บทที่ 119 เรื่องนอกประเด็น

ห้วงเวลาบุปผาผลิบาน

หลี่ตวนฟังจบพลันหน้าเปลี่ยนสี

เขาตบโต๊ะดัง ‘ปัง’ กัดฟันคำรามด้วยดวงตาแดงก่ำ “เขาต้องการทำอะไรกันแน่?”

สีหน้าของหลินเจวี๋ยก็ดูไม่ได้เช่นกัน

มีเพียงหลี่จวิ้นที่ไม่รู้ว่าเกิดเรื่องอันใด มองหลี่ตวนก่อนจะสลับมองหลินเจวี๋ย คิดว่าตัวเองอย่าเข้าไปยุ่งกับพวกเขาจะดีที่สุด นิ่งเงียบไปพักใหญ่ ก่อนเอ่ยว่า “ท่านพี่ ญาติผู้พี่ ข้าจะไปดูท่านแม่ พวกเจ้ามีเรื่องอะไร ให้เด็กรับใช้ไปบอกกล่าวข้าก็เพียงพอแล้ว”

เรื่องของเว่ยเสี่ยวซานคล้ายกับหินก้อนใหญ่ที่ทำลายความสงบสุขในสกุลหลี่ ทั้งทำให้หลี่จวิ้นมองเห็นหินประหลาดในโคลนตมที่ซ่อนอยู่ใต้ผืนน้ำ เขาไม่อาจทำเป็นไม่รู้ไม่เห็น ทั้งไม่อาจผดุงความยุติธรรมจัดการญาติพี่น้องของตัวเองได้เช่นกัน ทำได้เพียงเป็นนกกระทาที่ซ่อนสมองไว้ใต้ปีก คล้อยไปตามคนอื่น ไม่สนใจสรรพสิ่งใดใด

ข่าวร้ายของหลินเจวี๋ยทำให้หลี่ตวนหงุดหงิดใจมากพอแล้ว ไหนเลยยังจะมีใจคิดยุ่งหลี่จวิ้นอีก ได้ยินเขาพูดเช่นนั้น ก็ทำอะไรไม่ได้ โบกมือทันที เอ่ยกับหลี่จวิ้น “บาดแผลบนหน้าผากของท่านแม่ยังไม่หายดี เมื่อก่อนนางก็รักเอ็นดูเจ้าที่สุด หากเจ้าไม่อยู่บ้านข้าก็คงไม่พูดมาก แต่เมื่อยามนี้เจ้าอยู่บ้านแล้ว ก็คอยดูแลเอาใจใส่นางดีๆ อย่าทำให้นางเสียใจอีก”

หลินจวิ้นพยักหน้า บอกลาหลินเจวี๋ย ก่อนจะออกจากห้องหนังสือไป

หลินเจวี๋ยเห็นญาติผู้น้องคนนี้ซึมกะทือไร้ชีวิตชีวาราวกับคนชรา รอจนหลี่จวิ้นเดินออกไป เขาก็อดเอ่ยไม่ได้ “อาจวิ้นเป็นอะไรไป? ทางท่านอาหลี่อี้ว่าอย่างไรบ้าง? ไฉนข้าจึงได้ยินว่าท่านอาอาจจะถูกย้ายไปที่อวิ๋นกุ้ย? คงไม่ใช่เรื่องจริงหรอกกระมัง?”

หากเป็นเรื่องจริง เกรงว่าสกุลหลี่จะอันตรายแล้ว…ทางอวิ๋นกุ้ยเป็นที่รกร้างว่างเปล่าสภาพอากาศเลวร้ายทั้งเกิดโรคระบาดบ่อยครั้ง ผู้ที่รอดชีวิตกลับมาได้ มี่ไม่กี่คนเท่านั้น

แน่นอนว่า หากสกุลหลี่จบเห่ สกุลหลินย่อมไม่อาจใช้ชีวิตอย่างสุขสบายได้เช่นกัน

หลี่ตวนได้ฟังใบหน้าก็เขียวคล้ำ ย้อนถาม “เจ้าได้ยินมาจากผู้ใด?”

หลินเจวี๋ยลอบเบะปาก กลับไม่แสดงออกทางใบหน้า “ได้ยินมาจากคนสกุลซ่ง”

นับตั้งแต่สกุลเผิงมั่นใจว่าแผนที่ที่สกุลเผยประมูลและแผนที่ในภาพ ‘ตกปลาใต้ต้นสนริมน้ำ’ เป็นอันเดียวกัน ก็แตกหักกันทันที แม้จะไม่ได้กล่าวโทษว่าพวกเขาไร้ความสามารถอย่างชัดเจน แต่เงื่อนไขที่รับปากในอดีตกลับไม่เอ่ยถึง กระทั่งยังขอให้พวกเขาสืบว่าสกุลเผยได้แผนที่ไปอย่างไร

ความนัยของวาจาคือ สงสัยว่าพวกเขาจะเหยียบเรือสองแคม ลอบกัดสกุลเผิง

แต่พวกเขาไหนเลยจะสามารถสืบว่าสกุลเผยเอาแผนที่มาจากไหนได้?

