“เฮ้อ…ฉันไม่ได้อยากจะยุ่งเรื่องของพวกแกสักหน่อย แต่มันเป็นพวกแกเองต่างหากที่ลากฉันเข้าไปพัวพันด้วย…”

อวี้ฮ่าวหรานถอนหายใจด้วยสีหน้าระอาใจ ในสายตาของเขา มดแมลงเหล่านี้ช่างดวงซวยจริง ๆ ที่ลากเขาเข้ามาเกี่ยวกับเรื่องนี้

“ถุย! ไอ้ลูกหมาเอ๊ยจะตายอยู่แล้วยังปากดีอยู่อีกงั้นเหรอ?”

“อยู่ดี ๆ ไม่ชอบวอนหาเรื่องตายซะงั้น? ชาติหน้าเตือนตัวเองเอาไว้ดี ๆ ว่าอย่ายุ่งเรื่องของชาวบ้านอีกไม่งั้นจุดจบของแกก็ไม่ต่างอะไรกับชาตินี้!”

“ฉันจะสับขาแกออกทั้งสองข้างก่อนแล้วปล่อยให้แกทรมานอยู่สักพักจากนั้นค่อยฟันหัวแกทีหลังเพื่อเป็นการลงโทษที่แกบังอาจทำร้ายคนของฉัน!”

“…”

บรรดานักเลงต่างมันเขี้ยวอยากจะฉีกอวี้ฮ่าวหรานออกเป็นชิ้น ๆ ดังนั้นเมื่อตะโกนขู่ฆ่าจนหนำใจเสร็จ พวกเขาก็เริ่มลงมือวิ่งพุ่งเข้าไปหาอวี้ฮ่าวหรานพร้อมกับเงื้อมีดในมือเตรียมฟัน!

ในทางกลับกัน อวี้ฮ่าวหรานไม่ได้พูดตอบโต้อะไรพวกเดนคนเหล่านี้เพิ่มเติมอีก เพราะเขาคิดว่ามันเสียเวลาและเปลืองน้ำลายเกินไป เมื่อเห็นว่าพวกมดแมลงดาหน้าเข้ามาหาความตาย อวี้ฮ่าวหรานจึงตอบรับด้วยหมัดและแข้งของเขาออกไปอย่างรุนแรง!

“พลั่ก พลั่ก พลั่ก!!”

“อ๊ากกก!!”

ร่างของอวี้ฮ่าวหรานพุ่งสวนออกไปหาเหล่านักเลงราวสายฟ้า ทุกครั้งที่เขาไปหยุดตรงหน้านักเลงคนไหนนักเลงคนนั้นหากไม่ทรุดลงกับพื้นด้วยสภาพแขนหรือขาหักก็ต้องตัวกระเด็นลอยไปไกล 4-5 เมตร และกระแทกลงกับพื้นอย่างแรงด้วยสีหน้าบิดเบี้ยวเพราะความเจ็บปวด!

10 วินาที!

นักเลงสิบกว่าคนถูกอัดจนหมดสภาพในเวลาไม่ถึง 10 วินาที!

นี่ไม่ใช่สิ่งที่มนุษย์ปกติจะสามารถทำได้!

บรรดาผู้คนที่ไม่เกี่ยวข้องที่ดูเหตุการณ์อยู่ต่างตกตะลึงจนอ้าปากค้างเมื่อเห็นเหตุการณ์นี้

นี่ผู้ชายคนนั้นใช่มนุษย์รึเปล่า?

ทำไมพวกเขาถึงมองตามไม่ทันเลยว่านักเลงพวกนี้โดนอะไรเข้าไปถึงได้ร่วงไปนอนอยู่ที่พื้นกันแบบนั้น?

นี่พวกเขาไม่ได้กำลังถ่ายหนังอยู่ใช่ไหม?

ทางด้านของโจวเฟยหู่ เมื่อเห็นภาพเหตุการณ์นี้เขาแทบไม่อยากเชื่อสายตา

เมื่อครู่เขาเพิ่งตะโกนบอกให้ชายหนุ่มคนนั้นหนีไปแต่แล้วตอนนี้ชายหนุ่มคนนั้นกลับ…

มันกลับกลายเป็นว่าไอ้พวกคนที่ควรหนีไปมันควรจะเป็นฝั่งพวกคนที่ตามฆ่าเขามากกว่า!

“น้องชาย ฉันขอบคุณนายมากจริง ๆ ที่ช่วยชีวิตของฉันเอาไว้วันนี้ ฉัน โจวเฟยหู่ จะไม่มีวันลืมบุญคุณครั้งนี้ถึงแม้ว่าจะอยู่ในยมโลกก็ตาม!”

