้าของแผงขายรองเท้าเงยหน้าขึ้นมาด้วยใบหน้าที่เต็มไปด้วยความสิ้นหวัง “แต่ลูกชายของข้ารอไม่ได้แล้ว… ถ้ารู้ว่าจะเป็นเช่นนี้ เขาก็คงจะไม่พูดแทนเพื่อนร่วมชั้นของเขาคนนั้นแล้ว ตอนนี้เพื่อนคนนั้นก็ลาออกไปแล้ว ลูกชายของข้าพูดแทนเขาแค่คำเดียว ตอนนี้กลับ… ฮือ ๆ”

เจ้าของแผงขายรองเท้าสะอึกสะอื้น

เจียงป่าวชิงชะงักไปทันที นางเอ่ยถามเจ้าของแผงขาย “ท่านน้าเจ้าคะ เกิดอะไรขึ้นกับลูกชายของท่านน้าหรือเจ้าคะ ?”

เจ้าของแผงรู้สึกขมขื่นในใจเป็นอย่างยิ่ง แม้ว่าจะมีคนให้ตนเองระบายความใจใจแค่คนเดียวก็ถือว่าได้แล้วแต่นางก็ยังรู้สึกเศร้า  นางหยิบแขนเสื้อขึ้นมาเช็ดน้ำตา เวลานี้ความโชกโชนบนใบหน้าก็ปกปิดความเศร้าโศกในดวงตาไม่มิดเสียแล้ว นางถอนหายใจเบา ๆ “เฮ้อ… ลูกชายของข้าสอบเข้าไปเป็นนักเรียนที่โรงเรียนในอำเภอได้ แต่พวกลูก ๆ ของขุนนางชั้นสูงในโรงเรียนกลับไม่ชอบเด็กยากจนที่สอบเข้ามาได้อย่างพวกเขา จึงมักจะรังแกพวกเขาอยู่บ่อยครั้ง ลูกชายข้าดีหน่อยที่การเรียนกลาง ๆ ไม่ได้เป็นที่สนใจอะไรมาก  โดยปกติพวกลูก ๆ ของขุนนางชั้นสูงจะจับเด็กยากจนแซ่เจียงที่สอบได้ที่หนึ่งมารังแก แต่ต่อมาเด็กคนนั้นกลับทนไม่ไหวที่โดนรังแกจึงลาออกไปแล้ว ไม่รู้ว่าพวกลูก ๆ ของขุนนางชั้นสูงไปฟังใครพูดมาถึงรู้ว่าลูกชายข้าเป็นคนไปขอร้องครูแทนเด็กคนนั้น พวกเขาจึงมาจับตัวลูกชายข้าไป”

ใบหน้าของเจ้าของแผงขายรองเท้าเต็มไปด้วยความสิ้นหวัง “เห็นคนเขาบอกกันว่าลูกชายข้าถูกจับตัวไปขังไม่ให้กินข้าวดื่มน้ำ นี่ก็สองวันแล้ว ไม่รู้ว่าจะเกิดอะไรขึ้นกับลูกชายข้าบ้าง ข้าต้องจ่ายเงินสมทบเพื่อนำไปไกล่เกลี่ยให้ลูกชายข้า…” นางป้องใบหน้าและร้องไห้ “ฮืออออ… ข้าควรทำอย่างไรดี หรือว่าต้องตัดเนื้อของข้าไปขายอย่างนั้นหรือไร ?”

.