หากพวกเขามีความสามารถนี้ ก็คงแทนที่สกุลเผยไปนานแล้ว ยังจะต้องประจบประแจงคนสกุลเผิงอย่างพวกเขาไปทำไม?

นี่ไม่ใช่ต้องการสร้างความลำบากให้พวกเขาหรอกรึ?

หลี่ตวนรับปากไป แต่กลับชักช้าไม่ลงมือดำเนินการมาโดยตลอด

บางทีสกุลเผิงอาจจะส่งคนมาจับตามองพวกเขา สองวันก่อนยังส่งผู้ดูแลคนหนึ่งมาข่มขู่เขา เอ่ยว่าหากเขาจัดการได้ไม่ดี พวกเขาก็จะหาคนฝีมือดีมาแทน

เขาโตจนถึงขนาดนี้แล้ว ยังไม่เคยได้รับการเหยียดหยามเช่นนี้มาก่อน จึงตอกกลับไปทันที

คาดไม่ถึงว่าผ่านไปไม่กี่วันก็ปล่อยข่าวลือว่าบิดาให้น้องชายขนเงินที่ทุจริตกลับมา

เมืองหลินอันเป็นรากเหง้าของสกุลหลี่ สกุลพวกเขาปักหลักที่นี่ เติบโตที่นี่ ภายหลังลูกหลานทายาทยังต้องอาศัยอยู่ที่นี่ หากชื่อเสียงเสื่อมเสีย ถูกคนติฉินนินทา หรือพวกเขาจะยังสามารถจากบ้านไกลเมืองไปได้อย่างนั้นรึ?

สิ่งที่ทำให้เขานึกไม่ถึงยิ่งกว่าก็คือ ยามนี้ยังโหมกระพือข่าวลือว่าบิดาของเขาต้องไปรับตำแหน่งที่อวิ๋นกุ้ย

หากได้เลื่อนตำแหน่ง แม้ถูกส่งไปประจำที่อวิ๋นกุ้ยก็จะอันตราย แต่เพื่อหนทางอนาคตข้างหน้า ก็คุ้มค่าที่จะบากบั่นพยายาม กลัวก็แต่ว่าสกุลเผิงจะปล่อยข่าวนี้ออกมาตักเตือนสกุลพวกเขา…หากสุดท้ายยังทำเสียเรื่อง ก็อาจจะกลายเป็นเรื่องจริง

หลี่ตวนอดขมวดคิ้วไม่ได้ ถามหลินเจวี๋ย “เจ้าและคนของสกุลซ่งได้พูดคุยกันแล้วรึ?”

ยามนี้สกุลซ่งทำการค้าร่วมกับสกุลเผิง ทั้งสกุลซ่งก็เป็นญาติเกี่ยวดองทางการแต่งงานของสกุลเผย หากอยากจะไกล่เกลี่ยความสัมพันธ์ของสกุลเผิงและสกุลเผย ให้สกุลซ่งเป็นคนกลางย่อมเป็นตัวเลือกที่เหมาะสมที่สุด

ญาติผู้พี่ของเขาคนนี้ หัวไวมิใช่น้อย ทั้งทำเรื่องได้อย่างน่าไว้ใจ

เมื่อคิดเช่นนี้ แววตาที่เขามองหลินเจวี๋ยก็ปรากฏความสนิทสนมขึ้นมาหลายส่วน

หลินเจวี๋ยคิดมาตลอดว่าญาติผู้น้องคนนี้ของตัวเองอะไรก็ดีเสียหมด ติดเพียงชอบวางท่า ถือยศถืออย่าง วางไม่ได้เท่านั้น เดิมทีก็มีความสัมพันธ์มากมายที่ใช้ประโยชน์ได้ กลับถูกเขาทำเสียเรื่องไปเสียหมด

