บทที่ 118 ข่าวลือ

ห้วงเวลาบุปผาผลิบาน

คำพูดนี้ฟังดูเหมือนไม่มีอะไร แต่เผยเยี่ยนเป็นคนนิสัยอย่างไร? มีหรือจะลังเลยามที่ตอบกลับนางได้?

อวี้ถังเกิดความฉงนในใจ คิดว่าคำพูดนี้ของเขาคล้ายจะตอบอย่างขอไปทีให้นางและบิดานางทราบเท่านั้น

ไม่ให้นางขบคิดนานนัก เผยเยี่ยนก็เอ่ยออกมา “เจ้าไปทำอะไรที่สำนักศึกษาประจำอำเภอ?”

อวี้ถังยิ่งเกิดความแคลงใจขึ้นไปอีก

เผยเยี่ยนไม่ใช่คนที่สนใจเรื่องยิบย่อยพวกนี้

เขาถามออกมาเช่นนี้ กลับคล้ายพยายามเบี่ยงประเด็น

เช่นนั้นกู้ฉ่างไปเยี่ยมเยือนเสิ่นซ่านเหยียนมีอันใดผิดปกติกัน?

อวี้ถังใคร่รู้อย่างยิ่ง แต่คาดว่าเป็นไปไม่ได้ที่เผยเยี่ยนจะคลายความสงสัยให้นาง อวี้ถังจึงไม่ได้ถาม พูดถึงจุดประสงค์ที่ตัวเองไปสำนักศึกษาประจำอำเภอ ทั้งยังตั้งใจเอ่ยถึงหลี่จวิ้น “คาดไม่ถึงว่าเขาก็กลับเมืองหลินอันเช่นกัน”

รื่อเจ้าห่างจากหลินอันไม่น้อย เดินทางไปกลับอย่างน้อยก็ต้องใช้เวลาสามเดือน น้อยคนนักที่จะกลับมาเร็วอย่างหลี่จวิ้น ยิ่งไปกว่านั้นเขายังอ้างต่อคนภายนอกว่าตัวเองไปเรียนหนังสือ

เผยเยี่ยนนิ่งงันไปครู่หนึ่งอย่างเห็นได้ชัด

พาให้อวี้ถังยิ่งเกิดความสงสัย

สกุลกู้เรียกหลี่ตวนไปสั่งสอน กู้ฉ่างและหลี่จวิ้นปรากฏตัวที่เมืองหลินอันตามกันติดๆ หากพูดว่าไม่มีเรื่องข้องเกี่ยวอะไรกัน อวี้ถังย่อมไม่เชื่อ ทั้งมองจากปฏิกิริยาของเผยเยี่ยน ยิ่งเห็นได้ชัดว่าภายในนี้มีความผิดปกติอะไรบางอย่าง

นางนึกขึ้นได้ว่าเผยเยี่ยนชอบคนพูดตรงไปตรงมา ขณะที่ขบคิดว่าจะถามเผยเยี่ยนในยามนี้หรือลอบถามลับหลังบิดา ก็เห็นอาหมิงวิ่งเข้ามาเสียก่อน “นายท่านสาม ใต้เท้ากู้และอาจารย์เสิ่นมาเยี่ยมเยือนท่านพร้อมกันขอรับ!”

พวกเขามาเร็วขนาดนี้เชียว!

ไม่เพียงอวี้ถัง แต่กระทั่งอวี้เหวิน ก็สับสนงุนงงอยู่บ้าง

กลับเป็นเผยเยี่ยนที่คล้ายคาดการณ์มาก่อนแล้ว ผงกศีรษะอย่างเงียบเชียบ ก่อนจะเอ่ยกับสองพ่อลูกอย่างขออภัย “ขออภัยด้วย ข้าไปพบพวกเขาแล้วจะเข้ามาใหม่”

