ตอนที่ 92 แปรผัน

ยามดอกวสันต์ผลิบาน

“อา!” เฉิงเจียชี้ไปที่หลี่จิ้งอย่างตกใจ พลางเอ่ยขึ้นว่า “ข้านึกออกแล้ว ท่านคือท่านพี่ตระกูลหลี่! ท่านกลับไปแล้วมิใช่หรือ ทำไมถึงยังอยู่ที่เมืองจินหลิงเจ้าคะ”

 

 

ครั้นหลี่จิ้งเห็นว่านางจำตนเองได้ ความสดใสสายหนึ่งก็ฉายอยู่ในดวงตา ยิ้มพลางกล่าว “อันที่จริงข้าตั้งใจว่าจะกลับแล้ว แต่ทว่าตอนที่ข้ากำลังเก็บของอยู่ในโรงเตี๊ยมนั้นเถ้าแก่กลับบอกข้าว่า วันนี้เป็นเทศกาลวันสารทจีน รอบทะเลสาบโม่โฉวและริมแม่น้ำฉินไหวล้วนมีผู้คนมากมายมาลอยโคมและจุดดอกไม้ไฟ สวยงามตรึงใจยิ่งนัก ข้าครุ่นคิดว่าข้ามาถึงเมืองจินหลิงนี้ ยังไม่เคยไปเที่ยวทะเลสาบโม่โฉวเลยสักครั้ง จึงพาบ่าวข้างกายคนหนึ่งมาเที่ยวชมด้วย…ไม่คิดว่าจะได้พบกับเหล่าองครักษ์ของจวนเหลียงกั๋วกง ได้ยินคนข้าง ๆ กล่าวว่ามาคุ้มกันจวนเหลียงกั๋วกงและคุณหนูอีกหลายคนจากตระกูลเฉิงที่ออกมาปล่อยโคมลอยน้ำด้วยกัน ก็เลยลองถามดู…ปรากฏว่าได้พบกับน้องสาวจริง ๆ ด้วย!”

 

 

เฉิงเจียหัวเราะคิก

 

 

หลี่จิ้งจึงเอ่ยถามว่า “น้องสาวจะกลับจวนเมื่อใดหรือ ข้าพาคนคุ้มกันมาด้วยหลายคน ต้องการให้ส่งพวกเจ้ากลับไปหรือไม่”

 

 

“ไม่ต้องเจ้าค่ะ ๆ” เฉิงเจียกล่าวยิ้ม ๆ “เพียงแค่มีองครักษ์ของจวนเหลียงกั๋วกงก็พอแล้ว ถ้าหากท่านพี่ไม่ติดธุระอะไรก็ไปเที่ยวชมด้วยตนเองสักหน่อยจะดีกว่า ที่ทะเลสาบโม่โฉวนอกจากหอเซิ่งฉีที่แขวนลายพระหัตถ์ขององค์ฮ่องเต้ไท่จู่แล้ว หอเป้าเยวี่ยและศาลาหูซินก็ล้วนแล้วแต่เป็นสถานที่ที่ควรค่าแก่การไปเที่ยวชม ท่านพี่ลองไปชมดูสักหน่อยสิเจ้าคะ”

 

 

หลี่จิ้งยิ้มพลางตอบรับเสียงหนึ่ง ลังเลใจอยู่ครู่หนึ่ง แล้วจึงกุมหมัดคำนับกล่าวอำลา

 

 

เฉิงเจียถอนหายใจยาวราวกับได้ยกภูเขาออกจากอก

 

 

โจวเสาจิ่นถามอย่างสงสัย “เจ้าถอนหายใจทำไมหรือ”

 

 

เฉียเจียกล่าวขึ้นอย่างประหลาดใจ “เจ้าไม่รู้สึกเลยหรือ”

 

 

“รู้สึกอะไร” โจวเสาจิ่นเอ่ยถาม

 

 