นี่ก็คงเป็นความถือตัวของบัณฑิตที่ร่ำเรียนวิชามากระมัง

เขาทั้งดูแคลนและอิจฉาอยู่เล็กน้อย เอ่ยว่า “ข้าก็ทำเพราะอับจนหนทางมิใช่รึ? ยามนี้สกุลเผิงปักใจว่าพวกเราทรยศ พวกเรามีอำนาจน้อยกว่า พูดอะไรย่อมไร้ประโยชน์ ข้าสงสัยว่า พวกเขาคงไม่รู้จะให้คำตอบกับพวกผู้อาวุโสของสกุลเผิงอย่างไร จึงโยนความผิดนี้มาที่พวกเรา ในความคิดข้า ทางสกุลเผิงย่อมต้องเกิดปัญหาอะไร ยังมีสกุลเผยอีก เจ้าว่า เผยเยี่ยนทราบถึงเรื่องที่พวกเราทำแล้วหรือไม่! ตั้งนานเขาไม่ประมูล ช้ากว่านี้ก็ไม่ประมูล กลับมาประมูลยามที่พวกเราหาภาพนั้นพบพอดี นี่ย่อมพุ่งเป้ามาที่พวกเราแน่”

“เจ้าอย่ามองว่าหลายวันนี้ข้าออกไปเตร็ดเตร่อยู่ข้างนอก ความจริงข้ากำลังสืบเรื่องของเผยเยี่ยนอยู่ เขาและท่านผู้เฒ่าสกุลเผยไม่เหมือนกัน ข้าดูท่าแล้ว เขาคงเป็นหมาป่าที่กินคน กลืนเจ้าลงท้องไปแล้ว ยังรังเกียจที่กระดูกเจ้าแข็งเกินไป ทำให้เขาย่อยไม่ได้…”

หลี่ตวนยิ่งฟังก็ยิ่งร้อนใจ เอ่ยอย่างไม่สบอารมณ์ “คงไม่ใช่ว่าสกุลอวี้แอบวางแผนอะไรลับหลังหรอกกระมัง?”

หลินเจวี๋ยชะงักเล็กน้อย “เป็นไปไม่ได้กระมัง! สกุลอวี้คนน้อยทายาทลูกหลานแทบไม่มี นอกจากอวี้เหวินที่ร่ำเรียนตำราไปวันๆ ก็ไม่มีใครที่สายตากว้างไกลอีก หากสกุลพวกเขาพบความลับของภาพ ‘ตกปลาตกใต้ต้นสนริมแม่น้ำ’ ก็คงจะคิดวิธีขายมันออกไปมากกว่า!”

ขณะที่ทั้งสองคนพูดคุย ก็อดประสานสายตากันไม่ได้

หากสกุลอวี้ต้องการขายภาพ จะขายให้สกุลใดกัน?

แน่นอนว่าต้องเป็นสกุลเผย!

ทั้งสองคนวูบไหวในใจ คล้ายมีมือที่ไร้รูปร่าง ปัดกลุ่มเมฆดำครึ้มบดบังแสงพระอาทิตย์ให้ลอยออกไป กระจ่างใจขึ้นมาโดยพลัน

พวกเขาคิดใคร่ครวญวางแผนอย่างแยบยล เหตุใดจึงมองข้ามสกุลอวี้ไปได้!

โดยเฉพาะตั้งแต่ที่เผยเยี่ยนรับตำแหน่งผู้นำของสกุลเผย จู่ๆ สกุลอวี้ก็สนิทสนมกับสกุลเผยขึ้นมา ทั้งยังเริ่มไปมาหาสู่กับสกุลเผยอยู่บ่อยครั้ง

หากพูดว่าเรื่องนี้ไม่เกี่ยวข้องกับสกุลอวี้ ให้ตายอย่างไรพวกเขาก็ไม่เชื่อ

หลินเจวี๋ยกระโดดโผลงขึ้นมาทันที เอ่ยอย่างดีใจ “พวกเรานำสกุลอวี้ออกไปแลกเปลี่ยนก็เพียงพอแล้ว!”

เมื่อเป็นเช่นนี้ พวกเขาก็จะสามารถดึงตัวเองออกมาได้

ตอนแรกหลี่ตวนก็ดีใจตามไปด้วย ต่อมากลับส่ายศีรษะ เอ่ยเคร่งขรึม “ไม่เหมาะ! หากสกุลเผิงถามพวกเราว่าสกุลอวี้รู้ความลับของภาพ ได้อย่างไร พวกเราจะตอบเช่นไร?”

หลินเจวี๋ยเอ่ย “ก็บอกว่าพวกเขาพบโดยบังเอิญ?”

“เช่นนั้นพวกเรารู้ว่าสกุลอวี้ค้นพบเรื่องนี้ได้อย่างไร?”

“หลังจากเกิดเรื่องพวกเราสืบหาด้วยตัวเองอีกครั้ง จากนั้นก็เลยทราบเรื่อง?”