อวี้เหวินและอวี้ถังรีบหยัดกายขึ้นอำลา “ใต้เท้ากู้ยากจะมาเยือนหลินอันครั้งหนึ่ง พวกเราก็ไม่ได้มีเรื่องเร่งด่วนอันใด รอท่านเสร็จธุระแล้วค่อยมาเข้าพบท่านอีกครั้งดีกว่า”

เผยเยี่ยนก็ไม่ฝืนรั้ง เรียกเผยหม่านเข้ามาส่งพวกเขาออกจากประตู ส่วนตัวเองก็ไปพบกู้ฉ่างและเสิ่นซ่านเหยียน

ระหว่างทางกลับ อวี้เหวินก็ถกเรื่องนี้กับอวี้ถังเสียงเบา “ไฉนข้าจึงรู้สึกว่านายท่านสามสกุลเผยและคุณชายใหญ่สกุลกู้ผู้นั้นดูไม่เหมือนคนที่รู้จักกันธรรมดาทั่วไป เจ้าคิดว่าอย่างไร? หรือข้าคิดมากไป?”

อวี้ถังอดไม่ได้ที่จะยกนิ้วโป้งให้บิดาของตนในใจ

นางไม่เพียงมีความคิดเช่นนี้ แต่ยังรู้สึกว่าเผยเยี่ยนคล้ายมีเรื่องอะไรในใจ

เพียงแต่นางนึกไปถึงฐานะสกุลเผย ปัญหาและความยากลำบากของเผยเยี่ยนล้วนไม่ใช่สิ่งที่คนระดับพวกเขาจะแบกรับได้ แทนที่จะลอบมองอยู่ด้านข้างทำให้เกิดปัญหาโดยใช่เหตุขึ้นมา ยังมิสู้ไม่ต้องรู้อะไรเลย

“ข้าไม่เห็นรู้สึกเช่นนั้น” อวี้ถังเผยยิ้มเอ่ยปลอบบิดา “อาจจะเป็นเพราะทั้งสองคนประสบความสำเร็จตั้งแต่อายุยังน้อย มีเรื่องอะไรจึงมักถูกคนเปรียบเทียบ ดังนั้นแม้จะไม่คุ้นเคยหรือไม่มีไมตรีอะไรต่อกัน แต่ก็คงรู้จักซึ่งกันและกันอยู่กระมัง?”

นางคาดเดาอย่างส่งเดช คาดไม่ถึงว่าจะเกลี้ยกล่อมบิดาได้

อวี้เหวินผงกศีรษะเอ่ย “เจ้าพูดมีเหตุผล” จากนั้นก็โยนเรื่องนี้ไว้ด้านหลัง เอ่ยถามว่าอวี้ถังและอวี้หย่วนวางแผนจะกลับเรือนเก่าสกุลอวี้ยามใด “นับวันอากาศก็ยิ่งร้อนขึ้นมาแล้ว มิสู้พวกเจ้าอยู่เรือนเก่าหลายวันหน่อย เรื่องเรือกสวนไร่นา ข้าไม่หวังให้เจ้ารู้ทั้งหมด อย่างน้อยทราบว่ามีเรื่องอะไรสามารถสร้างผลกระทบกับกำไรในไร่สวนได้ก็เพียงพอแล้ว ภายหลังส่งมอบให้เจ้า จะได้ไม่มีคนเอาเปรียบอะไรเจ้าได้!”

อวี้ถังแย้มยิ้ม “อีกวันสองวันก็จะเข้าไปแล้ว”

ส่วนอยู่ที่เรือนเก่ากี่วัน ก็ต้องดูว่าพี่ชายนางยินยอมหรือไม่!

