ตอนที่ 91 พรหมลิขิต

ยามดอกวสันต์ผลิบาน

พี่ชายของอาจูอย่างนั้นหรือ

 

 

จูคุน หรือก็คือ จูเผิงจวี่ผู้นั้นน่ะหรือ

 

 

ทว่านี่เกี่ยวอะไรกับพวกนางด้วย

 

 

โจวเสาจิ่น โจวชูจิ่นและกูที่สิบเจ็ดของตระกูลกู้มองหน้ากันและกันอย่างงุนงง

 

 

กงมามายิ้มเจื่อน ๆ พลางกล่าวว่า “เดิมทีคุณหนูใหญ่ของพวกข้าตั้งใจว่าจะใช้โอกาสนี้ออกมาดูหอกลอง แต่ถ้าหากต้องมารวมตัวกับซื่อจื่อ หอกลองนี้ก็คงจะไปไม่ได้เสียแล้ว”

 

 

ที่แท้ก็เป็นเช่นนี้!

 

 

โจวเสาจิ่น โจวชูจิ่นและกูที่สิบเจ็ดของตระกูลกู้หัวเราะออกมาอย่างอดไม่ได้ รีบสาวเท้าไล่ตามอาจูไป แต่ทว่าพวกนางเพิ่งจะก้าวได้เพียงไม่กี่ก้าว ก็มีเสียงขององครักษ์ดังขึ้นมาอยู่ข้างหลัง “คุณหนูใหญ่โปรดหยุดก่อน! ซื่อจื่ออยู่ทางนี้ขอรับ”

 

 

อาจูได้ยินแล้วไม่เพียงไม่ยอมหยุด แต่กลับวิ่งเร็วยิ่งขึ้นอีกด้วย

 

 

มีองครักษ์สองสามคนวิ่งมาหยุดอยู่ที่ด้านหน้าของอาจูกับเฉิงเจีย แล้วค้อมศีรษะโค้งคำนับ กล่าวด้วยน้ำเสียงเคร่งขึ้นว่า “คุณหนูใหญ่ ซื่อจื่อขอให้ท่านหยุดก่อนขอรับ!”

 

 

อาจูฉุนเฉียวและกระทืบเท้าอย่างไม่ยินยอม

 

 

เฉิงเจียหัวเราะร่า เนื่องจากรีบวิ่งมาใบหน้าที่แดงก่ำจึงเผยให้เห็นสีหน้าซุกซนราวกับเด็กน้อยก็ไม่ปาน

 

 

สงสัยนางคงจะคิดว่าเป็นเรื่องสนุกอยู่กระมัง

 

 

โจวเสาจิ่นยิ้มพลางส่ายศีรษะ

 

 

อาจูถูกองครักษ์พาไปเข้าพบพี่ชายของนางโดยมีกงมามาติดตามไปด้วย โจวเสาจิ่นและคนอื่น ๆ จึงยืนรอนางอยู่ที่ใต้ต้นไม้ข้างทะเลสาบโม่โฉว

 

 

ผ่านไปครู่หนึ่ง มีชายวัยกลางคน ใบหน้าขาวเกลี้ยงเกลาคนหนึ่งเดินเข้ามาทักทายพวกนาง

 

 

โจวชูจิ่นกับกูที่สิบเจ็ดของตระกูลกู้ตกใจยิ่งนัก

 

 

ส่วนเฉิงเจียก็มองสำรวจเขาด้วยความอยากรู้อยากเห็น

 

 

โจวเสาจิ่นรู้ว่าท่านผู้นี้น่าจะเป็นขันทีข้างกายของจูเผิงจวี่ เห็นทั้งสามคนต่างไม่พูดไม่จา จำต้องก้าวออกไปแสดงการตอบรับอย่างยิ้มแย้ม

 

 

