“เป็นผู้จัดหาวัตถุดิบให้เซียนจวีโหลว เราจะลงนามในสัญญากับท่าน จากนี้ไม่ใช่แค่ผักตี้เอ่อ ขอเพียงรับประกันความปลอดภัยได้ ต่อไปหากท่านมีของดีอะไรก็ล้วนสามารถจัดหามาให้เซียนจวีโหลวได้ เรื่องราคาสามารถตกลงกันได้ ต้องให้ฮูหยินพึงพอใจแน่นอน”
“แต่ว่า…” เซี่ยยวี่หลัวลังเลเล็กน้อย “ข้าเป็นสตรี หากปรากฏตัวต่อหน้าผู้คน…”
อย่างไรเสียก็ไม่ดี!
ถึงแม้จิตใจเซี่ยยวี่หลัวเป็นหญิงในยุคปัจจุบัน และเป็นผู้หญิงทำงานที่มีความสามารถ แต่นางก็ตระหนักถึงจริยธรรมอันเข้มงวดของสตรีในสังคมศักดินา กฎเกณฑ์บางอย่าง ไม่ใช่สิ่งที่สตรีผู้อ่อนแออย่างนางจะทัดทานได้
ดังนั้น เมื่อเซี่ยยวี่หลัวมาในสังคมนี้แล้วจึงอยากอยู่อย่างสงบใจ ภายใต้สถานการณ์ที่รับประกันได้ว่าตัวเองสามารถอยู่รอดอย่างปลอดภัย เซี่ยยวี่หลัวจะไม่ทำลายกฎเกณฑ์เหล่านี้
เรื่องนี้ซ่งฉางชิงคาดการณ์ไว้แล้ว
“ฮูหยินไม่ต้องคิดมาก ขณะนี้มีฮูหยินคนเดียวที่รู้จักผักตี้เอ่อ นี่ก็ถือเป็นโอกาสหาเงินเหมือนกันไม่ใช่หรือ? “
ซ่งฉางชิงกล่าว “เซียนจวีโหลวรับแต่ผักตี้เอ่อจากฮูหยิน ในฐานะคนจัดหา ฮูหยินก็สามารถหากำไรส่วนต่างได้ไม่น้อย หากฮูหยินไม่สะดวกจะเปิดเผยตัวต่อผู้คน ฮูหยินบอกที่อยู่ให้ข้า ข้าจะให้เสี่ยวเอ้อของภัตตาคารไปรับของถึงที่ทุกวัน จะไม่ให้ส่งผลกระทบต่อฮูหยินแม้แต่น้อย หากวันใดที่ฮูหยินไม่อยากเป็นคนจัดหาแล้ว และข้าหาคนจัดหาใหม่ได้แล้ว ก็จะไม่รบกวนฮูหยินอีก”
เขากล่าวอย่างจริงใจ ทั้งยังมีสีหน้าลำบากใจ ทำให้เซี่ยยวี่หลัวไม่อาจปฏิเสธได้
เซี่ยยวี่หลัวเข้าใจเหตุผลทั้งหมด และเข้าใจถึงความยุ่งยากที่มี แต่อีกฝ่ายขอร้องต่อหน้าตนเอง เซี่ยยวี่หลัวก็ได้แต่ตอบตกลง “เช่นนั้นก็ได้ ท่านรีบหาคนจัดหาผักตี้เอ่อให้ได้ ข้าจะช่วยจัดหาให้ท่านก่อน”
หลังจากพูดคุยเรื่องราคารับซื้อวัตถุดิบเรียบร้อย ซ่งฉางชิงจึงเริ่มร่างสัญญาจัดหาวัตถุดิบ
เซี่ยยวี่หลัวรู้สึกประหลาดใจ “ปกติแล้วเรื่องคนจัดหาวัตถุดิบต้องผ่านการพูดคุยกับเถ้าแก่แล้วถึงจะกำหนดได้ ท่านซ่งคุยกับข้า หากเถ้าแก่มีความเห็นต่าง ถึงเวลาอาจทำให้ท่านซ่งลำบาก…”
เซี่ยยวี่หลัวรู้ว่าคนผู้นี้อยากให้นางได้เงินเพิ่มด้วย แต่หากซ่งฉางชิงตัดสินใจเอง ไม่ถามความคิดเห็นเถ้าแก่ก่อน ถ้าทำให้เถ้าแก่ไม่พอใจ จะทำให้ท่านซ่งเดือดร้อน
ซ่งฉางชิงแย้มรอยยิ้ม เป่าหมึกบนสัญญาที่ตัวเองร่างเสร็จแล้ว ยิ้มพร้อมกล่าว “ฮูหยินไม่ต้องเป็นห่วง เถ้าแก่ไม่เห็นต่างแน่นอน! “
เซี่ยยวี่หลัว “…”
มั่นใจถึงเพียงนี้เชียว?
