ตอนที่ 99 พี่รู้จักประธานเฟิง?

เผยตัวตนลับ จับหัวใจเธอ

“แกรู้ได้ยังไงว่ามีโน้ตเพลงอยู่ในกระเป๋าเดินทางของฉัน” เฉินซูหลานอ่อนเปลี้ยเพลียแรงไม่มีอันตรายอะไร แต่พอตีหน้ายักษ์ ใบหน้าก็มีความดุดันอยู่บ้าง “แกเอาไปเหรอ”

 

 

เฉินซูหลานในความทรงจำของฉินอวี่เป็นแค่ยายแก่ชาวบ้านคนหนึ่ง รู้ที่ไหนว่าเธอจะมีลักษณะท่าทางแบบนี้อยู่ด้วย “หนูเปล่า”

 

 

เธออดที่จะหดตัวไปข้างหลังไม่ได้ แลดูหวาดกลัว

 

 

“งั้นเหรอ” เฉินซูหลานหรี่ตาพร่ามัวคู่นั้น จดจ้องฉินอวี่อยู่พักใหญ่ “ฉันขอเตือนแกว่าอย่าคิดจะทำอะไรกับเรื่องนี้ แกอย่าแตะต้องโน้ตนั่นจะดีที่สุด”

 

 

ฉินอวี่หน้าซีด สันหลังเย็นวาบ “คุณยาย พูดอะไรกันน่ะ”

 

 

“ฉันพูดอะไรแกรู้ดี” เฉินซูหลานไออยู่หลายที

 

 

หนิงฉิงถือกาน้ำเดินมาจากข้างนอก พอเข้ามาก็เห็นฉินอวี่หน้าถอดสี ท่าทีตกใจอย่างมาก ก็อดมองเฉินซูหลานไม่ได้

 

 

เฉินซูหลานนอนบนเตียงอย่างอ่อนแรง หลับตาพริ้ม ดูเหมือนจะเหนื่อยมาก

 

 

หนิงฉิงกลัวว่าจะรบกวนเฉินซูหลานพักผ่อน จึงพาฉินอวี่ออกไป

 

 

ทั้งสองเพิ่งออกจากประตู พวกหนิงเวยกับมู่หยิงก็ขึ้นมา

 

 

ฉินหร่านถือมือถือ ตามอยู่ข้างหลังไม่ใกล้ไม่ไกล

 

 

“พี่รอง พี่ก็มาเยี่ยมคุณยายเหมือนกันเหรอ” มู่หยิงเดินไปข้างหน้าไม่กี่ก้าว คุยกับฉินอวี่หน้าตายิ้มแย้ม

 

 

ฉินอวี่ตอบเพียงเสียงอืมในลำคอ ไม่เอ่ยปากพูดอะไรอีก

 

 

“แม่ งานโรงเรียนของพวกเราคราวนี้ พี่รองจะแสดงไวโอลิน” สองสามวันมานี้คนทั้งโรงเรียนต่างก็สนุกสุดเหวี่ยงกับงานโรงเรียน โดยเฉพาะเด็กใหม่มัธยมปลายปีหนึ่งอย่างมู่หยิง พวกเขาทันเวลาครบรอบพอดี “พี่รองอยู่ในการแสดงปิดสุดท้ายด้วยล่ะ”

 

 

ช่วงนี้โรงเรียนพูดถึงการแสดงไวโอลินของฉินอวี่มากขึ้น จุดสนใจของทุกคนค่อยๆ หันเหไปที่ดาวโรงเรียนที่เรียนเก่งหน้าตาดี ชาติกำเนิดก็นับว่าเยี่ยมอย่างฉินอวี่ที่อยู่ห้องหนึ่งคนนั้น

 

 

“ใช่ อวี่เอ่อร์มีงานโรงเรียน สุขภาพของแม่ไม่ดี ฉันก็เลยไม่ให้ท่านไป พวกเธอมีเวลาหรือเปล่า ฉันจะให้อวี่เอ่อร์เอาบัตรมาเพิ่มหลายๆ ใบ เธอเป็นองค์การนักเรียนแน่ะ” ตอนที่หนิงฉิงพูดถึงฉินอวี่ ใบหน้าก็มีรอยยิ้ม เสียงก็อ่อนลงหลายระดับโดยไม่รู้ตัว