โจวเฟยหู่พูดขึ้นเสียงดังในระหว่างที่เดินเข้ามาหาอวี้ฮ่าวหราน และเมื่อเขาเดินมาถึงตรงหน้า เขาก็พลันโค้งตัวเพื่อเป็นการขอบคุณอย่างจริงใจ

การกระทำดังกล่าวทำให้อวี้ฮ่าวหรานหันกลับไปมองโจวเฟยหู่ด้วยความสนใจ

คนคนนี้ถึงแม้ว่าเมื่อครู่จะมีโอกาสหนีไป แต่กลับไม่ยอมหนี เลือกที่จะหันกลับมาบอกให้เขาหนีไปเพราะกลัวว่าเขาจะเป็นอันตรายโดยที่ไม่สนใจชีวิตของตัวเองเลย คนที่มีคุณธรรมแบบนี้นับได้ว่าคู่ควรแก่การคบหาเอาไว้เป็นสหายจริง ๆ

“ทำไมคนพวกนี้ถึงไล่ฆ่าคุณ?”

โจวเฟยหู่อึ้งไปเล็กน้อยเมื่อเจอกับคำถามสวนกลับแบบนี้ แต่เขาไม่มีความคิดที่จะปิดบังคนที่เพิ่งช่วยชีวิตของเขาไว้ ดังนั้นเขาจึงตอบกลับด้วยสีหน้าจริงใจทันที

“น้องชายฉันขอแนะนำตัวก่อนก็แล้วกัน ฉันชื่อ โจวเฟยหู่ เป็นหัวหน้าแก๊งพยัคฆ์เวหาแห่งเมืองฮ่วยอัน วันนี้ฉันออกมาทำธุระบางอย่างที่นี่ แต่ไม่นึกเลยว่าน้องชายที่เป็นคนของฉันเองจะทรยศวางแผนร่วมกับแก๊งคู่อริเพื่อล้อมฆ่าฉัน ถ้าหากไม่ใช่เพราะว่าลูกน้องของฉันหลายคนเสียสละตัวเองช่วยกันปกป้องฉันเอาไว้ก่อนหน้านี้ ป่านนี้ฉันคงไม่สามารถหนีมาได้ถึงตรงจุดนี้แน่นอน”

เมื่อพูดจบ โจวเฟยหู่แสดงสีหน้าเจ็บปวดเป็นอย่างมากเมื่อคิดถึงบรรดาลูกน้องของเขาเองที่ยอมเสียสละชีวิตเพื่อปกป้องเขาเอาไว้ให้หนีรอดออกมาจากวงล้อม

“น้องชาย ในเมื่อนายช่วยชีวิตฉันเอาไว้แล้ว ดังนั้นนับจากนี้นายคือพี่น้องของฉัน โจวเฟยหู่ ตลอดไป ในอนาคตไม่ว่านายจะมีปัญหาใด ๆ ก็ตามขอแค่ให้บอกมา ต่อให้ต้องบุกน้ำลุยไฟฉันคนนี้ก็จะไม่ลังเลที่จะช่วยเหลือนาย!”

โจวเฟยหู่พูดขึ้นอีกครั้งด้วยสีหน้าจริงจัง ซึ่งมันยิ่งตอกย้ำว่าเขาเป็นคนที่เถรตรงและมีคุณธรรมมากขนาดไหน

อวี้ฮ่าวหรานที่ได้ฟังก็ยิ้มและพยักหน้าให้ เขาไม่อาจปฏิเสธคนที่น่าคบหาเช่นนี้ได้

จากนั้น อวี้ฮ่าวหรานจึงช่วยพยุงโจวเฟยหู่ไปที่รถของเขา

“เอาล่ะขึ้นรถก่อน แล้วเดี๋ยวคุณบอกมาว่าให้ผมไปส่งที่ไหน ผมจะขับรถพาคุณไปเอง”

หลังจากขับรถออกไปได้ราวสิบกว่ากิโลเมตรตามจุดที่โจวเฟยหู่บอก อวี้ฮ่าวหรานก็มาจอดรถที่หน้าโรงแรมแห่งหนึ่ง

“คุณแน่ใจนะว่าไม่ให้ผมไปส่งที่โรงพยาบาล?”

