บทที่ 48 ร้องขอความช่วยเหลือ
วันต่อมา ซูเฉินกับกังเหยียนได้ตั้งแคมป์อยู่ในบริเวณใกล้เคียง ก่อนทำการค้นหาสัตว์อสูรและสังหารพวกมันทุกวันเพื่อเพิ่มฐานการบ่มเพาะของพวกเขา
ซูเฉินได้ย้อนกลับไปที่เมืองมาครั้งหนึ่ง เขาซื้อสิ่งของจำเป็นจำนวนมากกลับมาด้วย และใช้พวกมันแลกเปลี่ยนทรัพยากรกับชาวบ้านในป่า
สำหรับเหล่าชาวพื้นเมืองแล้ว สิ่งของพวกนี้มีประโยชน์มากกว่าหินพลังต้นกำเนิดเสียอีก ความโกรธเคืองจากการปฏิเสธที่จะช่วยของซูเฉินก็ค่อย ๆ ลดลง ส่วนความเชื่อใจระหว่างกันก็ค่อย ๆ เพิ่มขึ้น
ในความเป็นจริง บางสิ่งบางอย่างนั้นควรจะต้องสร้างขึ้นด้วยความไว้วางใจตั้งแต่แรก
การฝึกเลี้ยงสัตว์อสูรเป็นกุญแจสำคัญในการเอาชีวิตรอดของหมู่บ้านในป่าแม่น้ำตะวันตก หากพวกเขาส่งมอบมันให้ใครก็ตามที่เข้ามาและอ้างว่าเรามีศัตรูร่วมกันไปทั่ว พวกเขาก็คงจะโง่มากจริง ๆ
นั่นคือเหตุผลที่ซูเฉินไม่รีบร้อนที่จะเอาคำตอบจากอีกฝ่าย แต่เลือกอยู่ร่วมกับพวกเขาเพื่อเพิ่มปฏิสัมพันธ์และความเข้าใจซึ่งกันและกัน
เหมือนกับตอนที่เขาอยู่ในเทือกเขาสีเลือด
สัตว์อสูรส่วนใหญ่ที่ถูกล่ามาไม่ใช่ฝีมือของชายหนุ่ม แต่เป็นผลงานของกังเหยียน ส่วนซูเฉินนั้นก็กำลังจมอยู่กับการมองหาสถานที่สำหรับทำการทดลองของเขา
ป่าแม่น้ำตะวันตกมีทรัพยากรมากมาย เพียงแค่ทรัพยากรในพื้นที่ใกล้เคียง ก็ทำให้เขาสามารถทำการทดลองมากมายแล้ว
บางครั้งซูเฉินก็จะปรุงยาบางอย่าง
แม้ว่าป่านี้จะมีทรัพยากรมากมาย แต่ก็ยังขาดแคลนคนที่รู้วิธีเปลี่ยนทรัพยากรเหล่านี้ ให้เป็นของคุณภาพสูงที่สามารถใช้ประโยชน์ได้
ชาวบ้านหลายคนกักตุนทรัพยากรไว้เป็นจำนวนมากอย่างไร้ความหมาย เพราะพวกเขาก็ยังเสียชีวิตจากอาการเจ็บป่วยและบาดแผลเล็กน้อย ราวกับว่าพวกเขากำลังจะตายด้วยความอดอยากอยู่บนกองเงินกองทอง
ยาที่ถูกซูเฉินปรุงขึ้นนั้นมีประโยชน์ต่อชาวบ้านอย่างมากโดยไม่ต้องสงสัย