“เหตุใดพวกเราจึงสืบหาด้วยตัวเอง?”

หลินเจวี๋ยเงียบกริบ

หลี่ตวนเอ่ย “เป็นเพราะทางพวกเราเองที่ทำผิดพลาด? นั่นไม่เท่ากับว่ายอมรับว่าทางฝั่งพวกเรามีปัญหาหรอกรึ?”

ย่อมไม่อาจยอมรับได้

เมื่อยอมรับ เรื่องนี้พวกเขาก็ต้องเป็นผู้รับผิดชอบ

หลินเจวี๋ยเดินวนเวียนในห้องอย่างกระวนกระวายใจ “นี่ก็ไม่ได้ นั่นก็ไม่ได้ พวกเราไม่อาจเอาแต่นั่งรอความตายอย่างนี้ได้กระมัง? ทั้งข้ากล้ามั่นใจว่า เรื่องนี้ย่อมมีส่วนเกี่ยวข้องกับสกุลอวี้ พวกเราคงไม่อาจปล่อยให้สกุลอวี้วางแผนล่อพวกเราอยู่เรื่อยไปเช่นนี้ได้? ข้ารู้ว่าหากไม่อดทนต่อเรื่องเล็กๆ ย่อมทำเสียการใหญ่ แต่ให้ข้าอดทนกับเรื่องนี้ ข้าย่อมไม่อาจกล้ำกลืนฝืนทนความไม่ธรรมนี้ได้…”

หลี่ตวนไม่ได้สนใจหลินเจวี๋ย กำลังครุ่นคิดเรื่องอื่น

เหตุใดสกุลอวี้ต้องทำเช่นนี้? แปดในสิบส่วนย่อมเกี่ยวกับการตายของเว่ยเสี่ยวซาน

เรื่องนี้ตั้งแต่แรกพวกเขาก็ทำพลาดแล้ว

หากหลังจากพวกเขาสังหารหลู่ซิ่น แล้วเป่าหูให้คนของสกุลหลู่ไปเอาของต่างหน้าจากสกุลอวี้ บางทีอาจจะไม่เกิดเรื่องวุ่นวายมากมายขนาดนี้

แต่เวลานั้น พวกเขาก็คาดไม่ถึงว่าหลู่ซิ่นจะขายภาพให้กับอวี้เหวิน ทั้งยิ่งนึกไม่ถึงว่าอวี้เหวินจะใจกว้างมอบภาพนั้นคืนเป็นของต่างหน้าให้สกุลหลู่

ก้าวผิดซ้ำแล้วซ้ำเล่า

ยามนี้มาพูดก็สายไปแล้ว

เรื่องสำคัญที่สุดในตอนนี้คือบิดาของเขาจะถูกโยกย้ายหรือเลื่อนตำแหน่ง

เขาถามหลินเจวี๋ย “ข่าวของสกุลซ่งน่าเชื่อถือหรือไม่? คงไม่ใช่ฟังมาจากสกุลเผิงหรอกกระมัง? สองปีมานี้แม้สกุลซ่งจะดูยอดเยี่ยม แต่พวกลูกหลานที่เป็นบัณฑิตกลับไม่มีใครอยู่ในตำแหน่งสำคัญ หากท่านพ่อถูกย้ายไปอวิ๋นกุ้ยจริงๆ เหตุใดสกุลพวกเราจึงไม่ได้รับข่าวคราว?”

บิดาของเขาไม่ใช่คนสะเพร่า หากมีเหตุไม่คาดฝันเช่นนี้เกิดขึ้น ย่อมส่งม้าเร็วมาแจ้งข่าวที่เรือน ให้พวกเขาสามารถวางแผนรับมือล่วงหน้า

หลินเจวี๋ยพลันกระจ่างใจขึ้นมา เขาครุ่นคิดเล็กน้อย “คงไม่กระมัง? แต่ว่าสถานการณ์ในยามนั้นข้าก็ไม่อาจถามสกุลซ่งได้ว่าทราบข่าวมาจากที่ใด”

หลี่ตวนถอนหายใจ “เจ้ายังมองไม่ออกหรือไร สกุลเผิงต้องการบีบให้พวกเรายอมแต่โดยดี!”

แต่หลังจากพวกเขายอมแล้วล่ะ?

สกุลเผิงคิดจะทำอะไรกันแน่?