“เจ้าไม่รู้สึกว่าสายตาที่เขามองคนช่างแหลมคมยิ่งนักบ้างหรือ” เฉิงเจียกล่าว “ไม่รู้ว่าเพราะอะไร เมื่อข้าเห็นเขามองข้าแล้วใจของข้าก็ประหม่ายิ่ง กลัวจะทำอะไรผิดพลาด อยากจะให้เขารีบออกไปให้พ้น”

 

 

ทำไมถึงกลายเป็นเช่นนี้ได้

 

 

โจวเสาจิ่นนิ่งเงียบ คิดใคร่ครวญว่าสุดท้ายแล้วหลี่จิ้งนึกอยากมาเที่ยวชมทะเลสาบโม่โฉวดังที่เขากล่าวมาอย่างนั้นหรือ? หรือว่าหลังจากที่พบเฉิงเจียแล้วจึงตัดสินใจที่จะไม่กลับขึ้นมาในทันใด?

 

 

เฉิงเจียร้องครวญขึ้น “พวกเราเลิกพูดถึงเขาเถอะ วันนี้เป็นช่วงกลางเดือนเจ็ด ประตูผีจะเปิดออกกลางดึก พวกเรารีบกลับให้ไวสักหน่อยจะดีกว่า”

 

 

อาจูพยักหน้ารัว เด็กสาวทั้งหลายจึงนัดหมายรวมตัวกันอีกครั้งในเดือนเก้า แล้วแยกย้ายกลับจวนของแต่ละคน

 

 

ไม่ต้องกล่าวถึงภาพที่เฉิงเจียถูกเจียงซื่อดึงตัวไปไถ่ถามเรื่องการไปเที่ยวชมทะเลสาบ โจวเสาจิ่นที่กำลังครุ่นคิดเรื่องที่ว่าจะหาโอกาสไปหาเฉิงฉือเพื่อคุยเรื่องของหยางกงกงอย่างไรดีอยู่นั้น เฉิงฉือกลับส่งคนมาหานางเสียก่อน

 

 

สตรีผู้นั้นอายุราวยี่สิบสาม ยี่สิบสี่ปี เห็นได้ชัดว่าเป็นหญิงสาววัยเยาว์ผู้หนึ่ง ทว่ากลับมวยผมขึ้นเหมือนสตรีที่แต่งงานแล้ว สวมเสื้อคอตั้งผ้าไหมหูโจวสีขาวพระจันทร์ตัวหนึ่งเอาไว้ข้างใน กระดุมไข่มุกขนาดเท่าเม็ดบัว และสวมเสื้อกั๊กปี๋เจี่ยสีกลีบบัวที่ร้อยขอบเอาไว้ด้วยดอกตูมล้ำค่าตัวหนึ่งคลุมทับข้างนอก รูปหน้าเรียวยาว คิ้วโค้งมนดั่งใบหลิว เมื่อยิ้มแล้วก็มีลักยิ้มข้างหนึ่งที่มุมปากข้างซ้าย ถึงแม้ว่าจะงดงามหลายส่วนเหมือนกัน แต่ก็น้อยกว่าจี๋อิ๋งมาก แต่ทว่าเมื่อเปรียบเทียบกับจี๋อิ๋งแล้ว กลับดูอ่อนโยนและน่ารักกว่าหลายส่วน

 

 

นางแนะนำตัเองว่านางชื่อหนานผิง

 

 

โจวเสาจิ่นตกใจมาก เอ่ยถามว่า “หนานผิง? หนานผิงผู้ที่รับผิดชอบเรื่องการเย็บปักเสื้อผ้าภายในจวนของท่านน้าฉือผู้นั้นหรือ?”