วันนี้ก็ซูเฉินกำลังทดลองเช่นเดียวกับวันที่ผ่านมา จู่ ๆ เขาก็ได้ยินเสียงวุ่นวายดังมาจากด้านนอก
สถานการณ์ในป่าเปลี่ยนแปลงไปมาค่อนข้างง่าย ดังนั้นซูเฉินจึงไม่คิดจะทำการทดลองที่ซับซ้อนใด ๆ เขาหยุดสิ่งที่กำลังทำลงและเฝ้าดูชาวบ้านสองสามคนที่วิ่งเข้ามาด้านใน ชายสองคนบนเปลหามถูกแบกอยู่ทางด้านหลังของพวกเขา
ทันทีที่เข้ามา ชาวบ้านคนหนึ่งด้านหน้าก็คุกเข่าลงตรงหน้าซูเฉินและกล่าวว่า “ใต้เท้าซู ได้โปรดช่วยพี่ชายของข้าด้วย”
หลังจากที่รู้จักกันมาได้สักพักใหญ่ ชาวบ้านก็ไม่ได้เรียกซูเฉินว่าผู้จัดการความรู้อีกต่อไป แต่กลับเรียกเขาว่าใต้เท้าตรง ๆ แทน ในมุมมองของชาวบ้าน ‘ใต้เท้า’ นั้นใช้เพื่อกล่าวถึงนักวิชาการหรือคนค้นหาความรู้ ซึ่งมันก็เห็นได้ชัดว่าพวกเขาเห็นซูเฉินเป็นคนเช่นนั้น
ซูเฉินเข้าไปดูใกล้ ๆ และพบว่าร่างของทั้งสองถูกปกคลุมเต็มไปด้วยบาดแผล คนหนึ่งมีรูขนาดใหญ่ที่หน้าอก ส่วนอีกคนมีรอยประทับรูปฝ่ามืออยู่บนร่างกายอย่างเด่นชัด
“พวกเขาได้รับบาดเจ็บจากฝีมือของผู้อื่น เกิดอะไรขึ้น ?” ซูเฉินถาม
“จะเกิดอะไรขึ้นได้อีก ? ก็พวกสุนัขรับใช้ที่ชั่วร้ายของตระกูลสายเลือดชั้นสูงน่ะสิ ! พวกมันกลับมาที่นี่อีกแล้ว !” ชาวบ้านอีกคนหนึ่งพูดด้วยความโกรธ
ไม่นานก่อนหน้านี้ กลุ่มตระกูลสายเลือดชั้นสูงได้ส่งคนมาโจมตีหมู่บ้านสราญรมย์ แม้ว่าพวกเขาจะขับไล่อีกฝ่ายกลับไปได้ด้วยความช่วยเหลือของสัตว์อสูร แต่พวกเขาก็ต้องจ่ายค่างวดออกไป ด้วยการสูญเสียชีวิตไป 6 และบาดเจ็บสาหัสอีก 2
“พวกมันมากันกี่คน ?” ซูเฉินถาม
“แค่หนึ่ง เพียงมันแค่คนเดียวก็ทำให้เกิดความวุ่นวายไปทั่วหมู่บ้านแล้ว” ชาวบ้านร่ำไห้อย่างขมขื่น
ซูเฉินจำอีกฝ่ายได้ เขามีนามว่าเหลียงอี่ เด็กหนุ่มผู้บุคลิกที่ร่าเริงและไร้กังวล แต่ตอนนี้เขากลับกำลังร้องไห้อย่างขมขื่น
“คนเดียว ?” ซูเฉินพึมพำ “เทพอสูรผู้พิทักษ์ของพวกเจ้าไม่สามารถขับไล่มันไปได้หรือ ?”