หรือว่าเถ้าแก่ภัตตาคารแห่งนี้มีความสัมพันธ์เป็นญาติกับท่านซ่ง?
เห็นประกายสงสัยในแววตาเซี่ยยวี่หลัว ซ่งฉางชิงลุกขึ้น ท่ามกลางแววตาตกตะลึงของเซี่ยยวี่หลัว เขาเขียนชื่อตัวเองลงไปในสัญญา
“ข้าเป็นนายบัญชีของเซียนจวีโหลว และเป็นเถ้าแก่ของเซียนจวีโหลวด้วย เซียนจวีโหลวแห่งนี้ เป็นของข้า” ซ่งฉางชิงเลื่อนสัญญาไปให้เซี่ยยวี่หลัว
เขาไม่ได้ยื่นพู่กันให้ แต่ดันหมึกแดงตรงหน้าไปให้
ฮูหยินผู้นี้ถึงแม้จะมีรูปลักษณ์งดงาม แต่กลับแต่งกายธรรมดา พาเด็กสองคนอยู่ข้างกาย แต่งตัวเหมือนชาวไร่ชาวนาทั่วไป ซ่งฉางชิงรู้ว่า สตรีที่มาจากหมู่บ้านชนบทส่วนใหญ่จะไม่รู้หนังสือ และเขียนหนังสือไม่เป็น
เขาจึงคิดเองว่า เซี่ยยวี่หลัวก็เป็นหนึ่งในกลุ่มคนที่ไม่รู้หนังสือ
เซี่ยยวี่หลัวไม่มองหมึกแดงด้วยซ้ำ ยกมือขึ้นหยิบพู่กันขนหมาป่าจากแท่นวางพู่กัน หลังจากจุ่มน้ำหมึก ท่ามกลางความตกตะลึงของซ่งฉางชิง นางเขียนชื่อตัวเองลงตรงช่องลงนาม
‘เซี่ยยวี่หลัว’
รูปแบบตัวอักษรที่นางเขียนคือรูปแบบจานฮวา[1] ภพก่อนตอนฝึกเขียนพู่กัน ตัวอักษรจานฮวาเป็นรูปแบบที่นางเขียนบ่อยที่สุด ท่านปู่เป็นคนสอนนาง บอกว่าสตรีสงบเสงี่ยมสง่าอ่อนช้อย ควรฝึกตัวอักษรของฮูหยินเว่ย
ฮูหยินเว่ยเป็นคนคิดค้นตัวหนังสือรูปแบบจานฮวา ขึ้นชื่อเรื่องความอรชรงดงามสะอาดตา การเขียนพู่กันของนางดูสง่าอ่อนช้อย บนพื้นฐานของเส้นตัวหนังสือที่เรียบบาง ยังมีกลิ่นอายงดงามปราดเปรื่อง
ซ่งฉางชิงมองดูตัวหนังสือสามตัวนั้น สั่นสะท้านจนกล่าวอะไรไม่ออกแม้แต่คำเดียว
หากจะกล่าวว่าตัวหนังสือสามตัวนั้นดูอรชรแช่มช้อยประหนึ่งเทพธิดาก็ไม่เกินจริง
ตั้งแต่เขาพูดเป็นก็เริ่มเรียนหนังสือฝึกพู่กัน เมื่อลองนับดู ก็ผ่านมาสิบหกถึงสิบเจ็ดปีแล้ว ตัวหนังสือของเขา ในกลุ่มคนอายุไล่เลี่ยกัน ถือว่าดีที่สุดในระดับดีเยี่ยม ถึงจะเทียบกับนักเขียนพู่กันเลื่องชื่อไม่ได้ แต่ก็ดูดีมีลักษณะเด่นเป็นของตัวเอง
เมื่อลองเทียบกับตัวหนังสือของสตรีที่ดูไปแล้วอายุน้อยกว่าตนเองสี่ถึงห้าปี ระดับของเขายังเทียบกับแม่นางตรงหน้าไม่ได้ด้วยซ้ำ
ซ่งฉางชิงรู้สึกเก้อเขินเล็กน้อย ยกมือขึ้นลูบจมูกโดยไม่ทันรู้ตัว
เมื่อครู่เขานึกว่านางเขียนหนังสือไม่เป็น จึงยื่นหมึกแดงให้นาง ได้แต่ภาวนาให้นางไม่เข้าใจความหมายที่เขาจะสื่อ