อวี้ฮ่าวหรานเอ่ยถามขึ้นพร้อมกับขมวดคิ้วเล็กน้อยเมื่อเห็นสภาพที่ยับเยินของโจวเฟยหู่

“ฮ่าฮ่า ไม่เป็นไรน้องอวี้ บาดแผลแค่นี้สำหรับฉันมันไม่ถึงตายหรอก แต่ถ้าขืนไปโรงพยาบาล ฉันเกรงว่าพวกแก๊งคู่อริมันคงส่งคนไปตามปิดบัญชีฉันถึงที่นั่นแน่นอน ซึ่งเมื่อถึงเวลานั้นแม้ไม่อยากตายแต่คงได้ลงโยมโลกไปจริง ๆ แน่ ๆ เอาล่ะวันนี้คงไม่ขอรบกวนนายต่อแล้ว ขอบคุณมากจริง ๆ ที่ช่วยฉันเอาไว้ อ้อแล้วถ้าหากมีปัญหาอะไรนายมีเบอร์ฉันอยู่แล้วนายสามารถโทรมาได้เสมออย่าลืมซะล่ะ!”

เมื่อพูดจบ โจวเฟยหู่โบกมือลาและลงจากรถเดินเข้าไปในโรงแรมทันที

ทางด้านของอวี้ฮ่าวหราน เขาพยักหน้าเล็กน้อยให้กับโจวเฟยหู่ เขาพึงพอใจในนิสัยของฝั่งตรงข้ามเป็นอย่างมาก จากนั้นเมื่อโจวเฟยหู่เดินลับตาเข้าไปในโรงแรมแล้ว อวี้ฮ่าวหรานจึงวกรถกลับไปที่ตลาดขายของเก่าเหมือนเดิม

กว่าที่อวี้ฮ่าวหรานจะกลับไปถึงตลาดขายของเก่าอีกรอบ มันก็ปาเข้าไปสิบโมงกว่าซึ่งตอนนี้ร้านค้าต่าง ๆ ก็ได้เปิดขึ้นแทบหมดแล้วและจำนวนผู้คนในตอนนี้ก็หนาแน่นกว่ารอบแรกที่เขามาถึงพอสมควร

อวี้ฮ่าวหรานเดินไปเรื่อย ๆ ตามกระแสของฝูงชนพลางมองของเก่าที่วางเรียงรายกันอยู่เต็มสองข้างทางไปเรื่อย ๆ อย่างไรก็ตามหลังจากเดินไป 2 ชั่วโมงเต็ม เขาก็ยังไม่เจอของโบราณชิ้นไหนที่มีพลังวิญญาณแฝงอยู่เลย

ดูเหมือนว่ารอบที่แล้วโชคของเขาคงดีมากจริง ๆ ที่บังเอิญเจอ 1 ชิ้น…

เขารู้สึกจนใจเป็นอย่างมาก และเมื่อไม่รู้ว่าจะหายังไงต่อเขาจึงลองโทรออกหาเฉิงกัวอัน

“สถานที่ ที่มีของโบราณดี ๆ ขายเยอะ ๆ งั้นเหรอ? น้องฮ่าวหราน นายชอบสะสมของโบราณงั้นเหรอ? เอาแบบนี้ไหมนายลองมาดูของสะสมของฉันก่อนดีรึเปล่า ฉันมีของโบราณดี ๆ อยู่หลายชิ้นเหมือนกันเผื่อนายจะชอบ?”

หลังจากโทรถาม เฉิงกัวอันพลันตอบกลับมาด้วยน้ำเสียงที่สนิทสนมมากกว่าเดิม

“ไม่เป็นไร ๆ แค่บอกสถานที่ ที่ผมจะหาซื้อพวกมันได้ก็พอ”

อวี้ฮ่าวหรานไม่อยากจะเอาเปรียบฝั่งตรงข้ามมากไปกว่านี้เขาจึงเลือกที่จะปฏิเสธไปและอยากจะพึ่งพาตัวเองก่อน

“อืม…ถ้างั้นก็คงต้องเป็นตามพวกงานประมูลทั้งหลายแล้วล่ะนะ ฉันรู้จักสถานที่เปิดประมูลของโบราณอยู่ที่หนึ่งซึ่งเปิดอาทิตย์ละครั้ง และวันนี้ก็เป็นวันที่พวกเขาเปิดประมูลของกันพอดี”

คำตอบนี้ของเฉิงกัวอันทำให้ดวงตาของอวี้ฮ่าวหรานเปล่งประกาย!

จริงด้วย!

เขาลืมไปซะสนิทเลย พวกของโบราณดี ๆ มันจะหลุดมาอยู่ตามตลาดธรรมดา ๆ แบบนี้ได้ยังไง! พวกของโบราณของแท้แทบทั้งหมดมันน่าจะขายตามงานประมูลใหญ่ ๆ ต่างหาก!