อวี้หย่วนเพิ่งจะแต่งงาน ย่อมไม่อยากทิ้งคนสกุลเซียงไว้ในเรือนโดยที่ตัวเองวิ่งโร่ไปเรือนเก่าอยู่หลายวัน อวี้ถังจึงโน้มน้าวให้เขาพาคนสกุลเซียงไปด้วยกัน “พี่สะใภ้นั้นเติบใหญ่จากไร่นา ไม่แน่ว่าเรื่องพวกนี้นางจะคุ้นเคยกว่าพวกเรา ถึงเวลานั้นพวกเราก็สามารถขอคำแนะนำได้”

อวี้หย่วนได้ฟังพลันตาสว่างวาบ รีบใช้ข้ออ้างนี้ ฉวยโอกาสพาคนสกุลกู้กลับไปเรือนเก่าด้วยกัน

แม้คนสกุลหวังจะหัวแหลมเพียงไหน แต่ความหัวแหลมนี้มักใช้กับคนอื่น ส่วนคนในบ้านกลับอ่อนโอนผ่อนปรน ข้ออ้างของอวี้หย่วนมีช่องโหว่นับร้อยพัน คาดไม่ถึงว่าคนสกุลหวังจะยินยอมโดยไม่มีข้อสงสัยอันใด ไม่เพียงเท่านี้ นางยังกำชับกับคนสกุลเซียงให้ดูแลอวี้ถังดีๆ “อย่าลืมว่าเจ้าเป็นพี่สะใภ้เชียว!”

คนสกุลเซียงย่อมรู้ว่าเหตุใดตัวเองถึงสามารถติดตามอวี้หย่วนออกจากบ้านได้ แม้จะกลืนไม่เข้าคายไม่ออก แต่ก็รู้สึกหวานชื่นในใจ ไม่เพียงรับปากแม่สามีอย่างนอบน้อม ยังตระเตรียมเสบียงอาหารมากมายตั้งแต่เช้าตรู่ ระหว่างเดินทางก็เรียกอวี้ถังมากินอย่างไม่หยุดหย่อน

อวี้ถังยิ้มอย่างเริงร่า บีบนวดแขนคนสกุลเซียง ทั้งขอคำแนะนำเรื่องในไร่สวนจากนางอย่างจริงจัง

คนสกุลเซียงก็ไม่ปิดบัง บอกกับนางทีละเรื่อง ยังเอ่ยว่า “เจ้าก็ไม่ต้องกังวลเกินไป ภายหลังหากพบเรื่องอะไร เจ้าก็มาถามข้าตรงๆ ได้”

อวี้ถังพยักหน้าระรัว เมื่อถึงเรือนเก่าสกุลอวี้จัดแจงให้คนสกุลเซียงพักผ่อนแล้ว ก็ออกไปบริเวณภูเขากับอวี้หย่วน ไปดูต้นซาจี๋ที่เคลื่อนย้ายมาจากสกุลเผย

ต้นไม้งอกงามเขียวชอุ่ม ดูแล้วน่าจะอยู่รอดปลอดภัย แต่กลับไม่ออกดอกออกผลแม้แต่น้อย ชายแก่ที่คอยดูแลที่นั่นเอ่ยพึมพำ “นี่เหมือนต้นไม้ที่ออกผลได้ตรงไหนกัน ข้าว่าคุณชายใหญ่และคุณหนูคงถูกคนหลอกเสียแล้ว!”

แม้จะกล่าวว่าอวี้ถังก็ไม่มั่นใจ เพราะนางตัดสินใจทำเช่นนี้ ล้วนเป็นเพราะความสำเร็จของเผยเยี่ยนในชาติก่อน ดังนั้นแม้ยามนี้จะได้ยินคนพร่ำบ่น ก็ไม่คิดย่อท้อ เดินดูพื้นที่ภูเขาโดยรอบกับอวี้หย่วนครั้งหนึ่ง จากนั้นไปดูที่นา ปรึกษาหารือกับชาวนาที่มีประสบการณ์พวกนั้น ก่อนพวกเขาจะกลับเรือนเก่าไป

