ซ่งฝูเซิงค่อยๆ ใช้กิ่งไม้ขุดเห็ดมัตสึตาเกะที่เหลืออย่างระมัดระวัง เขากลัวรากของเห็ดจะเสียหาย

เฉียนเพ่ยอิงนำหญ้ากับใบไม้วางรองไว้ที่ด้านล่างของตะกร้า ก่อนที่นางจะรับมาใส่ลงในตะกร้า

ท่านย่าหม่ามองดูอยู่ด้านข้าง “ลูกสาม เจ้าสิ่งนี้ราคาแพงไหม?”

ซ่งฝูเซิงพยักหน้า

“แพงขนาดไหน?”

“ลูกสนครึ่งกิโลราคา เจ็ดสิบถึงแปดสิบอีแปะ ขายห้าถึงหกกิโล จะได้เงินมากกว่าหนึ่งตำลึงเงิน ถ้ามีสภาพดีหน่อย สามารถขายได้ในราคาหนึ่งตำลึงต่อครึ่งกิโล”

ถึงแม้จะเตรียมใจไว้อย่างดีแล้ว แต่ท่านย่าหม่าก็ต้องสูดลมหายใจเข้าลึกๆ นางขมวดคิ้วถามอีกครั้ง “ไม่ต้องตากแห้ง ขายทั้งที่ชื้นๆ แบบนี้?”

ซ่งฝูเซิงพยักหน้า

ต้าหลังที่ยืนอยู่ข้างๆ ก็ถึงกับสูดลมหายใจเข้าลึก เห็ดจะมีค่าขนาดนี้ได้อย่างไรกัน ทำไมถึงแพงกว่าเนื้อสัตว์อีก เห็ดนี่มีอะไรพิเศษหรือ?

ถ้าเช่นนั้น? เมื่อครู่ที่พั่งยาขุดเห็ดออกมาถูกเขาเหยียบจนเละ เขาทำให้สูญเสียเงินไปจำนวนไม่น้อย?

“พูดไปพวกเจ้าอาจไม่เชื่อ นี่เป็นเห็ดที่ใช้รักษาโรคได้ ส่วนใหญ่ขายในร้านขายยา ห้าถึงหกปีจึงจะออกดอกมาครั้งหนึ่ง ในห้าถึงหกปีนี้ ชีวิตคนเราเพิ่งจะใช้ชีวิตไม่กี่รอบปี มันจะไม่ให้แพงได้อย่างไร?”

โอ้ ไม่น่าแปลกใจ ครั้งนี้ทุกคนได้ฟังคำพูดของซ่งฝูเซิงก็เข้าใจอย่างชัดเจน ป่วย แต่มีใครบ้างที่กล้ารักษา? เพราะเมื่อไหร่ก็ตามสิ่งของนั้นเข้าไปอยู่ในร้านขายยา มันจะถูกกำหนดราคาให้แพง

เมื่อท่านย่าหม่าฟังจบก็คิดซ้ำไปซ้ำมาอยู่ในใจ หนึ่งตำลึง หนึ่งตำลึง

นางมองไปรอบๆ โน้มตัวลงหยิบกิ่งไม้ก่อนจะเดินไกลออกไป

ป้าใหญ่ของซ่งฝูเซิงก็ว่องไวเช่นกัน นางเดินตามหลังท่านย่าหม่าไป เสมือนคำพูดที่ว่า ‘คนที่รู้จักเจ้าดีที่สุดก็คือศัตรู’

ท่านยายหวังกับท่านยายกัวค่อนข้างช้าหน่อยเพราะยังต้องเก็บลูกสน แกะเอาถั่วเมล็ดสนออกมาและค่อยหาเห็ด หาเห็ดจำนวนมาก โอ้ แม่เจ้า ราคาหนึ่งตำลึง เก็บให้เต็มหลายตะกร้าก่อน เมื่อกลับไปตั้งถิ่นฐานก็สามารถปลูกบ้านได้แล้ว

ซ่งฝูเซิงต้องยอมพวกคนสูงอายุทั้งหลายเลยจริงๆ ที่พูดอะไรนิดหน่อยก็หลงเชื่อแล้ว เขาตะโกนตามหลังพวกนาง “อย่าเดินออกไปไกลนัก”