เหลียงอี่พยักหน้า “อีกฝ่ายเร็วเกินไป เทพอสูรผู้พิทักษ์ตามมันไม่ทัน ก่อนที่มันจะฉวยโอกาสเข้ามาโจมตีเรา พร้อมกับบอกว่าจะค่อย ๆ ใช้เวลาเล่นกับการไล่จับพวกข้า มันมองว่าการฆ่าเป็นเกมสนุกและจะไม่ฆ่าคนเกิน 10 คนต่อวัน มันจะกลับมาอีกครั้งในวันพรุ่งนี้”
“โอ้” ซูเฉินตอบรับต่างไปจากปกติเล็กน้อย และหันไปสนใจผู้บาดเจ็บทั้งสอง
“พาคนเจ็บมาหาข้า” เขากล่าว
เมื่อพวกชาวบ้านเห็นเขาเช่นนั้น ก็พากันรู้สึกเสียใจเล็กน้อย
ซูเฉินรู้ดีว่าพวกเขาคิดอะไรอยู่ และเขาก็รู้ดียิ่งว่าทำไมอีกฝ่ายถึงได้พาพวกคนเจ็บมาที่นี่
ไม่ใช่เพียงเพื่อช่วยชีวิต แต่ยังแอบหวังว่าจะกระตุ้นความเห็นอกเห็นใจของเขาได้
น่าเสียดายที่จุดยืนของซูเฉินในเรื่องนี้มั่นคงอย่างมาก
ผู้บาดเจ็บทั้งสองถูกวางลงบนโต๊ะยาว จากนั้นซูเฉินก็เริ่มทำการรักษาพวกเขา
เขาชอบงานรักษาคนเจ็บคนป่วยและช่วยชีวิตผู้คน ไม่ใช่เพียงแค่เพราะเขาชื่นชอบความรู้สึกถึงความสำเร็จจากการช่วยคนให้รอด แต่มันยังช่วยให้เขาเข้าใจร่างกายมนุษย์ พลังต้นกำเนิด และชีวิตได้มากขึ้นด้วย
ผู้บาดเจ็บทั้งสองไม่ได้รับบาดเจ็บมาแค่เพียงผิวเผิน ทว่าถึงจะเป็นเช่นนั้น หากแต่ซูเฉินก็สามารถกระชากพวกเขากลับมาจากมือของมัจจุราชได้
“เอาล่ะ พาพวกเขากลับไป และปล่อยให้พักผ่อนไปสัก 2-3 วัน ช่วงนี้ให้ดื่มโจ๊กไปก่อนและอย่ากินเยอะจนเกินไป กฎเดิม 500 หินพลังต้นกำเนิดต่อคน เจ้าจะจ่ายเป็นทรัพยากรหรือจ่ายเป็นหินพลังต้นกำเนิดโดยตรงก็ได้” ซูเฉินกล่าวขณะที่เขาเช็ดเลือดบนมือ
ชาวบ้านคนหนึ่งหยิบหินพลังต้นกำเนิด 1,000 ก้อน ออกมาวางไว้บนโต๊ะ
ด้วยหินพลังต้นกำเนิดทั้ง 20,000 ที่ซูเฉินได้มอบให้พวกเขาเป็นค่าชดเชยในครั้งนั้น ทำให้พวกเขายังสามารถจ่ายค่ารักษาในราคานี้ได้
“ใต้เท้าซู คนผู้นั้นจะกลับมาพรุ่งนี้ … ” เหลียงอี่ล่าวขณะที่มองไปที่ซูเฉินอย่างกังวล “ท่านมีความสามารถมากมายและไม่กลัวพวกเขา ได้โปรดช่วยพวกข้าด้วย แม้เราจะไม่สามารถให้วิธีควบคุมเทพอสูรผู้พิทักษ์แก่ท่านได้ แต่สำหรับคำขออื่น ๆ พวกข้าจะชดเชยให้อย่างแน่นอน”
“งั้นหรือ” ซูเฉินก้มหัวลงครุ่นคิดเล็กน้อย ก่อนจะพยักหน้าและพูดว่า “เอาะเถอะ บอกข้าสิว่าชายผู้นั้นมีรูปลักษณ์อย่างไร ? เร็วแค่ไหน ? สังเกตเห็นอะไรที่เป็นเอกลักษณ์ในวิธีการต่อสู้ของมันบ้างหรือไม่?”