ขันทีผู้นั้นรู้สึกประหลาดใจเล็กน้อย ยิ้มพลางกล่าวขึ้นว่า “ตระกูลของข้าแซ่หยาง ท่านคงจะเป็นคุณหนูรองตระกูลโจว นายท่านสี่ผู้เป็นท่านน้าของท่านกับซื่อจื่อของพวกข้ามาเที่ยวงานวัดด้วยกัน!” เขากล่าวพลางเงยหน้ามองไปที่โจวชูจิ่นและคนอื่น ๆ แล้วเอ่ยถามว่า “ไม่ทราบว่าท่านใดคือคุณหนูใหญ่ตระกูลโจว ท่านใดคือคุณหนูที่สิบเจ็ดตระกูลกู้ นายท่านที่สิบสองของตระกูลกู้ก็มาเที่ยวงานวัดกับซื่อจื่อของพวกข้าด้วยเช่นเดียวกัน ซื่อจื่อของพวกข้ามีของขวัญมามอบให้!” เขากล่าวด้วยสำเนียงขุนนางในราชสำนักอย่างคล่องแคล่วและไหลลื่น

 

 

โจวเสาจิ่นคิดไม่ถึงว่าเฉิงฉือจะมาเที่ยวงานวัดด้วย…คนประเภทเขา ไม่ใช่ว่าน่าจะปลีกตัวไปนั่งกินลมเย็นไปด้วยพลางดื่มชาไปด้วยอยู่บนบนยอดภูเขาอย่างส่งสง่าตัวคนเดียวอย่างสันโดษหรอกหรือ

 

 

อย่างไรก็ตาม หากว่าเขาไปนั่งกินลมเย็นถึงบนยอดภูเขาจริง ๆ ตอนนี้ได้เข้าช่วงปลายฤดูร้อนต้นฤดูใบไม้ร่วงแล้ว ยามค่ำคืนไม่ได้ร้อนแผดเผาเช่นในฤดูร้อน ไม่รู้ว่าเขาจะถูกลมเย็นพัดจนทำให้ตัวสั่นหรือไม่

 

 

เมื่อคิดว่าเฉิงฉือก็สามารถร่วงจากสรวงสวรรค์สู่โลกมนุษย์ได้เช่นกันแล้ว โจวเสาจิ่นก็อดไม่ได้หัวเราะ ‘คิก’ ขึ้นมาครั้งหนึ่ง

 

 

สายตาของทุกคนตกไปอยู่บนร่างของนางอย่างฉงน

 

 

แย่แล้ว!

 

 

โจวเสาจิ่นหน้าแดงก่ำ รีบยืดตัวยืนตรง ระหว่างที่กำลังลนลานนั้นก็หาทางออกให้ตัวเองว่า “ข้าไม่คิดว่าจะได้รับของขวัญเจ้าค่ะ…”

 

 

หยางกงกงเพียงแค่ยิ้มแต่ไม่ได้กล่าวอะไร ทว่าเฉิงเจียกลับทอดสายตาดูแคลนมาที่นางครั้งหนึ่ง ราวกับกำลังพูดว่า เจ้าหลอกใครอยู่หรือ เป็นกูที่สิบเจ็ดของตระกูลกู้ ที่รู้รายละเอียดตื้นลึกหนาบางดี อีกทั้งยังเกี่ยวดองกับลูกหลานตระกูลผู้ดีมากมาย ตอนนี้จึงรู้สึกตัวขึ้นมา อีกทั้งยังมีใจต้องการแก้สถานการณ์ให้โจวเสาจิ่น จึงรีบก้าวออกไปกล่าวขึ้นว่า “กงกง ข้าแซ่กู้ เป็นลำดับที่สิบเจ็ดของตระกูลเจ้าค่ะ”

 

 

เมื่อนางเปล่งคำว่า กงกง โจวชูจิ่นและเฉิงเจียต่างก็เข้าใจขึ้นมา

 

 