 

 

หนิงเวยอ้ำๆ อึ้งๆ เธอยังต้องไปทำงาน

 

 

แต่มู่หยิงกลับพูดขึ้นด้วยความดีใจมากว่า “งั้นก็ต้องขอบคุณคุณป้า ห้องหนูไม่มีบัตรหลายคนเลย”

 

 

ทุกชั้นปีของอีจงก็มีคนร่วมพันคนแล้ว บวกกับผู้ปกครอง คุณครูและหัวหน้าฝ่ายต่างๆ ของโรงเรียน บัตรของนักเรียนก็เหลือน้อยแล้ว

 

 

พวกเธอพูดคุยกัน ฉินอวี่ถือมือถือ เดินไปทางห้องผู้ป่วยโดยที่ไม่เงยหน้าขึ้นด้วยซ้ำ

 

 

หางตาหนิงฉิงมองแผ่นหลังของฉินหร่าน ไม่อยากว่าอะไรเธออีกแล้ว เธอเป็นแบบนี้มาตั้งแต่เด็ก นิสัยรักสันโดษ เข้ากับใครไม่ได้

 

 

เฉินซูหลานบอกว่าเธอฉลาดเกินวัย หนิงฉิงหมดคำพูดจริงๆ อีคิวต่ำชัดๆ มีปัญหาทางด้านนิสัย

 

 

“อวี่เอ่อร์ แกกลับไปก่อน” หนิงฉิงนึกถึงเรื่องเรื่องหนึ่ง จึงไม่ได้กลับไปกับฉินอวี่ทันที

 

 

ฉินอวี่พยักหน้า เธอมีเรื่องในใจ เลยไม่ได้พูดอะไรมาก

 

 

มู่หยิงช่วยกดลิฟต์ให้ฉินอวี่

 

 

 

 

ห้องผู้ป่วย

 

 

ฉินหร่านนั่งปอกแอปเปิลให้เฉินซูหลานอยู่บนเก้าอี้

 

 

เฉินซูหลานลืมตาขึ้น เอนหลังพิงหมอน “หรานหร่าน โน้ตเพลงที่ยายให้เอากลับไปครั้งก่อนหลานเก็บไว้หรือเปล่า”

 

 

“อยู่ในกระเป๋าเดินทาง” ฉินหร่านก้มหน้า ปอกแอปเปิลอย่างจริงจัง ใบหน้าขาวสะอาดเอียงน้อยๆ แล้วเลิกคิ้ว “ไม่ต้องห่วง หนูไม่ได้ทิ้ง”

 

 

“งั้นหลานก็เก็บให้ดี” เฉินซูหลานยิ้มแล้วกระแอมทีหนึ่ง

 

 

ฉินหร่านมองเฉินซูหลานแวบหนึ่ง ใบหน้าหยอกเย้า “นั่นเป็นของที่หนูจะทิ้งแท้ๆ มีแต่ขยะ คุณยายเก็บกลับมาทั้งนั้น”

 

 

“หลานเห็นเป็นขยะ แต่มีคนอยากได้แน่ะ…” เฉินซูหลานเหลือบตาขึ้น เห็นหนิงฉิงเข้ามา เธอก็หยุดพูด เริ่มถามเรื่องการเรียนในช่วงนี้ของฉินหร่าน

 

 

ฉินหร่านบอกผลคะแนนสอบฟิสิกส์ออกมาตรงๆ อย่างไม่ปิดบัง

 

 

หนิงฉิงเข้ามาก็ได้ยินว่าสามสิบกว่าคะแนน

 

 

คะแนนวิชาอื่นหนิงฉิงไม่รู้อะไรมาก แต่เธอจำได้ว่าวิชาฟิสิกส์ ฉินอวี่เคยพูดกับหลินจิ่นเซวียนตอนกลับบ้านเมื่อหลายวันก่อน

 

 

