บทที่ 49 จากน้อยไปมาก
“เจ้าว่าอย่างไรนะ ? จงซานก็ตายแล้วเช่นกัน ?”
เสียงตะโกนแปดหลอดของซือจงเหว่ยดังขึ้นในทันใด ทำเอาอุณหภูมิในห้องลดฮวบลงไปทันที
ราวกับว่ามีลมหนาวพัดผ่านคออย่างกะทันหัน จนลวี่ซวงสั่นสะท้าน “ทั้งหมดนี้เป็นเพราะบ่าวไร้ความสามารถ”
“บอกข้ามาสิ ว่ามันตายได้อย่างไร ?” ซือจงเหว่ยถามขัดจังหวะคำขอโทษของอีกฝ่าย
“พวกชาวบ้านในหมู่บ้านขุดหลุมพรางเอาไว้บนพื้นดิน เมื่อจงซานก้าวพลาดเหยียบตกลงไป พวกมันก็เปิดใช้งานกลไกทำให้ทรายจำนวนมากตกลงไปในหลุมฝังมันทั้งเป็น” ลวี่ซวงกล่าวเสียงสั่น
“ฝังทั้งเป็น…” ซือจงเหว่ยกัดฟัน “เจ้ากำลังจะบอกข้าว่า ผู้เชี่ยวชาญที่เราส่งไปถูกชาวบ้านพวกนั้นฝังทั้งเป็น ?”
“ … ขอรับ !”
“ 4 … นี่มันรอบที่ 4 แล้ว ! เซี่ยเฟิง กุยเยว่ เฮยหวัง จงซาน … พวกมันทั้งหมดหายตัวไปอย่างไม่มีร่องรอยอะไรทิ้งไว้เลย !” ซือจงเหว่ยกำหมัดแน่น “เป็นไปได้อย่างไร ? คนบ้านนอกพวกนั้นเรียนรู้กลเม็ดเหล่านี้มาเมื่อใดกัน ? พวกมันฆ่าคนของเรามากมายในช่วงเวลาสั้น ๆ ได้อย่างไร ?”
ยิ่งเขาพูดมากเท่าไหร่ เสียงของเขาก็ยิ่งสูงและเสียดแทงหูยิ่งขึ้นเท่านั้น
ลวี่ซวงตอบตัวสั่น “บ่าวไม่ทราบจริง ๆ ขอรับ ! นายท่าน เราควรขอให้ตระกูลส่งกำลังเสริมมาเพิ่มอีกหรือไม่ ?”
“ไร้สาระ ! หากข้ากลับไปขอความช่วยเหลือในตอนนี้ ข้าจะได้ถูกเฒ่าแก่พวกนั้นหัวเราะจนตายแน่ ๆ! บุกป่าแม่น้ำตะวันตกก็เพียงงานง่าย ๆ จะให้คนมากมายมาตายในงานแบบนี้ได้ยังไง ? เมื่อมันเป็นความรับผิดชอบของข้า ข้าจะปล่อยมันไปแบบนี้ไม่ได้ !” ซือจงเหว่ยคำรามด้วยความโกรธ
ลวี่ซวงไม่กล้าเปิดปากพูดอะไรอีกต่อไป
ซือจงเหว่ยประสานมมือไพล่หลังเดินกลับไปกลับมาอยู่สองสามรอบ
หลังจากนั้นไม่นานเขาก็พูดว่า “สถานการณ์ในป่าแม่น้ำตะวันตกไม่อาจประเมินได้อีกแล้ว พวกมันไม่เพียงแต่มีทักษะในการควบคุมสัตว์อสูร จู่ ๆ แม้แต่สมองก็ฉลาดขึ้นมาอีก จงไปเรียกรวมพลทุกคนที่อยู่ใกล้ป่านี้มาในทันที อย่าปล่อยให้ใครออกไปคนเดียว เราต้องรวมกำลังและโจมตีด้วยกัน”
“แต่หากเราทำเช่นนั้น โอกาสที่สำเร็จจะต่ำเกินไป ทางตระกูลต้องการให้เรากดดันและบังคับให้พวกมันยอมจำนนนะขอรับ”
“ผู้เชี่ยวชาญด่านกลั่นโลหิตตายไปแล้ว 4 ขวัญกำลังใจของพวกบ้านนอกนั้นยังสูงขึ้นทุกวัน แล้วข้าจะเอาอะไรไปกดดันพวกมันกัน ?” ซือจงเหว่ยคำราม เขาครุ่นคิดอยู่ครู่หนึ่งก่อนจะกล่าวเสริม
“ส่งข่าวกลับไปยังเมืองธารน้ำใส บอกพวกนั้นว่ากระแสพิษในป่าได้เปลี่ยนไปแล้ว มันจำกัดการเคลื่อนไหวของเรา จึงต้องใช้เวลาจัดการมากขึ้น ไม่ช้าก็เร็วชัยชนะจะเป็นของเรา บอกให้อดทนไปก่อน”
“แล้วเราจะเริ่มจากหมู่บ้านไหนกันดี ?”