โจวชูจิ่นยิ้มพลางย่อเข่าทำความเคารพขันทีผู้นั้น จากนั้นกล่าวตามคุณหนูที่สิบเจ็ดตระกูลกู้ว่า “ข้าแซ่โจว เป็นลำดับที่หนึ่งของตระกูลเจ้าค่ะ”

 

 

เฉิงเจียมองสำรวจหยางกงกงผู้นั้นไปครู่หนึ่ง ถึงกล่าวขึ้นว่า “ข้าแซ่เฉิง เป็นลำดับที่สี่ในบรรดาพี่สาวน้องสาว นายท่านสี่ฉือเป็นท่านอาของข้าเจ้าค่ะ”

 

 

โจวเสาจิ่นปรารถนาให้ตัวเองสามารถก้าวออกไปปิดตาของเฉิงเจียเอาไว้เสีย

 

 

ในชาติก่อนนางเคยคบหาสมาคมกับขันทีภายในวัง พวกเขาล้วนดูเป็นปกติยิ่ง มีบางคนยังหล่อเหลาและสูงสง่าราวกับต้นอวี้ซู่ท่ามกลางสายลม สุภาพเรียบร้อย ทว่าในที่ลับตาคน กลับมีความชื่นชอบหลากหลาย ดูเหมือนว่าพอเฉิงเจียรู้ยศตำแหน่งของพวกเขาจึงมองสำรวจพวกเขาด้วยความอยากรู้อยากเห็น ส่วนใหญ่หากกระทำเช่นนี้จะต้องถูกรังเกียจเป็นแน่

 

 

ทว่าหยางกงกงกลับละเว้นไว้ ยิ้มพลางกวักมือ มีบ่าวเด็กถือถาดดอกไห่ถังเคลือบสีแดงใบเล็กใบหนึ่งก้าวออกมา

 

 

โจวเสาจิ่นเห็นแล้วก็รู้สึกกังวลใจเป็นอย่างมาก

 

 

กงกงบางคน ยิ่งสั่งสมความเกลียดชังอยู่ในใจ ใบหน้าก็ยิ่งดูสงบนิ่งไม่ไหวติง

 

 

ไม่รู้ว่าหยางกงกงผู้นี้จะเป็นคนเช่นไร ประเดี๋ยวค่อยถามอาจูดูว่าสามารถเปิดเผยเรื่องนี้ได้หรือไม่…หรือว่าบอกท่านฉือสักหน่อย? อย่างไรเสียก็เกี่ยวข้องกับตระกูลเฉิง ใครจะรู้ว่าขันทีผู้นี้จะสร้างปัญหาให้ตระกูลเฉิงยามอยู่ต่อหน้าเหลียงกั๋วกงหรือไม่ ความสัมพันธ์ระหว่างท่านน้าฉือกับจูเผิงจวี่ก็ไม่เลวนัก น่าจะสามารถพูดคุยกันได้

 

 

นางครุ่นคิดพลางมองไปที่ถาดครั้งหนึ่ง เห็นว่าบนถาดใบนั้นปูเอาไว้ด้วยผ้ากำมะหยี่สีแดงเข้มเท่านั้น บนผ้ากำมะหยี่วางจี้หยกสี่ชิ้นเรียงกัน แกะสลักเป็นลายดอกเหมย ต้นไผ่ ดอกหลาน และต้นสนแตกต่างกันไป เนื้อหยกก็คุณภาพทั่ว ๆ ไป ฝีมือแกะสลักก็ธรรมดาสามัญ แค่มองก็รู้แล้วว่าซื้อมาจากร้านค้าร้านใดมาเพื่อการนี้โดยเฉพาะ

 

 

แต่สุดท้ายแล้วก็ถือเป็นน้ำใจของจูเผิงจวี่ครั้งหนึ่ง พวกนางจึงกล่าวขอบคุณ

 

 