ได้ยินว่าควิซวิชาฟิสิกส์ครั้งนี้ยากมาก ฉินอวี่สอบได้ 82 คะแนน อันดับสามของโรงเรียน

 

 

แม้แต่หลินจิ่นเซวียนที่ไม่ค่อยชอบพูดมาตั้งแต่ไหนแต่ไรยังชมฉินอวี่อยู่หลายคำ

 

 

ตอนนี้ได้ยินเฉินซูหลานบอกว่าสามสิบกว่าคะแนนของฉินหร่านนับว่ามีความพัฒนาแล้ว หนิงฉิงไม่พูดอะไร ในใจกลับไม่ค่อยใส่ใจเท่าไหร่

 

 

..

 

 

ถ้าฉินหร่านไม่มีธุระเรื่องอื่น กำหนดไว้ว่าทุกๆ วันเสาร์จะมาอยู่กับเฉินซูหลานสามชั่วโมง

 

 

หนิงฉิงรอจนเธอจะกลับ ถึงได้ตามออกมาพร้อมกับเธอ

 

 

“หรานหร่าน รอก่อน” หนิงฉิงเรียกฉินหร่านที่นำหน้าอยู่ พยายามทำหน้าอ่อนโยนให้ได้มากที่สุด

 

 

ฉินหร่านยื่นมือไปกดลิฟต์ ชายตามอง ใบหน้าไม่แสดงอารมณ์ “เรื่องอะไร ว่ามา”

 

 

ท่าทีของเธอไม่แยแสอะไรเสมอมา ยิ่งกับคนที่ตัวเองไม่ใส่ใจก็ยิ่งทำตามใจตัวเอง

 

 

ใบหน้าสะสวยฉายความรำคาญกับความเย้ยหยันที่หนิงฉิงเกลียดที่สุด

 

 

ท่าทางแบบนี้ทำให้หนิงฉิงอารมณ์ไม่ดี แต่ก็อดทนแล้วยิ้ม “แกจำคุณชายเฉียนครั้งก่อนได้ไหม เขาเป็น…”

 

 

“หยุด” ฉินหร่านมองความคิดของหนิงฉิงออกมาในแวบเดียว เธอเหลือบมองหนิงฉิง ใบหน้าเย็นชา “เขาเป็นใครไม่ต้องมาบอกหนู หนูไม่มีอะไรเกี่ยวข้องกับเขา ทำไมแม่ไม่ไปขายฉินอวี่ล่ะ”

 

 

ประตูลิฟต์เปิดออก

 

 

เธอเดินเข้าไปทันที

 

 

หนิงฉิงยื่นมือไปขวางประตูลิฟต์ไว้แล้วเม้มปาก “แม่ก็แค่หวังดีกับแก! คุณชายเฉียนเป็นคนที่ฐานะร่ำรวย ได้ยินว่าแม่ของเขาก็เป็นถึงประธานของบริษัท เขามองแกได้ ก็ถือว่าแกโชคดี อย่าไม่รู้ชั่วดีหน่อยเลย”

 

 

ฉินหร่านยิ้ม นัยน์ตาเฉยชา “ในเมื่อฐานะเขาดีขนาดนี้ แม่ให้ฉินอวี่ไปแต่งสิ”

 

 

“แกพูดบ้าอะไรอีก น้องสาวแก…” หนิงฉิงอ้าปากค้าง

 

 

ฉินอวี่เป็นสิ่งที่เธอปั้นมาเองกับมือ ไม่ว่าจะด้านไหนก็สู้หญิงตระกูลร่ำรวยพวกนั้นได้ ยิ่งไปกว่านั้นหลินหว่านก็ให้ความสำคัญกับฉินอวี่ ต่อไปงานแต่งงานของฉินอวี่ต้องเกิดขึ้นในเมืองหลวงแน่นอน

 

 

เจอสังคมชั้นสูงมามาก หนิงฉิงรู้ดีว่าตัวเองเป็นแค่คลื่นเล็กๆ ไม่เตะตาในแวดวงก็เท่านั้น

 

 