คนสกุลเซียงนั้นสั่งให้หญิงรับใช้ทำอาหารเที่ยงรอนานแล้ว เมื่อกินข้าวเสร็จ อวี้หย่วนก็พาพวกนางไปตกปลาในคลองเล็กๆ …พวกเขาพักอยู่ที่เรือนเก่าสกุลอวี้หลายวัน ไม่เหมือนกับมาทำธุระ แต่เหมือนมาเที่ยวเล่นเสียมากกว่า ยามที่กลับเข้าเมืองก็ขนอิงเถาป่า เป็ดป่า เจียวไป๋[1]และของอื่นๆ ไปเกือบครึ่งลำรถ

คนสกุลเซียงตำหนิพวกเขาทั้งรอยยิ้มว่า ‘ซุกซน’ พลางให้ป้าเฉินช่วยพวกเขาขนของลงจากรถ

อวี้ถังชี้ไปที่ตะกร้าใบหนึ่ง “นี่เป็นของที่จะส่งให้สกุลเผย ท่านอย่าเผลอเอาไปทิ้งปนกันไว้ในครัวล่ะ”

คนสกุลเฉินเปิดดูตะกร้าที่คลุมด้วยผ้าหยาบลายดอกสีฟ้า เอ่ยว่า “นี่เป็นไข่เป็ดป่ากระมัง? ส่งไปเช่นนี้เสียของไม่น้อย มิสู้ทำเป็นไข่เค็มก่อนแล้วค่อยส่งไป…ไข่เป็ดป่าเช่นนี้ เมื่อนำไปดอง ไข่แดงย่อมออกมาสีสดสวย”

อวี้ถังไม่ค่อยเข้าใจเรื่องพวกนี้ ย่อมปล่อยให้คนสกุลเฉินจัดการไป

คนสกุลเซียงยังแต่งเข้ามาไม่ถึงสามเดือน เป็นยามที่ควรจะแสดงฝีมือต่อหน้าพ่อแม่สามีแล้ว จึงเผยยิ้มบอกเป็นนัยว่าจะรั้งตัวอยู่ช่วยเหลือคนสกุลเฉิน “ที่บ้านท่านป้าก็เลี้ยงเป็ดอยู่ไม่น้อย พวกเราดองไข่เค็มอยู่บ่อยครั้งเช่นกัน”

คนสกุลเฉินยอมยินดีให้หน้าแก่สะใภ้ใหม่ ตอบรับทั้งรอยยิ้มไม่ว่า ยังชมคนสกุลเซียงไม่ขาดปาก “ยากที่เจ้าจะกระตือรือร้นเช่นนี้ ข้าจะให้ป้าเฉินไปบอกกล่าวแม่สามีเจ้าเสียหน่อย ตอนกลางวันพวกเจ้าก็กินข้าวที่เรือนข้าแล้วค่อยกลับเถิด”

อวี้หย่วนสงสารภรรยา อยากให้คนสกุลเซียงกลับไปพักเร็วหน่อย อวี้ถังกลับส่งสายตาให้เขา เขาจึงทำได้เพียงดึงมือคนสกุลเซียงราวกับปลอบประโลม ก่อนตามอวี้ถังไปห้องหนังสือ พอเท้าก้าวข้ามประตูก็ถามอวี้ถังทันที “เจ้าอยากพูดอันใด? ก่อนหน้านี้ทำไมไม่พูดระหว่างทาง?”

มีภรรยาก็ลืมน้องสาวแล้วจริงๆ!

อวี้ถังทำหน้าทะเล้นใส่อวี้หย่วน เอ่ยเสียงเบา “ท่านพี่ พวกเราหาโอกาสไปซูโจวสักครั้งเถิด! ข้าอยากไปสืบเรื่องการค้าทางทะเล”

ไม่รู้ว่าเพราะเหตุใด คนที่ทำการค้าทางทะเลในซูโจวจึงมีมากกว่าหังโจว

อวี้หย่วนใจเต้นไม่เป็นจังหวะ คิดว่าน้องสาวผู้นี้ของตนจะก่อเรื่องอีกแล้ว น้ำเสียงยังแฝงความตึงเครียดออกมาอย่างเห็นได้ชัด “เจ้า เจ้าจะสืบเรื่องนี้ไปทำอะไร? ก่อนหน้านี้ไม่ใช่พูดกันแล้วว่า สกุลพวกเราจะไม่ทำการค้านี้แล้วหรอกรึ? เวลานั้นนายท่านสามเขายังแนะนำสกุลซ่งให้พวกเรา? เจ้าก็ปฏิเสธไปนี่?”