โจวชูจิ่นอายุมากที่สุด ตามธรรมเนียมแล้วควรจะเป็นนางที่ได้เลือกก่อน ทว่านางกลับคิดว่าตนเองกับโจวเสาจิ่นและเฉิงเจียเป็นครอบครัวเดียวกัน จึงให้กูที่สิบเจ็ดของตระกูลกู้เป็นคนเลือกก่อน

 

 

กูที่สิบเจ็ดตระกูลกู้ไม่ได้มีท่าทีปฏิเสธ แต่กล่าวขอบคุณโจวชูจิ่นอย่างสดใส แล้วเลือกจี้หยกที่แกะสลักเป็นรูปต้นสนหนึ่งชิ้น จากนั้นโจวชูจิ่นก็ให้เฉิงเจียเลือก เฉิงเจียก็ไม่ได้กล่าวอะไรมากเช่นกัน มองดูแล้วก็เลือกจี้หยกรูปดอกเหมย โจวชูจิ่นจึงมอบจี้หยกรูปดอกหลานให้แก่โจวเสาจิ่น ส่วนตนก็เก็บจี้หยกรูปไม้ไผ่ชิ้นนั้นไป

 

 

ระหว่างนี้หยางกงกงยืนดูอยู่ข้าง ๆ โดยตลอด เห็นพวกนางเลือกจี้หยกเสร็จแล้ว จึงยิ้มพลางกุมมือคำนับแล้วพาบ่าวเด็กเดินออกไป

 

 

กูที่สิบเจ็ดตระกูลกู้กระซิบกล่าวกับเฉิงเจียว่า “ขันทีเหล่านั้นต่างก็เป็นผู้ที่มีร่างกายไม่สมบูรณ์ เจ้าไม่ควรจะจ้องมองเขาเช่นนั้น เขาอาจจะเคืองแค้นอยู่ในใจก็เป็นได้”

 

 

“มีเรื่องเช่นนี้ด้วยหรือ!” เฉิงเจียกล่าวอย่างประหลาดใจแต่ก็ไม่ได้ใส่ใจนัก

 

 

โจวชูจิ่นได้ยินแล้วกลับรู้สึกเป็นกังวลเล็กน้อย เอ่ยถามกูที่สิบเจ็ดของตระกูลกู้ว่า “เช่นนั้นจะเป็นเรื่องร้ายแรงหรือไม่ มีวิธีแก้ไขหรือไม่”

 

 

กูที่สิบเจ็ดของตระกูลกู้กับโจวเสาจิ่นก็นคิดเช่นนั้นเหมือนกัน จึงกล่าวว่า “บอกผู้ใหญ่ในตระกูลสักหน่อยดีหรือไม่ ท่านอาสี่ฉือกับซื่อจื่อของจวนเหลียงกั๋วกงมีความสัมพันธ์ที่ดีต่อกันเป็นอย่างมาก หากเกิดอะไรขึ้นมา…ก็สามารถขอเขาช่วยออกหน้าให้ได้”

 

 

ทว่าเฉิงเจียกลับไม่คำนึงถึงเรื่องวุ่นวายที่อาจจะตามมาแม้แต่น้อย ในทางตรงกันข้าม กลับกล่าวขึ้นว่า “ไอ้โหยว ไม่ว่าจะกล่าวอย่างไร อย่างไรเสียก็เป็นบ่าวรับใช้ผู้หนึ่งเท่านั้น ประเดี๋ยวข้าจะบอกอาจู ไม่ได้ร้ายแรงอะไร!” จากนั้นนางก็ดึงตัวกูที่สิบเจ็ดของตระกูลกู้ไปไตร่ถามเกี่ยวกับจวนของเหลียงกั๋วกง “ตระกูลของพวกเขาเป็นเพียงตระกูลกั๋วกงมิใช่หรือ เหตุใดถึงสามารถใช้ขันทีได้”

 

 