แม้คุณชายเฉียนจะดี แต่เจ้าชู้เกินไป ไม่มีความสามารถอะไร เมื่อเทียบกับเฟิงฉือหลินจิ่นเซียนก็ด้อยกว่าไม่มาก หนิงฉิงทำใจให้ฉินอวี่แต่งงานกับคนแบบนั้นไม่ได้

 

 

แต่ฉินหร่านนั้นไม่ใช่ นอกจากหน้าตาของเธอแล้ว ไม่มีจุดเด่นอะไรเลย ผลการเรียนก็แย่ ไม่มีชาติกำเนิด หนิงฉิงคิดว่าเธอไม่สำเหนียกเอาเสียเลย

 

 

“พูดไม่ออก ก็ปล่อยมือ”

 

 

 

 

ฉินหร่านตรงกลับร้านชานม

 

 

ก่อนหน้านี้เพราะบาดเจ็บ จึงขอลาหยุด เดิมทีเถ้าแก่จะไม่หละหลวมกับพนักงานพาร์ตไทม์ขนาดนี้ แต่ไม่ใช่กับฉินหร่าน ตอนที่เธออยู่ร้านชานม กิจการดีขึ้นกว่าเมื่อก่อนหลายเท่า ต้องเข้าแถวไปถึงหัวมุมถนน

 

 

ไม่ว่าจะเป็นในโรงเรียน หรือนอกโรงเรียน ก็จะยกโขยงกันมาเพราะใบหน้าเธอ

 

 

ฉะนั้นพอฉินหร่านกลับมา เถ้าแก่ร้านชานมก็ดีใจยิ่งกว่าอะไร

 

 

“ฉินเสี่ยวหร่านไปที่ร้านชานมอีกแล้วเหรอ” ลู่จ้าวอิ่งที่นั่งข้างที่นั่งคนขับ เห็นความคึกคักของร้านชานมในแวบเดียว ก็อดหัวเราะไม่ได้

 

 

เขามองกระจกมองหลัง ใบหน้าของเฉิงเจวี้ยนค่อนข้างดุดันอย่างที่คิดไว้จริงๆ

 

 

อันที่จริงในสายตาของพวกลู่จ้าวอิ่ง มือของฉินหร่านไม่มีปัญหาอะไรแล้วจริงๆ เพราะแผลก็ตกสะเก็ดแล้ว

 

 

แต่เฉิงเจวี้ยนกลับไม่ยอมให้ฉินหร่านทำอะไรอยู่ดี ห้องครัวก็ไม่ยอมให้ฉินหร่านเข้า ยกหน้าที่ให้เฉิงมู่ทั้งหมด มีพระคุณที่เคยช่วยชีวิต เฉิงมู่เลยยอมทำทุกอย่างแต่โดยดี

 

 

คราวนี้เยี่ยมเลย เฉิงเจวี้ยนคอยดูแลทุกด้าน แต่ตัวเธอเองกลับมาโผล่ที่ร้านชานม

 

 

“เธอขาดเงินขนาดนี้เลยเหรอ” ลู่จ้าวอิ่งคิด “พวกเราจ้างฉินเสี่ยวหร่านเป็นเจ้าหน้าที่ไอทีดีไหม ฝีมือเธอต้องไหวแน่นอน”

 

 

เฉิงเจวี้ยนก้มหน้า ไม่พูดอะไร

 

 

เฉิงมู่มองลู่จ้าวอิ่งแวบหนึ่ง ตะลึงในใจ เขาไม่คิดว่าลู่จ้าวอิ่งจะเชื่อใจฉินหร่านขนาดนี้ ถึงจะจ้างฉินหร่านให้เป็นเจ้าหน้าที่ภายใน ไม่แม้แต่จะใช้แบบทดสอบคัดเลือกด้วยซ้ำ?