 

 

หนานผิงยิ้มพลางพยักหน้า

 

 

โจวเสาจิ่นอดไม่ได้ที่จะสำรวจมองนางอย่างละเอียด

 

 

นายยืนยิ้ม ๆ แล้วปล่อยให้โจวเสาจิ่นมองสำรวจอยู่ตรงนั้น นางไม่เพียงดูสุขุมใจเย็น แต่ยังมีสีหน้าสง่างาม

 

 

ไหนเลยจะดูเหมือนสาวใช้ คุณหนูใหญ่ของตระกูลสามัญชนก็อาจจะยังไม่มีสง่าราศีเฉกเช่นนางนี้

 

 

โจวเสาจิ่นลอบพึมพำอยู่ในใจ แล้วถามหนานผิงว่า “ไม่รู้ว่าท่านน้าฉือต้องการหาข้าด้วยเรื่องอะไรหรือ”

 

 

หนานผิงชำเลืองมองซือเซียงผู้ที่รับใช้อยู่ข้างกายนางครั้งหนึ่ง

 

 

โจวเสาจิ่นเห็นท่าทางนั้นก็เข้าใจขึ้นมาทันที จึงใช้ข้ออ้างให้ซือเซียงไปล้างองุ่นเข้ามาเพื่อส่งซือเซียงออกไป จากนั้นก็เชิญหนานผิงให้นั่งลงสนทนากัน

 

 

“บ่าวไม่กล้าเจ้าค่ะ!” หนานผิงยิ้มพลางกล่าว ยืนกรานที่จะไม่นั่งลง แล้วยืนอยู่เบื้องหน้าโจวเสาจิ่น กล่าวอย่างนอบน้อมว่า “นายท่านสี่ของพวกข้าวานให้ข้ามาถามคุณหนูรองว่า เมื่อวานตอนที่ท่านไปเที่ยวชมทะเลสาบกับคุณหนูใหญ่จูของจวนเหลียงกั๋วกง นอกจากพี่สาวกับคุณหนูที่สิบเจ็ดของตระกูลกู้แล้ว ยังมีคุณหนูใหญ่เจียของจวนสามไปด้วยใช่หรือไม่เจ้าคะ”

 

 

“ใช่!” โจวเสาจิ่นไม่รู้ว่าเฉิงเจียไปก่อเรื่องอะไรขึ้นหรือไม่ จึงกล่าวอย่างร้อนรนว่า “นางอยู่กับข้าตลอด ไม่ได้แยกตัวไปที่ไหนเลย ต่อให้ไปที่อื่น ข้าก็จะรู้ทันที มากที่สุดก็เป็นเวลาไม่นานไปกว่ายี่สิบลมหายใจ”

 

 

หนานผิงพยักหน้าและยิ้มน้อย ๆ พลางกล่าว “คุณหนูรองอย่าได้เข้าใจผิดเจ้าค่ะ นายท่านสี่ไม่ได้มีความหมายอื่นแต่อย่างใด” จากนั้นนางก็กล่าวอย่างครุ่นคิดว่า “เรื่องเป็นเช่นนี้เจ้าค่ะ คุณหนูรอง เมื่อวานนายท่านสี่กับจื่อซื่อของจวนเหลียงกั๋วกงไปเที่ยวชมทะเลสาบด้วยกัน แล้วได้ยินองครักษ์กล่าวว่า พบคุณหนูใหญ่ของจวนเหลียงกั๋วกง องค์ชายจึงไล่ตามนางไป ทว่าตอนที่องค์ชายพาคุณหนูใหญ่กลับมา กลับสั่งให้หยางกงกงไปซื้อจี้หยกมาสี่ชิ้น กล่าวว่าต้องการมอบเป็นของขวัญให้แก่คุณหนูทั้งสี่ท่าน ในตอนแรกนายท่านสี่ก็ไม่ได้ใส่ใจอะไรนัก แต่หลังจากที่หยางกงกงกลับมากระซิบรายงานจื่อซื่อ อยู่ ๆ จื่อซื่อก็คอยประจบประแจงนายท่านสี่ ซ้ำยังซักถามถึงเรื่องของตระกูลเฉิง ชั่วขณะนั้นนายท่านสี่ไม่อาจค้นหาว่าเกิดเรื่องอะไรขึ้นในตอนนั้น แต่เมื่อนึกได้ว่าคุณหนูรองอยู่ที่นั่นด้วย จึงวานให้ข้ามาถามเจ้าค่ะ”