ซือจงเหว่ยหันกลับมาเพื่อดูแผนที่ เขาดึงพู่กันออกมาลากเส้นไปตามหมู่บ้านต่าง ๆ ในป่าแม่น้ำตะวันตกแล้วพูดว่า “เราจะโจมตีตามนี้ เริ่มจากหมู่บ้านหมื่นบริบูรณ์ ต่อด้วยหมู่บ้านแห่งเงินตรา หมู่บ้านสราญรมย์ จากนั้นก็หมู่บ้านกลางสุริยา … ”
“ขอรับนายท่าน !”
——————————————
ลึกเข้าไปในป่าแม่น้ำตะวันตก ความผันผวนที่มองไม่เห็นได้เริ่มก่อตัวขึ้น
ต่อมาก็มีเสาแสงสีแดงเลือดพุ่งสูงขึ้นไปในอากาศ
มันคือปรากฏการณ์ที่เป็นสัญญาณบ่งบอกว่าปราณโลหิตของใครบางคนได้เริ่มกลั่นตัว หรือก็คือใครบางคนที่ว่านั้นได้ก้าวเข้าสู่ด่านกลั่นโลหิตอย่างเป็นทางการแล้ว
ครู่ต่อมาพื้นป่าเริ่มสั่นสะเทือนอย่างรุนแรง
เท้าขนาดใหญ่ที่ทรงพลังคู่หนึ่งเหยียบลงบนพื้นป่า สร้างแรงสั่นสะเทือนไปทุกย่างก้าว เขย่าต้นไม้รอบด้านให้สั่นไหว
ร่างที่แข็งแกร่งของกังเหยียนเดินออกมาจากป่า และคุกเข่าตรงหน้าซูเฉิน “นายท่าน กังเหยียนทำตามความคาดหวังของท่านได้สำเร็จแล้ว ข้าได้เข้าสู่ด่านกลั่นโลหิตเรียบร้อยแล้ว !”
ความตื่นเต้นปรากฏอยู่ในน้ำเสียงน้ำเสียงของเขาอย่างชัดเจน
สำหรับเผ่าหินผา ด่านทะลวงลมปราณคือขีดจำกัดที่แท้จริงของพวกเขา ในเผ่านี้ผู้ที่เข้าสู่ด่านกลั่นโลหิตนั้นถือได้ว่าเป็นผู้เชี่ยวชาญที่แข็งแกร่งคนหนึ่งแล้ว ส่วนคนที่พัฒนามาถึงจุดนี้ได้ ทั้งที่ยังหนุ่มยังแน่นเช่นกังเหยียนนั้น กล่าวได้ว่าหายากอย่างยิ่ง
แน่นอนว่าตัวเขาเองเข้าใจเหตุผลหลักที่ตนสามารถมาถึงจุดนี้ได้เป็นอย่างดี จึงทำให้สายตาที่จ้องมองไปยังซูเฉินของกังเหยียนเต็มไปด้วยความรู้สึกขอบคุณ
อย่างไรก็ตาม ซูเฉินกล่าวอย่างไม่ใส่ใจนัก “ความคาดหวังในตัวเจ้าของข้าไม่ได้จำกัดอยู่แค่นี้ จงฝึกฝนต่อไป ด่านกลั่นโลหิตของเผ่าหินผาน่าจะทำอะไรได้หลายอย่าง มา ลุกขึ้นมา โจมตีข้า ให้ข้าได้เห็นว่าตอนนี้เจ้าแข็งแกร่งแค่ไหนแล้ว”
“ขอรับนายท่าน !” กังเหยียนรู้ถึงความแข็งแกร่งของซูเฉินดี ดังนั้นเขาจึงไม่เกรงใจแต่อย่างใด เขายืนขึ้นและส่งหมัดตรงเข้าหาชายหนุ่ม
เป็นหมัดที่ดูธรรมดา ทว่ากลับเป็นหมัดที่รุนแรงอย่างยิ่ง
ซูเฉินเคลื่อนไหวเพื่อปัดป้องการโจมตีด้วยฝ่ามือของเขา ชายหนุ่มสัมผัสได้ถึงพลังงานที่น่ากลัวกำลังไหลผ่านเข้ามา และหากในวินาทีสุดท้ายเขาผละมือออกไม่ทัน นั้นก็อาจจะทำให้ข้อมือของเขาหักได้เลยทีเดียว !