อวี้ถังอยากฉวยเวลานี้หาลู่ทางร่วมหุ้นกับสกุลเจียง

นางเอ่ยเสียงแผ่ว “ข้าไม่ได้อยากทำการค้าทางทะเล ข้าเพียงอยากร่วมหุ้นเล็กๆ หาเงินเสียหน่อย แค่ใช้เงินส่วนตัวของพวกเรา ข้าคิดว่าหากจะปรับปรุงพื้นที่ทางภูเขาของสกุลพวกเราให้สมบูรณ์เรียบร้อย เกรงว่าคงจะเสียเงินไม่น้อย”

หากไปขอเงินจากมืออวี้ป๋อตรงๆ นั่นจะนับว่าพึ่งพาตัวเองได้อย่างไร?

ประเด็นหลักก็คือ อวี้เหวินไม่เลือกที่รักมักที่ชัง หลังจากประมูลแผนที่ ก็มอบเงินให้นางและอวี้หย่วนคนละสองพันตำลึงเป็นเงินส่วนตัว

คำพูดนี้สั่นคลอนจิตใจอวี้หย่วน

เขาครุ่นคิดเล็กน้อย “ข้ากลับไปจะปรึกษากับพี่สะใภ้เจ้าก่อนค่อยว่ากัน”

นี่ก็ต้องปรึกษากับคนสกุลเซียงอยู่รึ?

อวี้ถังตกตะลึง

อวี้หย่วนเอ่ยอย่างกระดากอาย “พวกเรายากจะไปเยือนซูโจว ให้พี่สะใภ้เจ้าไปเปิดหูเปิดตาด้วยกันเสียหน่อย”

ก็ได้!

ในสายตาของพี่ชาย พี่สะใภ้นางย่อมใหญ่ที่สุด

อวี้ถังถลึงตาใส่อวี้หย่วนไปที ในใจกลับปรากฏความอิจฉาวาบผ่านไปเล็กน้อย

ช่วงบ่าย คนสกุลเซียงช่วยคนสกุลเฉินดองไข่เค็ม คนสกุลหวังไม่มีธุระจึงเข้ามาร่วมด้วย

ทุกคนช่วยกันผสมขี้เถ้าอยู่ตรงลานบ้าน

คนสกุลเฉินและคนสกุลหวังพูดคุยกัน “เจ้าว่า ครั้งนี้นายท่านหลี่จะได้โยกย้ายหรือเลื่อนขั้น? บ้านสายตรงสกุลหลี่แยกสกุลกับบ้านหลี่ตวนก็ไม่รู้ว่าจะเสียใจภายหลังหรือไม่?”

เวลานี้อวี้ถังจึงตระหนักได้ว่า ที่แท้บิดาของหลี่ตวน หลี่อี้ได้รับตำแหน่งครบสามปี กลับกรมขุนนางที่เมืองหลวงไปรายงานภารกิจต่อเบื้องบนแล้ว ข้าหลวงรื่อเจ้าคนใหม่ได้เข้าประจำการแล้ว หลี่อี้จะรั้งอยู่ในเมืองหลวงหรือจะถูกส่งไปรับตำแหน่งนอกเมืองอีก? จะเลื่อนขั้นหรือได้โยกย้าย หลายวันมานี้ผู้คนในเมืองหลินอันต่างพากันซุบซิบนินทา จับจ้องจวนสกุลหลี่ ทั้งเหตุที่หลี่จวิ้นกลับมาก็เพราะว่าเคลื่อนย้ายทรัพย์สินของบิดาที่ก่อนหน้านี้รับตำแหน่งในรื่อเจ้า

ทุกคนล้วนพูดเป็นเสียงเดียวกันว่า “จะทรัพย์สินอันใดอีก เกรงว่าจะเป็นเงินใต้โต๊ะตอนรับตำแหน่ง? ไม่ใช่กล่าวกันว่าขุนนางรับตำแหน่งสามปี มีเงินใช้เป็นกอบเป็นกำหรอกรึ? นายท่านหลี่เป็นข้าหลวง ทั้งยังรับตำแหน่งมาหลายที่แล้ว!”