เฉียนเพ่ยอิงพูดเสริมขึ้นมา “ไม่น่าจะมีเหลือเยอะแล้ว ถ้าหาไม่เจอก็กลับมาเถอะ มันขึ้นอยู่ใต้รากของต้นไม้ อากาศอันหนาวเย็น นี่เป็นช่วงพอดีกับที่ใบสนร่วงหล่นลงมาปกคลุมไว้ถึงจะมี”

แต่ไม่มีใครฟังนางพูด

บางครั้งต้องใช้คำพูดโบราณที่คิดไปเองของใต้เท้าสวีผู้ดูแลประตูเมืองว่า เรื่องโชคลาภวาสนานี้ ใครจะสามารถบอกได้อย่างชัดเจน

ท่านย่าหม่ากับพรรคพวกของนางต่างก้มวนหานานอยู่หลายรอบ ถ้าเดินไกลออกไปอีกก็จะอยู่ห่างจากสายตาของทุกคน พวกนางก็ไม่กล้าเดินลึกเข้าไป เพราะกลัวว่าจะถูกสัตว์ป่าลากไปเป็นเหยื่อ ตอนนี้พวกนางจึงหาเห็ดไม่เจอแม้แต่ดอกเดียว

ซ่งฝูหลิงเดินไปรอบๆ ก็พบว่ามันอยู่ใต้ต้นไม้ที่ซื่อจ้วงกำลังปีนอยู่

สิ่งที่น่าโมโหที่สุดก็คือ เฉียนหมี่โซ่วมาแล้ว “พี่สาว เห็ดมัตสึตาเกะหน้าตาเป็นอย่างไร? ซ่วนเหมียวจื่อบอกว่าสามารถขายได้เงินเยอะ ถ้างั้นหมี่โซ่วช่วยท่านหา”

ซ่งฝูหลิงชี้ไปที่ตะกร้า หมี่โซ่วนั่งยองๆ อยู่ข้างตะกร้าแล้วมองดูเห็ดที่มีจุดเล็กๆ อยู่ด้านบน “อ้อ จำได้แล้ว”

ผ่านไปครู่หนึ่ง ใต้ต้นไม้ใหญ่ตรงหัวมุม เฉียนหมี่โซ่วก็โบกมือเรียก “พี่สาว ท่านมาดูตรงนี้สิ ใช่สิ่งนี้ไหม?”

พวกท่านย่าหม่ามาถึงก่อนก็โน้มตัวดู โอ้ แม่เจ้า มีเป็นกอง ไม่ใช่สิ เมื่อครู่นี้พวกนางเพิ่งจะเดินผ่านไป ทำไมถึงมองไม่เห็น

ซ่งฝูเซิงเพิ่งจะมาถึง เขาถอนหายใจ “เฉียนหมี่โซ่วมีชื่อเสียงสมคำร่ำลือเสียจริง”

สถานการณ์ที่คล้ายคลึงกันแบบนี้เกิดขึ้นถึงสามครั้งติดต่อกัน

เมื่อสถานการณ์เกิดขึ้นในครั้งแรก ท่านย่าหม่ายังรู้สึกว่าอาจเป็นเพราะพวกนางยังหากันไม่รอบคอบ

ครั้งที่สอง ท่านย่าหม่าเริ่มครุ่นคิดในใจว่า พวกนางอายุมากแล้วคงไม่มีวาสนา ถ้างั้นก็เปลี่ยนมาให้คนอายุน้อยค้นหาแล้วกัน

นางไม่ให้ต้ายากับเอ้อร์ยาเก็บลูกสน แต่ให้ซ่งจินเป่าไปเก็บแทน ส่วนท่านยายหวังก็ให้ซ่วนเหมียวจื่อเป็นคนเก็บ เพราะซ่วนเหมียวจื่อเคยโดนงูเขียวกัดแต่ไม่เป็นไร น่าจะเป็นคนที่มีโชควาสนามากกว่าใคร

แต่เด็กเหล่านี้เดินวนหาเกือบครึ่งป่าก็เก็บได้แค่เห็ดธรรมดาส่วนหนึ่ง ไม่มีเห็ดมัตสึตาเกะ