ซูเฉินดีดตัวกลับและประโยชน์จากการถอยหลังเพื่อลดแรงหมัดของกังเหยียน ในขณะเดียวกันเขาก็ฟาดฝ่ามือเกือบ 10 ครั้งออกไปอย่างต่อเนื่อง สร้างคลื่นพลังที่ระเบิดออกมาพร้อมกับเสียงคำรามดังสนั่น
กังเหยียนปล่อยหมัดออกมาเพียงหมัดเดียวเท่านั้น
วิธีการโจมตีของเขานั้นเรียบง่าย ตรงไปตรงมาและโหดเหี้ยม
พลังอันรุนแรงที่แฝงอยู่ในหมัดถูกปัดออกไปด้วยคลื่นพลังระเบิดจากฝ่ามือ แต่ในเวลาเดียวกันพลังทั้งหมดของฝ่ามือนับ 10 ก็ถูกหมัดกระจายออกไปเช่นกัน
ตู้ม !
พลังจากหมัดที่ยังเหลือพุ่งผ่านซูเฉินไปกระแทกเข้ากับต้นไม้ที่ด้านหลัง ต้นไม้ซึ่งมีขนาดใหญ่มากจนต้องอาศัยสองคนโอบได้ถูกโค่นลงไปในพริบตา
ไม่ใช่เรื่องยากเลย ที่ผู้เชี่ยวชาญด่านกลั่นโลหิตจะทำลายต้นไม้ใหญ่ ด้วยการใช้ทักษะกำเนิดของพวกเขาโจมตีมัน
แต่การที่จะทำเช่นนั้นได้โดยอาศัยเพียงแค่แรงจากการชกนั้นนับว่ายากยิ่ง
แม้ว่าจะเป็นเรื่องยากสำหรับเผ่าหินผาที่จะเพิ่มระดับการฝึกฝนของพวกเขา แต่ก็ปฏิเสธไม่ได้ว่าร่างกายที่ทรงพลังของพวกเขา ทำให้พวกเขามีความสามารถในการต่อสู้อย่างมาก เมื่อเลื่อนระดับมาแล้ว ก็คงยากที่จะหาตัวคู่ต่อสู้ที่เหมาะสมกับพวกเขาในระดับด่านเดียวกันได้
แน่นอนว่านี่ไม่ได้นับรวมเหล่าหัวกะทิจากสถาบันมังกรซ่อนเร้น และยิ่งไม่ต้องพูดถึงซูเฉินที่ถูกจัดเป็นหัวกะทิในหมู่หัวกะทิอีกที
ในจังหวะที่แรงหมัดกระแทกเข้ากับต้นไม้ เหยี่ยวเพลิงก็ได้บินออกไปจากฝ่ามือของซูเฉินอย่างต่อเนื่อง
กังเหยียนไม่สามารถหลบได้ และเขาก็ไม่ได้คิดที่จะหลบ
เขาคำรามและยกเกราะภูผาเหล็กขึ้นป้องกัน ในขณะที่ร่างกายของเขาเริ่มเปล่งประกายจากการเปิดใช้งานเกราะรบเหล็กกล้า
ปัง ปัง ปัง !