คนสกุลเฉินไม่ค่อยสนใจเรื่องพวกนี้ แต่หากสกุลหลี่ยังอยู่ในสถานการณ์เช่นนี้ได้สืบไป ก็จะเป็นผลดีกับสกุลอวี้

นางผสมขี้เถ้าอย่างไม่ใส่ใจนัก เอ่ยด้วยรอยยิ้ม “ข้ากลับคิดว่าสกุลหลี่ทำเรื่องไม่เหมาะสมอยู่บ้าง เจ้าดูเมืองหลินอัน ใช่ว่าไม่เคยมีคนเป็นข้าราชการ แต่มีสกุลใดบ้างที่ทำเหมือนพวกเขา ขนเงินกลับมาเช่นนี้?”

ด้านหลี่ตวนกำลังบันดาลโทสะเพราะข่าวลือพวกนี้

เขาโมโหใส่หลี่จวิ้น “ให้เจ้าเคลื่อนย้ายของกลับมา เจ้าก็ขนของกลับมา ไฉนจึงเอาไปล่ำลือกันว่าสกุลพวกเราขนเงินหนึ่งแสนตำลึงกลับมาจากรื่อเจ้าได้? คำพูดนี้ใครเป็นคนเผยแพร่? คนรับใช้ข้างกายเจ้าเป็นพวกคนแบบไหนกันแน่?”

หลี่จวิ้นค้อมศีรษะ ไม่เอ่ยอันใด

เขาอายุน้อยกว่าหลี่ตวนสามปี ยามนี้เผยท่าทีกลับเรียบนิ่ง จึงดูราวกับผ่านประสบการณ์มาอย่างโชกโชนมากกว่าหลี่ตวนถึงสองสามปี คนที่ไม่รู้ยังจะคิดว่าหลี่จวิ้นเป็นพี่ หลี่ตวนเป็นน้อง

หลี่ตวนเห็นก็อดก่นด่าในใจไม่ได้

ตั้งแต่เกิดเรื่องเว่ยเสี่ยวซาน หลี่จวิ้นก็คล้ายถูกโจมตีอย่างรุนแรง ไม่อาจฟื้นคืนเหมือนเก่า ดูไร้ชีวิตชีวา

เขาเดินวนเวียนอยู่ในห้องอย่างร้อนใจ รู้สึกว่าโทสะของตัวเองถูกกดไว้เบื้องลึกในใจแล้ว จึงหยุดฝีเท้า ยามที่กำลังคิดจะพูดดีๆ กับหลี่จวิ้น หลินเจวี๋ยก็บุกเข้ามาก่อน

หลี่ตวนไม่สบอารมณ์อย่างยิ่ง

นี่คือสกุลหลี่ ไม่ใช่สกุลหลิน แต่หลินเจวี๋ยกลับเข้าเรือนในสกุลพวกเขาราวกับเดินบนถนน คล้ายกับไม่เคยมีคนขัดขวางเขามาก่อน

เพียงเขายังไม่ทันเผยสีหน้าหงุดหงิดใจ หลินเจวี๋ยก็เอ่ยอย่างเคร่งขรึมเสียก่อน “อาตวน ข้าสืบเรื่องอย่างชัดเจนแล้ว เป็นเผิงสืออีที่ปล่อยข่าวลือ”

————————–

[1]เจียวไป๋ หรือก็คือต้นข้าวป่า ชาวจีนมักจะนำแกนอ่อนสีขาวมาปรุงอาหาร