ทั้งสองคนล้วนไม่เข้าใจ

ยามที่คนของสกุลเผิงได้รับข่าวก็ไม่เข้าใจเช่นกัน

ผู้ดูแลรายงานกับเผิงสืออี “ก็ไม่รู้ว่าใครเผยแพร่เรื่องพวกนี้ เกรงว่าคนของสกุลหลี่จะสงสัยว่าเป็นพวกเรา ถึงเวลานั้นอาจต้องต่อสู้กันตายตกทั้งสองฝ่าย พวกเรายังคงต้องหาคนอื่นช่วยทำเรื่องนี้อีกขอรับ”

เผิงสืออีโกรธจนเส้นเลือดปูดขึ้นหน้าผาก เอ่ยอย่างไม่สบอารมณ์ “สืบ สืบอย่างละเอียดให้ข้าเสีย ข้ากลับอยากเห็นว่า เป็นผู้ใดที่กล้าวางแผนลับหลังสกุลเผิงของพวกเรา!”

ผู้ดูแลเอ่ยอย่างลังเล “จะเป็นสกุลเผยหรือไม่ขอรับ?”

“เป็นไปไม่ได้” เผิงสืออีเอ่ยแทบไม่ต้องคิด “ยามนั้นข้าเคยพบเขาที่สกุลอาเจ็ด คาดว่าเขาคงจำข้าไม่ได้แล้ว ข้ากลับจำเขาได้ดี” พูดมาถึงตรงนี้ สีหน้าเขาก็ดุดันขึ้นมา เวลานั้นเขายังคิดว่าตัวเองจะเป็นเพื่อนร่วมงานที่ดีกับเผยเยี่ยนได้ ใครจะรู้ว่ายามนี้คนหนึ่งอยู่บนฟ้าอีกคนหนึ่งอยู่ในคูคลอง “เขาเป็นคนทระนงตนอย่างยิ่ง หากคิดจะจัดการสกุลหลี่ เดิมทีก็ไม่อาจใช้วิธีเช่นนี้”

ผู้ดูแลครุ่นคิดก็รู้สึกว่าเป็นเช่นนั้น ครั้งนี้นับว่าสกุลหลี่ท้าทายสกุลเผยที่มีอำนาจในเมืองหลินอัน หากสกุลเผยจะจัดการสกุลหลี่ ก็ย่อมเพราะว่าเชือดไก่ให้ลิงดู ทำหลบๆ ซ่อนๆ เช่นนี้ ยังจะมีความหมายอะไร?

“เช่นนั้นยังมีสกุลใดอีกกัน?” ผู้ดูแลขยับปากพึมพำ

เผิงสืออีกลับไม่สนใจเรื่องพวกนี้ เอ่ยว่า “เจ้าสืบชัดเจนแล้วหรือว่าเรื่องแผนที่ไม่เกี่ยวข้องกับสกุลหลี่?”

ผู้ดูแลละล่ำละลักเอ่ย “สืบกระจ่างแล้วขอรับ เรื่องนี้ไม่เกี่ยวกับสกุลหลี่จริงๆ พวกเขาได้ของแล้วก็หาอาจารย์วาดภาพมาตรวจสอบว่าเป็นของจริงหรือของปลอม ร่างของอาจารย์วาดภาพนั้นยังจมลึกอยู่ใต้แม่น้ำซูโจวจนถึงทุกวันนี้ อาจไม่ใช่ปัญหาของสกุลหลี่ขอรับ”

เช่นนั้นก็เป็นปัญหาของสกุลเผิง

หลายปีมานี้ สกุลเผิงมีการต่อสู้ทั้งนอกและในอย่างไม่หยุดหย่อน กระทั่งเผิงอวี่ อาเจ็ดที่รับราชการห่างไกลในเมืองหลวงยังทนไม่ได้ เขียนจดหมายกลับมาให้นายท่านใหญ่สกุลเผิงควบคุมทายาทลูกหลานในสกุล ไม่แน่ว่า หนอนบ่อนไส้อาจจะเป็นคนในสกุลของพวกเขาเอง!

“เรื่องนี้พักไว้ชั่วคราว” เผิงสืออีเอ่ย “เจ้าจับตาดูหลี่ตวนให้ดี…หากเขาถอนหมั้นกับสกุลกู้ คนผู้นี้ก็ไม่มีความจำเป็นต้องเก็บไว้ในมืออีกแล้ว”

ผู้ดูแลได้ฟังก็สั่นสะท้านในใจ เอ่ยรับคำสั่งอย่างนอบน้อม

เผิงสืออีดื่มชาด้วยท่าทีเยือกเย็น นึกถึงกู้ฉ่างที่รั้งตัวอยู่ในหลินอันไม่ไปไหน

ก็ไม่รู้ว่าชายหนุ่มผู้นี้ตั้งใจจะทำอะไรกันแน่?