ซ่งฝูเซิงพูดอย่างจนปัญญา “บอกกับพวกเจ้าไปแล้ว ถ้าเป็นใบยาวแบบนั้นจะมีราคาหรือ? นั่นก็เป็นหญ้าแล้ว เห็ดธรรมดาก็ไม่คุ้มค่า รีบทำงานเถอะ อย่ามัวเสียเวลาอยู่ที่นี่อีกเลย เห็ดมัตสึตาเกะมีไม่มาก”

เมื่อซ่งฝูเซิงพูดจบ เฉียนหมี่โซ่วก็ชี้ไปที่โคนต้นไม้นั้น “ท่านลุงดูนั่นสิ ใต้ต้นไม้นั่นใช่ไหม? มีเป็นกองเลย”

ซ่งฝูเซิง “…”

ครั้งที่สาม พี่น้องทั้งสองคน คนหนึ่งอยู่ทางใต้กับอีกคนหนึ่งอยู่ทางเหนือ พวกเขาอยู่ใต้ต้นไม้ ตะโกนออกมาพร้อมกัน “ท่านพ่อ/ ท่านลุง ข้าเจออีกแล้ว”

ท่านย่าหม่าถึงกับต้องยอมรับความจริง

นางใช้ท่อนไม้หนาทุบลูกสนที่เติบโตเต็มที่จนมีสีน้ำตาล ทุบอยู่หลายครั้งจนถั่วเมล็ดสนหลุดและหล่นออกมามากมาย นางทำไปพร้อมกับคอยสังเกตหมี่โซ่วไปด้วย ทำให้หมี่โซ่วรู้สึกแปลกๆ จนต้องเดินอ้อมหลังนางออกไป

ท่านย่าหม่าคิดในใจ สมแล้วที่แซ่เฉียน รวมทั้งพั่งยา สมกับเป็นคนตระกูลเฉียน

ในเวลานี้ก็มีเสียงอุทานดังขึ้น มองไปเห็นซื่อจ้วงที่ขี้เกียจขึ้นลงต้นไม้ใหม่ เขาจึงกระโดดจากต้นไม้ต้นนี้ ไปสู่ต้นไม้อีกต้นหนึ่งที่อยู่ถัดไป

ซ่งฝูหลิงยังคงตกตะลึง เล็บมือเต็มไปด้วยโคลน นางใช้มือเล็กๆ บังแสงจากดวงอาทิตย์ มองขึ้นไปด้านบน

ในเวลานี้ไม่ได้มีเพียงแค่ซื่อจ้วงที่อยู่บนต้นไม้เท่านั้น นางก้มลงเก็บเห็ดได้สักพักก็มีคนขึ้นไปอยู่บนต้นสนสามสิบกว่าต้นแล้ว เกาเถี่ยโถวกับพวกพี่ต้าหลังก็อยู่ข้างบนกันทั้งหมด บางคนมีเชือกผูกกับตัว แต่ก็มีบางคนที่ไม่ได้ผูกเชือกไว้กับตัวเพราะเชือกมีไม่พอ

และยังมีสิบกว่าคนที่กำลังปีนขึ้นไป ถึงแม้ปีนขึ้นไปแล้วจะเหยียบพลาดร่วงหล่นลงมา แต่พวกเขาก็ไม่ยอมแพ้ ยังคงปีนต่อไป แม้จะเหนื่อยจนเหงื่อไหลท่วมตัว

พ่อของนางปีนต้นไม้ไปได้ครึ่งทาง ได้ยินน้ำเสียงคำพูดของเขาก็รู้ว่าเหนื่อยมาก เขาบอกว่าไม่มีตะขอเกี่ยวเท้าสำหรับไว้ใช้ปีนต้นไม้ ทำให้ยิ่งเสียเวลาในการปีนมากขึ้น

แต่สำหรับคนบางกลุ่มที่มีอายุประมาณสามสิบถึงสี่สิบปี หรือมีบาดแผลที่ไหล่แต่ยังไม่หายดี พวกเขาก็ยังมีวิธีการในการเก็บลูกสน

พวกเขาใช้กิ่งไม้ยาวที่อยู่ในมือตีลูกสนที่แก่เต็มที่บนต้นสนให้ร่วงลงมาที่พื้น

ต้นสนที่อยู่ตรงหน้ามีความสูงเท่าไรน่ะหรือ จากการสังเกตด้วยสายตาของซ่งฝูหลิง ต้นสนที่เตี้ยที่สุดนั้นเทียบเท่ากับความสูงของอาคารสมัยใหม่ประมาณสามถึงสี่ชั้น ส่วนใหญ่ต้นสนทั้งหมดจะสูงเทียบเท่ากับความสูงของอาคารสมัยใหม่ประมาณห้าถึงสิบชั้น