 

 

หากว่าเรื่องมีอยู่เพียงแค่นี้ เป็นไปไม่ได้ที่เฉิงฉือจะส่งคนมาถามนางเป็นการเฉพาะ

 

 

โจวเสาจิ่นอดถามขึ้นมาไม่ได้ “ท่านน้าฉือกล่าวเพียงแค่นี้หรือ ยังมีเรื่องอื่นฝากมาบอกข้าอีกหรือไม่”

 

 

หนานผิงได้ยินแล้วก็มองโจวเสาจิ่นอย่างลึกซื้ง ยิ้มพลางกล่าว “นายท่านสี่เพียงแค่ให้ข้าถามว่าวันนั้นที่คุณหนูใหญ่กับคุณหนูรองไปเที่ยวมีคุณหนูเจียไปด้วยหรือไม่เท่านั้น เรื่องอื่นก็ไม่ได้กล่าวถึงเลยเจ้าค่ะ”

 

 

โจวเสาจิ่นคิดว่าหนานผิงไม่ได้กล่าวความจริงออกมา ทว่านางไม่จัดเจนในการบีบคั้นผู้คนนัก ทั้งสองคนจึงแลกเปลี่ยนถ้อยคำอีกสองสามประโยค จากนั้นโจวเสาจิ่นก็เล่าเรื่องที่เฉิงเจียมองสำรวจหยางกงกงให้หนานผิงฟัง และกล่าวว่า “ก็ไม่รู้ว่าจะเป็นเรื่องอะไรหรือไม่ ขอให้ท่านน้าฉือช่วยจัดการให้ที”

 

 

“ทำให้คุณหนูรองเป็นกังวลเสียแล้ว” หนานผิงยิ้มพลางย่อเข่าคำนับ แล้วกล่าวอำลาโจวเสาจิ่น

 

 

โจวเสาจิ่นให้ซือเซียงส่งหนานผิงออกไป

 

 

ตอนที่หนานผิงเดินออกไปก็เห็นขอบผ้าที่ปักลายเอาไว้ครึ่งหนึ่งวางบนตั่งหลัวฮั่นในห้องโถง สายตาจับจ้องอยู่ครู่หนึ่ง ย่างเท้าหยุดชะงักแล้วถึงได้เดินตามซือเซียงออกไป

 

 

โจวเสาจิ่นยิ่งขบคิดก็ยิ่งรู้สึกว่าแปลกประหลาด

 

 

ถ้าหากท่านน้าฉือแค่อยากรู้ว่ามีใครที่ไปจวนเหลียงกั๋วกงพร้อมกับนางบ้าง เพียงแค่สอบถามบ่าวผู้เฝ้าประตูจวนก็รู้แล้ว เหตุใดถึงต้องส่งหนานผิงมาถามตนเป็นพิเศษ

 

 

หรือว่าเรื่องนี้ยังมีความหมายลึกซึ้งอื่น ๆ แอบแฝงอยู่?

 

 

ทำไมท่านน้าฉือถึงต้องถามว่าใครติดตามนางไปด้วย

 

 

เกิดเรื่องอะไรขึ้นกันแน่

 

 

นางขบคิดแต่ไม่อาจเข้าใจได้เลย จึงได้แต่ปล่อยวางเรื่องนี้เอาไว้ก่อน แล้วเบนความสนใจไปที่เรื่องของหลี่จิ้ง

 

 

โจวเสาจิ่นถามเฉิงเจียว่า “ท่านพี่ตระกูลหลี่ผู้นั้นของเจ้ากลับไปแล้วหรือยัง”

 

 