เกราะภูผาเหล็กแตกเป็นเสี่ยง ๆ เป็นอย่างแรก และตามมาด้วยเกราะรบเหล็กกล้า ในที่สุดเหยี่ยวเพลิงก็ได้ปะทะเข้ากับร่างกายที่แข็งแกร่งของเผ่าหินผา จนเปลวไฟกระจัดกระจายไปทั่วบริเวณ ล้อมรอบกังเหยียนเอาไว้ราวกับดอกไม้เพลิงสีแดงสด
ถึงกระนั้น เหยี่ยวเพลิง 7-8 ตัวที่พุ่งเข้าใส่อย่างต่อเนื่อง ก็ไม่สามารถทำอะไรกังเหยียนได้มากนัก
“ไม่เลว ! ดูเหมือนว่าเมื่อเจ้าเข้าสู่ด่านกลั่นโลหิตได้แล้ว ร่างกายของเจ้าก็แข็งแกร่งขึ้นด้วยเช่นกัน” สีหน้าพึงพอใจปรากฏขึ้นบนใบหน้าของซูเฉิน
“ปกติแล้วเผ่าหินผานั้นไม่สามารถใช้พลังต้นกำเนิดได้ง่ายอย่างเผ่าพันธุ์อื่นจึงมีปัญหาในการฝึกฝน แต่ก็กล่าวได้ว่าคนของเผ่านี้มีความสามารถในการป้องกันมาแต่กำเนิดเช่นกัน ทำให้ผลของทักษะต้นกำเนิดส่วนใหญ่จะอ่อนแอลงเล็กน้อยเมื่อพวกมันถูกใช้กับเจ้า”
“…ยามที่เจ้าอยู่ในด่านก่อเกิดลมปราณ ข้อได้เปรียบนี้ยังไม่ได้แสดงออกมาชัดเจนนัก แต่เมื่อเจ้าเข้าสู่ด่านกลั่นโลหิตและได้กระตุ้นพลังในสายเลือดของเจ้าแล้ว ความสามารถในการลดผลของทักษะต้นกำเนิดนี้ก็เลยโดดเด่นยิ่งขึ้น”
“ไม่น่าแปลกใจเลยที่จะมีคนกล่าวอยู่เสมอว่าชนเผ่าหินผานั้นเป็นนักสู้โดยกำเนิด น่าเสียดายที่คนเหล่านั้นรู้เพียงแค่วิธีใช้งานชนเผ่าหินผา แต่ไม่รู้ถึงวิธีการฝึกฝนพวกเขา นักสู้เผ่าหินผาที่โดดเด่นอย่างแท้จริงนั้น ไม่ได้ขึ้นอยู่กับแค่สมรรถภาพทางกาย พวกมันยังต้องมีได้รับสนับสนุนจากพลังต้นกำเนิดที่สอดคล้องกันด้วย”
“ด้วยเกราะรบเหล็กกล้า เกราะภูผาเหล็ก วิชากลืนสวรรค์ และเกราะหลอมทองที่ได้รับจากท่าน แม้แต่การโจมตีอย่างเต็มที่จากผู้ฝึกฝนด่านทะลวงลมปราณก็ทำอะไรข้าไม่ได้” กังเหยียนตอบเสียงดัง
“นั่นอาจไม่เป็นความจริง” ซูเฉินขยับตัวเล็กน้อย จากนั้นพญาเหยี่ยวเพลิงก็ปรากฏขึ้นและพุ่งตรงเข้ากระแทกตัวกังเหยียน
คราวนี้เขาไม่ได้สามารถต้านรับการโจมตีได้ทั้งหมดเช่นครั้งก่อน หลังเปลงไฟดับลงรอยไหม้ขนาดใหญ่ก็ปรากฏอยู่บนหน้าอกของเขา
“เห็นไหม ? ความสามารถในการป้องกันของเจ้ายังมีขีดจำกัด และเมื่อมันเกินขีดจำกัดไป เจ้าก็จะยังคงได้รับบาดเจ็บค่อนข้างสาหัสเหมือนปกติ นอกจากนี้เจ้านั้นไม่ใช่หวังโต้วซาน สายเลือดกระเรียนหิมะของมันสามารถทดแทนความเร็วที่สูญเสียไปจากน้ำหนักตัวได้แต่เจ้าทำไม่ใช่ วิชากลืนสวรรค์ยามอยู่ในมือเจ้าก็ไม่ได้มีประโยชน์มากเท่ายามอยู่ในมือของมัน”
“ในแง่ของความสามารถในการฟื้นฟูแล้ว เจ้ายังไม่สามารถแข่งขันกับมันได้ อย่างไรก็ตาม ความสามารถในการป้องกันคือสิ่งมันไม่สามารถเอาชนะเจ้าได้ ดังนั้นโดยรวมแล้วความสามารถในการต้านทานการโจมตีของเจ้าจึงถือว่าแข็งแกร่งที่สุด”
เมื่อกังเหยียนได้ยินดังนั้นเขาก็หัวเราะ
สำหรับกังเหยียน ผู้ซึ่งตั้งเป้าที่จะเป็นโล่เนื้อที่มีคุณสมบัติเหมาะสมครบถ้วน คำพูดของซูเฉินนับเป็นคำชมที่ยิ่งใหญ่ที่สุดสำหรับเขาแล้ว
เวลาเดียวกันกับที่พวกเขายังคงพูดคุยถึงข้อดีข้อเสียในความแข็งแกร่งกังเหยียน จู่ ๆ ชาวบ้าน 2 คนก็ปรากฏตัวขึ้นและกำลังวิ่งตรงมาทางพวกเขา
“ใต้เท้าซู ไม่ดีแล้ว !”
“เกิดอะไรขึ้น ?”
“กลุ่มคนจากตระกูลสายเลือดชั้นสูงจำนวนมากกำลังโจมตีพวกเรา !”