เมื่อต้นสนมีความสูงเทียบเท่ากับอาคารสิบชั้น จะมีลำต้นหนาเกินกว่าจะโอบรั้งไว้ได้ สองมือโอบก็ไม่อยู่ อยากจะปีนขึ้นไปนั้นแทบจะเป็นไปไม่ได้

ในยุคปัจจุบันซ่งฝูหลิงเคยเห็นช่างทาสีอยู่นอกตัวอาคาร บรรดาช่างเหล่านั้นนั่งอยู่บนวัตถุที่เหมือนถังน้ำพร้อมถือแปรงในมือ ทุกครั้งที่นางเดินผ่านไป ถ้าช่างทาสีลงมาอย่างไวจะทำให้นางตกใจ ตื่นตระหนกแทนผู้อื่น

ภาพที่ปรากฏอยู่ตรงหน้าไม่ใช่ยุคปัจจุบัน ไม่ได้มีอุปกรณ์ป้องกันอันตรายมากมาย พวกเขาปีนขึ้นต้นไม้นับว่าเสี่ยงอันตรายมากกว่าการทาสีภายนอกอาคารเสียอีก

ท่านย่าหม่าทุบลูกสนจนได้ถั่วเมล็ดสนหนึ่งถุง นางก็ตบเอวที่ปวดเมื่อยก่อนจะรับลูกสนมาอีกถุงหนึ่ง นางเห็นหลานสาวคนเล็กยืนนิ่งอยู่ตรงนั้น “คิดอะไรอยู่ ไม่ทำงาน”

“ท่านย่า” สายตาของซ่งฝูหลิงยังคงมองคนสูงวัย ผู้หญิง เด็ก รวมถึงแม่ของนางที่คอยก้มเก็บลูกสน

“ท่านย่า ทุกคนยอมเสี่ยงชีวิตเพื่อปีนต้นสน ตีลูกสนห้ากิโลให้ตกลงมา คนด้านล่างคอยเก็บลูกสนห้ากิโลและใช้ไม้เคาะทีละอันเพื่อเอาถั่วเมล็ดสนออกมา ลูกสนห้ากิโลเพิ่งจะถั่วเมล็ดสนแค่ครึ่งกิโล ครึ่งกิโลสามารถขายได้เจ็ดถึงแปดอีแปะ”

“ใช่แล้ว ข้าคำนวณออกมาก่อนหน้านี้แล้ว ไม่ต้องให้เจ้ามาสอนข้า ก็เหมือนกับครอบครัวเรายี่สิบกว่าคนที่ต้องใช้เงินเจ็ดถึงแปดอีแปะซื้ออาหารแห้ง คนหนึ่งสามารถกินปัวปัวได้หนึ่งอัน”

“ข้าแค่อยากจะบอกว่า ข้าไม่เคยคิดมาก่อนว่าการหาเงินจะยากลำบากถึงเพียงนี้”

“โอ้ สวรรค์ เจ้าจะมาทำงานได้แล้วหรือยัง หรือไม่เจ้าก็ออกไปหาเห็ดอีกรอบเถอะ อย่ามายืนนิ่งอยู่ตรงนี้…

…แค่นี้ยังยากอีกหรือ? มันยากตรงไหนกัน?…

…เจ้ารู้ไหมว่ามีคนอีกเท่าไรที่อยากจะมีช่วงเวลาที่ยากลำบากแบบนี้ เขาไม่ได้โชคดีเหมือนกับพวกเราหรอกนะ…

…คนเราน่ะ กลัวเหนื่อยที่จะหาเงินหรือต้องเสียแรงเปล่าแต่ไม่สามารถหาเงินได้ เจ้าลองเปรียบเทียบกับคนพวกนั้นดู”

“ท่านย่า ท่านไม่เข้าใจ ข้าหมายถึง…”

“เก็บความหมายของเจ้าไว้ มาทำงานนี่ซะ อย่าขี้เกียจ”