กูที่สิบเจ็ดของตระกูลกู้ก็พอจะมองนิสัยของเฉียเจิงออก รู้ดีว่ากล่าวมากเกินไปก็ไม่มีประโยชน์ อีกทั้งไม่คิดจะโต้เถียงกับนาง จึงกล่าวว่า “จวนเหลียงกั๋วกงเดิมทีคือเหลียงอ๋อง เป็นน้องชายแท้ ๆ ขององค์ฮ่องเต้ไท่จง เป็นราชนิกุลที่แท้จริง ต่อมาถูกเข้าพัวพันในคดีของหลิวหลานอวี้ จึงถูกลดตำแหน่งเป็นกั๋วกง แต่ก็ยังคงเพลิดเพลินกับส่วนแบ่งของราชา…” กล่าวถึงตรงนี้ นางชำเลืองมองโจวเสาจิ่นครั้งหนึ่ง “กงกงผู้รับใช้อยู่ข้างกายเหล่านั้น ล้วนแล้วแต่เป็นผู้ที่ถูกส่งมาจากในหยาเหมินชั้นใน ดูเหมือนว่าทุก ๆ สามปีหรือทุก ๆ หกปีจะเปลี่ยนตัวครั้งหนึ่ง ข้าก็จำได้ไม่แน่ชัดนัก ต้องกลับไปถามท่านอาหกของข้าอีกที”

 

 

ผ่านไปครู่หนึ่งโจวเสาจิ่นถึงได้สะดุดใจ

 

 

กูที่สิบเจ็ดของตระกูลกู้กำลังจะบอกพวกนางว่า จวนเหลียงกั๋วกงนั้นอยู่ในตำแหน่งที่น่าอับอายในราชสำนักอย่างนั้นหรือ และเห็นชัดว่าพวกขันทีเหล่านั้นที่มารับใช้จวนเหลียงกั๋วกง ความจริงแล้วคือมาเพื่อตรวจตราจวนเหลียงกั๋วกงต่างหาก

 

 

นางมองกูที่สิบเจ็ดของตระกูลกู้แล้วพยักหน้าบ่งบอกว่าตนเองเข้าใจแล้ว

 

 

กูที่สิบเจ็ดของตระกูลกู้จึงโล่งใจไปเปลาะหนึ่ง

 

 

ทว่าเฉิงเจียยังคงไม่เข้าใจ กล่าวขึ้นว่า “นึกไม่ถึงว่าขันทีเหล่านี้จะเย่อหยิ่งขนาดนี้”

 

 

โจวเสาจิ่นหัวเราะไม่ออกร้องไห้ไม่ได้เสียจริง ๆ ครุ่นคิดว่าต้องรีบบอกท่านน้าฉือโดยเร็วถึงจะดี

 

 

อาจูเดินคอตกกลับมา นางกล่าวกับเฉิงเจียอย่างขอโทษขอโพยว่า “ขอโทษนะ เกรงว่าจะไปหอกลองไม่ได้เสียแล้ว พี่ชายของข้าส่งคนมาติดตามพวกเรา หากว่าเขาฟ้องท่านแม่ของข้า ก่อนถึงวันตรุษจีนของปีนี้ข้าก็อย่าได้คิดจะได้ย่างกรายออกมาอีก ข้าเลยคิดว่าจะเชิญพวกเจ้ามาทานปูที่จวนช่วงเดือนเก้าอีกสักครั้ง!”

 

 

เฉิงเจียรีบกล่าวขึ้นว่า “ไม่เป็นไร ๆ ครั้งนี้ไปไม่ได้ ครั้งหน้าพวกเราค่อยไปก็ได้ โอกาสย่อมมีอยู่เสมอ!”

 

 

นี่กล่าวคำพูดอะไรออกมากัน?