เมื่อคิดได้เช่นนี้ อวี้ฮ่าวหรานจึงรีบออกจากตลอดขายของเก่าและขับรถไปยังสถานที่จัดงานประมูลตามที่เฉิงกัวอันบอกทันที

หลังจากครึ่งชั่วโมงผ่านไป

ที่หน้าประตูทางเข้าตึกอันหรูหรา

“คุณคะทางเราขออภัยด้วยจริง ๆ แต่ที่นี่มีแต่แขกผู้ที่ได้รับบัตรเชิญเท่านั้นถึงจะสามารถเข้าไปด้านในได้”

อวี้ฮ่าวหรานถูกพนักงานต้อนรับหญิงหยุดเอาไว้ที่หน้าประตูทางเข้า ซึ่งที่ด้านข้างของหญิงสาวก็มีเจ้าหน้าที่รักษาความปลอดภัยร่างใหญ่ในชุดสูทดำสองคนคอยมองอวี้ฮ่าวหรานอย่างระมัดระวัง

“บัตรเชิญ?”

อวี้ฮ่าวหรานขมวดคิ้วทันทีเมื่อได้ยินเช่นนี้ เฉิงกัวอันไม่เห็นจะพูดถึงมันเลยตอนที่คุยโทรศัพท์กัน แต่ถ้าดูจากการคุยเมื่อครู่ เขาเดาว่าเฉิงกัวอันคงจะไม่เคยมาที่นี่มาก่อน ดังนั้นเฉิงกัวอันก็เลยไม่น่าจะรู้เรื่องนี้เหมือนกัน

นี่มันเป็นปัญหาซะแล้ว

แต่แล้วในระหว่างที่เขากำลังจะถอยกลับ เสียงทักหนึ่งก็พลันดังขึ้นจากด้านหลัง

“ขอโทษที ไม่ทราบว่านายใช่น้องอวี้? อวี้ฮ่าวหรานรึเปล่า?”

ในทันทีที่อวี้ฮ่าวหรานหันกลับไป เขาก็เห็นว่ามีชายฉกรรจ์กลุ่มใหญ่ในชุดสูทกำลังจ้องมองเขาอยู่

“ใช่ พวกนายเป็นใคร?”

“ฮ่าฮ่า! ในที่สุดก็หาเจอสักที ยากจริง ๆ กว่าจะตามหานายเจอ!”

คนที่เป็นเหมือนผู้นำกลุ่มตอบกลับทันทีด้วยสีหน้าเบิกบานซึ่งดูเหมือนว่าเขาไม่ได้มาที่นี่เพื่อหาเรื่อง

“อันดับแรกฉันขอแนะนำตัวเองก่อน ฉันคือหวังเหยียน มีตำแหน่งเป็นหนึ่งในแกนหลักของแก๊งพยัคฆ์เวหา ฉันตามหานายเพราะลูกพี่เฟยหู่ต้องการตอบแทนที่นายช่วยชีวิตเขาเอาไว้!”

อวี้ฮ่าวหรานรู้สึกประหลาดใจยิ่ง เมื่อรู้ว่าหวังเหยียนเป็นคนของแก๊งพยัคฆ์เวหา เพราะรูปร่างของหวังเหยียนมันดูไม่เหมือนสมาชิกแก๊งใต้ดินสักเท่าไหร่ หน้าตาของเขาดูสะอาดสะอ้านและร่างกายของเขาก็ดูผอมบาง

และยิ่งไปกว่านั้น เขาไม่คิดว่าโจวเฟยหู่จะเป็นคนที่รู้จักบุญคุณมากขนาดนี้ นี่มันผ่านไปยังไม่ถึง 3 ชั่วโมงด้วยซ้ำ แต่โจวเฟยหู่กลับส่งคนมาตอบแทนเขาแล้ว?

ดูเหมือนว่าเขาจะมองคนไม่ผิดเลยจริง ๆ

ทางด้านของหวังเหยียน เมื่อเห็นว่าอวี้ฮ่าวหรานยังคงพูดไม่ออกเพราะความประหลาดใจ เขาจึงยิ้มและพูดต่อ

“น้องชายไม่ต้องประหลาดใจไปหรอก นายอุตส่าห์ช่วยลูกพี่เฟยหู่เอาไว้ดังนั้นมันจึงเป็นเรื่องปกติที่พวกเราจะต้องตอบแทน นี่เป็นเช็คเงินสดซึ่งเป็นสินน้ำใจเล็ก ๆ น้อย ๆ จากพวกเรา”

“และนอกจากนี้… หากในอนาคตน้องชายมีปัญหาอะไรนายสามารถขอความช่วยเหลือจากพวกเราแก๊งพยัคฆ์เวหาได้เสมอ ไม่ว่าจะเป็นปัญหาเล็กหรือใหญ่แค่ไหนพวกเราสัญญาว่าจะช่วยอย่างสุดความสามารถแน่นอน!”

หลังจากพูดจบ หวังเหยียนจึงยืนเช็คเงินสดให้กับอวี้ฮ่าวหรานด้วยสีหน้ายิ้มแย้ม