เด็กสองคนอยู่ห้องข้างๆ กินขนมไม่กี่ชิ้น ก็ไม่ได้กินอีก ถึงแม้ขนมจะอร่อย ทั้งยังไม่ต้องเสียเงิน แต่พวกเขายังจำคำสั่งสอนของพี่สะใภ้ใหญ่ได้ขึ้นใจ อยู่ข้างนอก ต้องกินเพียงพอประมาณ หลังจากกินไปสองชิ้นพอเป็นพิธีก็ไม่ได้กินอีก
ซ่งฝูบ่าวรับใช้คนสนิทของซ่งฉางชิงอยู่ห้องข้างๆ คอยดูแลเด็กสองคนตลอด เด็กสองคนนี้ถึงแม้จะแต่งตัวธรรมดา ทว่า ตั้งแต่เสี้ยววินาทีที่นำขนมและผลไม้มาวาง เด็กสองคนไม่ได้ลืมตัวเพราะของกินแม้แต่น้อย พวกเขากินขนมคนละชิ้นอย่างเงียบสงบ หลังจากกินผลไม้อีกคนละหนึ่งชิ้น ก็นั่งอยู่ตรงนั้นอย่างสงบ ไม่ได้ยื่นมือไปแตะสิ่งของใดๆ บนโต๊ะอีก
เด็กสองคนไม่ซุกซน นั่งอย่างเงียบสงบ พูดคุยกันเป็นครั้งคราว รอเซี่ยยวี่หลัวที่อยู่ห้องข้างๆ อย่างสงบเรียบร้อย
เมื่อทั้งสามคนออกจากเซียนจวีโหลว ในภายหลังขณะที่ซ่งฝูรายงานเรื่องเด็กสองคนให้ซ่งฉางชิงฟัง ดวงหน้าเรียบสงบของซ่งฉางชิงก็ไม่มีความเปลี่ยนแปลงสักนิด
เขาเพียงมองหนังสือสัญญาบนโต๊ะที่หมึกแห้งไปแล้ว ตัวอักษรเซี่ยยวี่หลัวบนนั้นช่างอ่อนช้อยดูมีชีวิตชีวา ตัวหนังสือประหนึ่งคนเขียน เป็นดั่งคำกล่าวนี้จริงๆ
“นับตั้งแต่พรุ่งนี้ ทุกเช้าให้เจ้าไปหมู่บ้านสกุลเซียวหนหนึ่ง” ซ่งฉางชิงกล่าว
“คุณชาย ไปหมู่บ้านสกุลเซียวทำไมหรือขอรับ? ” ซ่งฝูกล่าวด้วยความสงสัย
“ตั้งแต่พรุ่งนี้ ภัตตาคารของเราจะขายอาหารใหม่สองชนิด วัตถุดิบของอาหารสองชนิดนั้นจะให้ฮูหยินผู้นั้นเป็นคนจัดหา เจ้าไปรับสินค้าที่หมู่บ้านสกุลเซียว”
“พวกเราไปรับสินค้า? คุณชาย ที่ผ่านมาคนจัดหาต้องส่งสินค้ามาที่เซียนจวีโหลวด้วยตัวเองไม่ใช่หรือขอรับ? พวกเราไปรับถึงที่ จะเป็นการผิดกฎเกณฑ์การรับสินค้าหรือไม่ขอรับ? ”
ซ่งฉางชิงหันมองเขาอย่างเรียบสงบ ซ่งฝูไม่กล้ากล่าวอะไรทันที ก้มหน้ายืนอยู่ข้างๆ ด้วยท่าทางเคารพ
“ข้าเป็นคนกำหนดกฎเกณฑ์ ข้าอยากเปลี่ยนก็เปลี่ยน ไปรับในเวลาที่กำหนดทุกวัน และชำระเงินสดทุกวัน”
นางน่าจะขาดเงินมาก ยามที่เห็นเงินสิบตำลึง ยิ้มจนเหมือนจิ้งจอกน้อยที่แอบกินอาหารก็มิปาน
ซ่งฝูสะกดความสงสัยในใจไว้ รีบขานตอบ
เซี่ยยวี่หลัวออกจากเซียนจวีโหลว พาเด็กสองคนรีบกลับหมู่บ้านไป
เดิมทีนางได้เงินมาก็อยากพาเด็กสองคนไปเดินดูตลาด แต่ขณะนี้ถูกบีบจนไม่เหลือเวลาแม้แต่น้อย
พรุ่งนี้ยามเฉิน*จะมีคนมารับสินค้าที่บ้าน ไม่ว่าอย่างไร ก็ต้องได้ปริมาณที่ทำให้เซียนจวีโหลวพึงพอใจ
(*ยามเฉิน คือ 1 ใน 12 ชั่วยามของจีน เป็นช่วงเวลาระหว่าง 7 โมง ถึง 9 โมงเช้า)
เชิงอรรถ
[1]ตัวอักษรรูปแบบจานฮวา