 

 

โจวเสาจิ่นกับคนอื่น ๆ ต่างลูบหน้าผากอย่างอดไม่ได้

 

 

ทว่าอาจูกลับดูมีชีวิตชีวาขึ้นมาทันที จับมือของเฉิงเจียพลางกล่าวด้วยรอยยิ้มแจ่มใส “ใช่แล้ว ๆ ๆ! ยังคงเป็นเจ้าที่เข้าใจข้าที่สุด”

 

 

สองคนนี้ ช่างเข้ากันเป็นปี่เป็นขลุ่ยจริง ๆ

 

 

โจวเสาจิ่นรู้สึกเห็นใจกงมามาเล็กน้อย

 

 

อาจูเอ่ยถามเฉิงเจียว่า “พวกเราจะไปที่ไหนกันดี”

 

 

เฉิงเจียกล่าวอย่างเคร่งขรึมว่า “ได้ยินมาว่าภายในหอเซิ่งฉีมีลายพระหัตถ์ของฮ่องเต้ไท่จู่ ไม่รู้ว่าเป็นเรื่องจริงหรือเท็จ”

 

 

“เป็นเรื่องจริง!” อาจูกล่าวยิ้ม ๆ “ตอนที่ข้าเป็นเด็กเคยติดตามเสด็จปู่ของข้าเข้าไปดู ท่านพี่เจียอยากไปดูหรือไม่ ถ้าเช่นนั้นพวกเราไปหอเซิ่งฉีกันเถอะ!”

 

 

“ไปไม่ได้นะเจ้าคะ!” กงมามารีบห้ามอาจูโดยที่ไม่ต้องคิด กล่าวโน้มน้าวว่า “คุณหนูใหญ่ วันนี้เป็นเทศกาลวันสารทจีน ซ้ำยังมีบัณฑิตมากมายที่ออกมาเดินเที่ยวงานวัด หอเซิ่งฉีเป็นสถานที่ที่พวกเขาต้องไปเยี่ยมชม หากว่าพวกเราไปที่นั่น คงจะไม่เหมาะสมมากนักเจ้าค่ะ เอาไว้วันหลังค่อยบอกฮูหยินกั๋วกง ขอให้บุคคลที่ไม่เกี่ยวข้องเหล่านั้นหลีกเลี่ยงออกไป ท่านกับคุณหนูเจียไปเดินเล่นรอบทะเลสาบโม่โฉวอย่างละเอียดเสียดีกว่า ท่านว่าอย่างไรเจ้าคะ”

 

 

ตอนนี้โจวเสาจิ่นเพียงแค่ปรารถนาอยากจะกลับจวน

 

 

นางพอจะมองนิสัยของอาจูออกอยู่บ้างไม่มากก็น้อย จึงกล่าวขึ้นว่า “กงมามากล่าวมาก็มีเหตุผล วันนี้มีคนมากเกินไป ต่อให้พวกเราไป ก็มองเห็นแต่ป้ายประตูทางเข้าเท่านั้น พวกเราค่อยนัดกันไปเที่ยวชมวันอื่นเสียยังจะดีกว่า นอกจากนี้แล้วกลางเดือนเจ็ดยังเป็นวันสารทจีน กลับดึกมากไปก็ไม่ดีนัก”

 

 

ไม่มีเด็กสาวที่ไม่กลัวผี

 

 

อาจูกับเฉิงเจียตกใจกลัวจนสั่นไปทั้งตัว กล่าวขึ้นเป็นเสียงเดียวกันว่า “พวกเราค่อยไปวันอื่นเถอะ”

 

 

กงมามามองโจวเสาจิ่นอย่างขอบคุณครั้งหนึ่ง

 

 

ทุกคนเตรียมตัวกลับ

 

 

ด้านหน้ามีคนเอ่ยถามขึ้นว่า “ไม่ทราบว่าคุณหนูใหญ่ของตระกูลเฉิงจวนสามแห่งซอยจิ่วหรูมาเที่ยวชมทะเลสาบอยู่ที่นี่ใช่หรือไม่”

 

 

ถามหาเฉิงเจีย?