เฉิงเจียถูกยกเลิกการกักบริเวณแล้ว แต่ทว่าเจียงซื่อยังไม่อนุญาตให้นางไปเข้าเรียน ห้องศึกษาจิ้งอันจึงยังคงหยุดพักการเรียนการสอนอยู่

 

 

“ใครจะไปรู้” เฉิงเจียหลบมาอยู่บนเตียงอย่างเฉื่อยชาไร้ชีวิตชีวา พลางร้องโอดครวญว่า “ไหล่ของข้าเจ็บจะตายอยู่แล้ว ขาก็จะหักหมดแล้ว ข้าไม่อยากเรียนการฝึกมารยาทแล้ว”

 

 

ไม่รู้ว่าเจียงซื่อไปหากูกูที่จากในวังคนหนึ่งมาจากที่ไหน ให้นางสอนเรื่องมารยาทให้กับเฉิงเจีย เฉิงเจียเพียงแค่เรียนในช่วงเช้า แต่กลับดูราวกับว่าชีวิตสูญสิ้นไปแล้วครึ่งชีวิต

 

 

โจวเสาจิ่นขมวดคิ้วมุ่นเล็กน้อย

 

 

เจียงซื่อต้องเห็นว่าเฉิงเจียกับอาจูได้ผูกมิตรเป็นสหายกันแล้วเป็นแน่ คิดว่าขอบเขตการเลือกคู่หมั้นของเฉิงเจียก็ขยายวงกว้างขึ้นแล้ว ดังนั้นจึงร้อนรนขอให้คนมาสอนมารยาทให้กับเฉิงเจีย

 

 

หากเป็นเช่นนี้ ก็ยิ่งเป็นไปไม่ได้ที่หลี่จิ้งจะสามารถสู่ขอเฉิงเจียได้

 

 

แต่ทว่าหากนางไม่ใช้วิธีนี้ เฉิงเจียก็จะไม่ได้ออกมา!

 

 

อย่างไรเสียตอนนี้หลี่จิ้งได้ตกหลุมรักเฉิงเจียเช่นเดียวกับชาติก่อนแล้ว ส่วนเฉิงเจียจะชอบหลี่จิ้งหรือไม่นั้น…อย่างไรก็ตามฝ่ายที่ชื่นชอบอีกฝ่ายมากกว่า ก็จะเป็นฝ่ายที่เสียเปรียบมากกว่า ในเรื่องระหว่างเฉิงเจียกับหลี่จิ้งนี้ หากว่าหลี่จิ้งเสียเปรียบมากกว่าก็ย่อมดีกว่าที่จะให้เฉิงเจียเป็นฝ่ายเสียเปรียบ

 

 

นางคิดปลอบใจตนเอง จากนั้นฮูหยินผู้เฒ่ากวนก็เรียกนางกับพี่สาวเข้าไปคุย

 

 

โจวเสาจิ่นไม่รู้ว่าเกิดเรื่องอะไรขึ้น จึงเดินไปยังเรือนเจียซู่กับพี่สาวด้วยความไม่สบายใจเล็กน้อย

 

 

เฉิงเหมี่ยนกับฮูหยินใหญ่เหมี่ยนก็อยู่ด้วย บนใบหน้าของทุกคนต่างเผยสีหน้ายินดีอยู่ส่วนหนึ่ง

 

 

โจวเสาจิ่นกับโจวชูจิ่นต่างงุนงงจนทำอะไรไม่ถูก

 

 

ฮูหยินผู้เฒ่ากวนจับมือของโจวชูจิ่นและกล่าวกับโจวเสาจิ่นว่า “บิดาของพวกเจ้าได้เขียนจดหมายมาแจ้งว่าเขาได้รับคำสั่งโยกย้ายจากกรมขุนนาง แต่งตั้งให้เป็นเจ้าเมืองเป่าติ้ง สิ้นเดือนเจ็ดจะส่งมอบตำแหน่ง ปลายเดือนแปดจะต้องเข้ารับตำแหน่งแล้ว หากว่ามีเวลาเพียงพอ เขาอยากจะกลับมาที่จินหลิงเพื่อจุดธูปให้แก่บรรพบุรุษสักหน่อย”