เหลียงอี่ตอบเขาไปทีละข้อ
พวกชาวบ้านไม่ได้มีความรู้มากนัก พวกเขาไม่รู้จักระดับการของการฝึกฝน จึงไม่สามารถระบุระดับพื้นฐานของอีกฝ่ายได้ แต่พวกเขาก็ยังสามารถใช้คำศัพท์พื้นฐาน เพื่ออธิบายความแข็งแกร่งของคู่ต่อสู้ได้อยู่
ตัวอย่างเช่น พวกเขาสามารถอธิบายความเร็วของฝั่งตรงข้ามได้ ด้วยการปรียบเทียบกับความเร็วของสัตว์อสูร หรือความเร็วของลูกศรที่ยิงจากคันธนู อีกฝ่ายสามารถทำลายก้อนหินได้ด้วยมือเปล่า กำแพงโปร่งใสที่คลุมตัวคู่ต่อสู้สามารถต้านทานลูกธนูหน้าไม้ได้เกือบ 7 หรือ 8 ดอก ฯลฯ
เมื่อรวบรวมข้อมูลต่าง ๆ เรียบร้อยแล้ว ซูเฉินก็ตัดสินความแข็งแกร่งของคู่ต่อสู้อย่างรวดเร็ว
“คนผู้นี้น่าจะเป็นผู้เชี่ยวชาญด่านกลั่นโลหิตสายความเร็ว ความจริงไม่มีอะไรน่ากลัวนัก แต่การเคลื่อนไหวของมันอาจจะดูปุบปับเกินไป ไม่ใช่ว่ามันต้องการจะฆ่าเพียงแค่ 10 คนต่อวัน แต่มันสู้ได้นานแค่นั้น หากอีกฝ่ายยังคงลงมือต่อ ความเร็วของมันก็จะลดลงเนื่องจากขาดพลังงาน หลังจากที่สูญเสียความเร็ว มันก็ถูกสัตว์ร้ายของพวกเจ้าฉีกเป็นชิ้นเล็กชิ้นน้อย”
“แต่มันก็จากไปก่อนที่จะช้าลงอยู่ดี” อย่างน้อยเหลียงอี่เองก็สามารถสังเกตเห็นเรื่องนี้ได้
“ใช่ ดังนั้นข้าจะสอนวิธีการบางอย่างให้เจ้า” ซูเฉินกล่าว “คนที่ใช้ความเร็วมักชอบใช้ประโยชน์จากสภาพแวดล้อมและภูมิประเทศ เพื่อหลบหลีก งั้นแล้วใช่ว่าคนผู้นั้นใช้วิธีการวิ่งไปมารอบ ๆ บ้านหลังนั้นหลังนี้ใช่หรือไม่เพื่อหลบ ?”
“ใช่”
“ดี เช่นนั้นก็หาห้องและเตรียมกับดักไว้ ตั้งกับดักแบบนี้ หาไม้ไผ่มาวางไว้ทั้งสองด้านของหน้าต่าง โดยหันปลายแหลมขึ้นด้านบน หากมองจากด้านนอกมันจะได้ไม่เห็นว่ามีอะไรอยู่ด้านใน และทันทีที่มันเข้าไปในห้องศัตรูก็จะโดนปลายพวกนั่นแทง … ” ซูเฉินสอนชาวบ้านถึงวิธีการวางกับดักทีละขั้นตอน ทำให้พวกเขาตื่นเต้นกันมาก
“ … ใช้หน้าไม้ดึงดูดความสนใจของศัตรู หายาพิษมาทาลงบนปลายดอก พวกเจ้าไม่ได้ใช้ยาพิษที่มีฤทธิ์อัมพาตตอนออกล่าหรอกหรือ ? มันสามารถทำให้สัตว์อสูรมึนงงและเคลื่อนไหวช้าลงได้หรือไม่ ? หากใช้มันจัดการกับชายผู้นี้ มันอาจจะไม่ได้ผลมากเหมือนสัตว์อสูร แต่ก็ควรจะมากเกินพอที่จะลดความเร็วของอีกฝ่ายลงสัก 3 ใน 10 เมื่อช้าลงแล้วก็ให้ใช้สัตว์อสูรเหล่านั้นล้อมรอบอีกฝ่ายไว้เสีย !”
ซูเฉินกล่าวปิดท้าย “แค่เท่านั่นก็น่าจะแก้ปัญหาได้แล้ว”
ในตอนค่ำของวันรุ่งขึ้น
ชาวบ้านจากหมู่บ้านสราญรมย์ก็กลับมาอีกครั้ง
อย่างไรก็ตามคราวนี้ ไม่ใช่การมาร้องขอความช่วยเหลือ พวกเขานำสัตว์อสูรที่พวกเขาฆ่ามาสด ๆ พร้อมกับสมุนไพรบางอย่างที่เก็บรวบรวมได้ มาให้เพื่อแสดงความขอบคุณ
ซูเฉินไม่ได้เกรงใจแม้แต่น้อย ชายหนุ่มรับพวกมันเอาไว้ทั้งหมด