 

 

ทุกต่างต่างมองไปที่เฉิงเจียด้วยความประหลาดใจ

 

 

เฉิงเจียเองก็อึ้งจนกล่าวอะไรไม่ออก

 

 

อาจูบอกให้องครักษ์ปล่อยคนผู้นั้นเข้ามา

 

 

ผู้ที่เดินเข้ามาเป็นนายคนหนึ่งกับบ่าวคนหนึ่ง ผู้ที่เป็นนายท่าทางอายุยี่สิบกว่าปี รูปร่างสูงใหญ่ สวมชุดจื๋อตัวผ้าไหมหูโจวสีเขียวไม้ไผ่ตัวหนึ่ง บริเวณเอวคาดเอาไว้ด้วยเข็มขัดผ้าป่านสีเขียว มีถุงเงินสีครามกับถุงเงินหลากสีห้อยอยู่ซ้ายและขวาคนละข้าง หน้าตาธรรมดายิ่ง แต่สันจมูกกลับตั้งตรง ปลายจมูกงุ้มเล็กน้อย เผยให้เห็นความองอาจกล้าหาญอยู่หลายส่วน ส่วนบ่าวข้างกายอายุสิบห้าสิบหกปี สวมชุดต่วนเฮ่อผ้าเนื้อละเอียดสีเหลืองทองตัวหนึ่ง รองเท้าผ้าสีดำพันเอาไว้รอบขา ดวงตาทั้งคู่กลอกไปมา ท่าทางฉลาดปราดเปรื่องยิ่งนัก

 

 

นี่คือผู้ใดกัน

 

 

โจวเสาจิ่นมองไปที่เฉิงเจีย

 

 

เฉิงเจียมีสีหน้างงงวย เห็นได้ชัดว่าไม่รู้จักชายหนุ่มผู้นั้นเช่นกัน

 

 

ชายหนุ่มผู้นั้นหยุดยืนอยู่ไกล ๆ ยิ้มพลางคำนับเฉิงเจียและกล่าวขึ้นว่า “น้องสาว ข้าคือพี่ชายตระกูลหลี่ของเจ้า เจ้าจำข้าไม่ได้แล้วหรือ เมื่อเช้าข้ายังไปกล่าวอำลาที่จวน…”

 

 

หลี่จิ้ง!

 

 

ไม่น่าเชื่อว่าเขาคือหลี่จิ้ง

 

 

คาดไม่ถึงว่าเขาจะไล่ตามมาถึงที่นี่

 

 

โจวเสาจิ่นอดไม่ได้ชะเง้อหน้าออกมาจากด้านหลังของกงมามา

 

 

ภายใต้แสงจันทร์อันเลือนราง ใบหน้าอันอ่อนหวานของนางราวดอกไม้ ดวงตาสว่างสุกใส สายตาของหลี่จิ้งกวาดมองมาอย่างอดไม่ได้ ทว่าเขามองค้างเป็นเวลาเพียงสองลมหายใจ สายตาก็เคลื่อนกลับไปวางบนร่างของเฉิงเจีย ราวกับว่าเห็นสิ่งของที่สวยงามเป็นอย่างมากขึ้นมาในทันใด จึงต้องมองอย่างละเอียด…แต่ก็เพียงแค่มองอย่างละเอียดเท่านั้น

 

 

ทันใดนั้นโจวเสาจิ่นก็มีความรู้สึกที่เต็มไปด้วยความรู้สึกดีให้กับหลี่จิ้ง

 

 

คนจำนวนมากยามเห็นนางจะไม่อาจละสายตาได้เลย แววตาเต็มไปด้วยความคิดตะกละตะกลาม

 

 

หากเฉิงเจียสามารถแต่งงานกับเขาได้ นั่นถึงจะเป็นบุญวาสนาที่ร่วมสร้างกันมา!

 

 

……………………………………………………………………………..