 

 

ชาติที่แล้ว นางทราบข่าวนี้หลังจากบิดาได้ดำรงตำแหน่งเจ้าเมืองเป่าติ้งแล้ว ในชีวิตนี้ กลับทราบข่าวนี้ตอนที่ท่านพ่อได้รับคำสั่งโยกย้าย

 

 

ท่านยายคงจะคิดว่านางเป็นหญิงสาวที่สุขุมรอบคอบและเชื่อถือได้เหมือนกับพี่สาวแล้วใช่หรือไม่

 

 

โจวเสาจิ่นดีใจเป็นอย่างมาก

 

 

ฮูหยินใหญ่เหมี่ยนกลัวว่านางจะไม่เข้าใจ จึงอธิบายให้พวกนางสองพี่น้องฟังว่า “หากว่าไม่ใช่จิ้นซื่อก็จะเข้าสำนักฮั่นหลินไม่ได้ หากว่าไม่ใช่บัณฑิตสำนักฮั่นหลินก็จะเข้าเป็นขุนนางในราชสำนักไม่ได้ ทว่าอยากจะรั้งอยู่ในสำหนักฮั่นหลิน ก็จำต้องสอบผ่านเป็นซู่จี๋ซื่อถึงจะรั้งอยู่ได้ ในปีนั้นท่านพ่อของพวกเจ้าถูกส่งไปรับราชการอยู่ต่างถิ่น อยากจะกลับมาเป็นขุนนางราชสำนักในเมืองหลวงอีกครั้ง ก็ต้องได้รับการผลักดันจากราชสำนัก แต่ถ้าหากว่าอยากจะได้รับการผลักดันจากราชสำนัก ก็ต้องมีคุณสมบัติ อยากจะมีคุณสมบัติที่เหมาะสม ก็ต้องไปดำรงตำแหน่งเป็นเจ้าเมืองในเมืองต่าง ๆ เช่นเมืองจินหลิง เมืองเป่าติ้งเสียก่อน ตราบใดที่เข้าเมืองหลวงไปเป็นขุนนางในราชสำนักได้แล้ว ด้วยความสามารถของท่านพ่อของเจ้าแล้ว อย่างไรก็สามารถดำรงตำแหน่งเป็นจิ่วชิงคนหนึ่งได้ ชูจิ่น เสาจิ่น ถึงแม้ว่าท่านพ่อของพวกเจ้าจะยังไม่ได้เลื่อนขั้นเลื่อนตำแหน่ง ทว่าเมื่อเมืองที่เข้ารับราชการแตกต่างไปแล้ว โชคชะตาในวันหน้าก็จะแตกต่างออกไปด้วยเช่นกัน”

 

 

โจวชูจิ่นยิ้มร่าด้วยปลาบปลื้มยินดี และตื่นเต้นจนกล่าวอะไรไม่ออกเล็กน้อย

 

 

ทว่าโจวเสาจิ่นกลับรู้ว่า ในชาติก่อน ท่านพ่อไม่ได้เข้าเมืองหลวงไปเป็นขุนนางในราชสำนัก ซ้ำยังไปอยู่ก่วงตง ดำรงตำแหน่งเป็นปู้เจิ้งสื่อ และไม่ได้กลับมายังเมืองจินหลิงอีกเลย

 

 

เนื่องจากคิดว่าเรื่องของนางทำให้เขาอับอายขายหน้ายิ่ง เขาจึงไม่อาจเผชิญหน้าสหายร่วมราชสำนักหรือสหายร่วมชั้นเรียนในอดีตราวกับไม่มีอะไรเกิดขึ้นได้ ซ้ำยังรู้สึกขุ่นข้องหมองใจ ไม่ยอมรับการช่วยเหลือจากตระกูลเฉิง…สำหรับนางแล้วนั่นก็เป็นเรื่องที่ติดอยู่ในใจเรื่องหนึ่งเสมอมา

 

 

ทว่าในชีวิตนี้ ท่านพ่อคงจะไม่เดินบนเส้นทางเดิมอีกแล้วกระมัง

 

 

โจวเสาจิ่นน้ำตารื้นขึ้นอย่างห้ามไม่อยู่

 

 

ฮูหยินใหญ่เหมี่ยนยิ้มพลางกุมไหล่ของนางเอาไว้ กล่าวเคือง ๆ ว่า “เด็กโง่ นี่เป็นเรื่องน่ายินดี! ร้องไห้ทำไมหรือ”

 

 

โจวเสาจิ่นยิ้มพลางใช้ผ้าเช็ดหน้าเช็ดขอบตา สะอื้นถามขึ้นว่า “ท่านพ่อจะกลับมาเมื่อไหร่หรือเจ้าคะ”

 

 

“ที่แท้ก็เป็นเพราะเสาจิ่นคิดถึงบิดานี่เอง!” ฮูหยินผู้เฒ่ากวนหัวเราะร่าพลางกล่าว “แจ้งว่าจะส่งมอบตำแหน่งเจ้าเมืองหนานชางให้แก่ผู้มาดำรงตำแหน่งใหม่โดยเร็วที่สุด ถ้าหากสามารถกลับมาทันเทศกาลวันไหว้พระจันทร์ก็คงจะดียิ่ง”

 

 

โจวเสาจิ่นพยักหน้าไม่หยุด

 

 

ค่ำคืนนั้น นางนอนในห้องของพี่สาว และถามโจวชูจิ่นว่า “ท่านยังจำหน้าของท่านพ่อได้หรือไม่”

 

 

นางจำหน้าตาของบิดาไม่ได้เสียแล้ว เพียงจำได้แค่ว่าบิดาไว้หนวดเคราที่งดงามยิ่ง

 

 

“จำได้สิ” โจวชูจิ่นนอนไม่หลับ เบิกตาโพลงมองไปบนเตียง หวนรำลึกถึงอดีตและเล่าว่า “สูงเหมือนท่านลุงใหญ่เหมี่ยน…ผิวพรรณขาวเปล่งปลั่ง สวมเสื้อผ้าสุภาพเรียบร้อย…ดูเคร่งขรึมยิ่งนัก…พวกสาวใช้ในจวนต่างหวาดกลัวเขา…ทว่าตอนที่มองดูพวกเรากลับยิ้มร่า…ตอนที่สอนข้าคัดตัวอักษรก็ชอบอุ้มเจ้ามานั่งบนตัก ดูข้าคัดตัวอักษรไปพลาง หยอกเล่นกับเจ้าไปพลาง…ทั้งยังซื้อว่าวมาและพาพวกเราไปเล่นว่าวข้างทะเลสาบโม่โฉว…อ่านชื่อป้ายร้านเหล่านั้นบนถนนให้ข้าฟัง และซื้อขนมถั่วเม็ดสนให้ข้าทาน…”

 

 

โจวเสาจิ่นนอนหนุนบนหมอนพลางสะอื้นไห้

 

 

โจวชูจิ่นเองก็น้ำตาอาบหน้าเช่นกัน

 

 

ชีวิตนี้กับชาติที่แล้ว จะต้องไม่เหมือนกัน

 

 

โจวเสาจิ่นลอบสาบานอยู่ในใจ

 

 

ถึงแม้ว่าจวนสี่จะไม่ได้ป่าวประกาศออกไป แต่ทว่าแต่ละจวนต่างมีช่องทางรับรู้ข่าวสารของตนเอง ไม่นานนัก ข่าวเรื่องที่โจวเจิ้นได้โยกย้ายไปดำรงตำแหน่งเป็นเจ้าเมืองเป่าติ้งก็แพร่ไปทั่วซอยจิ่วหรูแล้ว

 

 

……………………………………………………………………………..