 

 

พอดูเฉิงเจวี้ยน ก็ทำท่าเหมือนกำลังตั้งใจไตร่ตรองอยู่เช่นกัน

 

 

เฉิงเจวี้ยนก้มหน้าก้มตา ผมหน้าปรกลงมาอย่างเป็นธรรมชาติ ดวงตาดำสนิทหรี่ลง เขาอยากเข้าไปจับตัวผู้หญิงคนนั้นมาเหลือเกิน บอกเธอว่าไม่มีความจำเป็นต้องทำแบบนี้เพราะเงินไม่กี่บาท

 

 

แต่ว่า…

 

 

เฉิงเจวี้ยนพูดขึ้นมาอย่างไม่สบอารมณ์ “ไปก่อนเถอะ”

 

 

สัมผัสได้ว่าเขาอาจจะอารมณ์ไม่ดี ตลอดทางนี้ ลู่จ้าวอิ่งกับเฉิงมู่ไม่กล้าพูดอะไรอีกเลย

 

 

 

 

ทางด้านของตระกูลหลิน

 

 

พอหนิงฉิงกลับบ้าน ก็เห็นได้ชัดว่าอารมณ์ไม่ค่อยดี

 

 

ตอนที่ทานมื้อค่ำ ฉินอวี่ออกมาก็สังเกตเห็นว่าหนิงฉิงกับคุยโทรศัพท์อยู่ เธอได้ยินไม่ชัด ได้ยินแค่ไม่กี่คำว่า ‘คุณชายเฉียน’

 

 

ดวงตาของฉินอวี่เป็นประกายวาบ พอจะรู้คร่าวๆ แล้วว่าเป็นเรื่องอะไร

 

 

ป้าจางยกผลไม้ตะกร้าหนึ่งมาให้ฉินอวี่ “คุณหนู ผลไม้ที่คุณชายใหญ่เพิ่งให้คนเอากลับมา สดมากเชียวละ คุณหนูทานก่อนสิ”

 

 

ฉินอวี่หยิบองุ่นขึ้นมากิน สายตาเหลือบไปทางหนิงฉิง “คุณแม่กำลังคุยกับใครอยู่”

 

 

ป้าจางยิ้ม ไม่ค่อยใส่ใจนัก “เพราะพี่สาวคนนั้นของคุณหนู ได้ยินว่าคุณชายเฉียนคนหนึ่งถูกใจเธอเข้า”

 

 

“คุณชายเฉียน?” แววตาของฉินอวี่เป็นประกายวาบ เธอเม้มปาก “เหมือนฉันจะไม่เคยได้ยินว่าในเมืองอวิ๋นเฉิงจะมีตระกูลเฉียน…”

 

 

“ตระกูลเล็กๆ แบบนี้ จะเทียบกับตระกูลเฟิงได้ยังไง แต่สำหรับพี่สาวคุณหนูแล้ว ก็นับว่าหายากแล้ว” ป้าจางพูด

 

 

ฉินอวี่ย่อมรู้เรื่องพวกนี้ หากคุณชายเฉียนคนนั้นมีชาติกำเนิดสูงส่ง เธอไม่มีทางรั้งท้ายแน่ “หายากจริงๆ”

 

 

หากมองจากสายของฉินอวี่ตอนนี้ อนาคตของฉินหร่านไม่มีความก้าวหน้าอะไรอย่างแท้จริง

 

 

แม้เฉียวเซิงจะสนิทกับเธอ แต่ตระกูลเฉียวจะเอาผู้หญิงบ้านๆ คนหนึ่งไปเป็นสะใภ้ได้อย่างไร

 

 

ตอนนี้ได้แต่งงานกับตระกูลเฉียน ก็นับว่าโชคดีแล้ว

 

 

ฉินอวี่ไม่สนใจเรื่องของฉินหร่านอีก

 

 

กระทั่งหลินฉีกลับมากลางคืน จู่ๆ หลินฉีก็พูดถึงฉินหร่านบนโต๊ะอาหาร

 

 

“หรานหร่านรู้จักประธานเฟิงเหรอ” หลินฉีมองหนิงฉิง

 

 

หนิงฉิงชะงัก “ประธานเฟิงคือใคร”

 

 

“ประธานเฟิงเป็นประธานตระกูลเฟิง” หลินจิ่นเซียนคีบผักเต็มตะเกียบ อธิบายว่า “เป็นน้องสาวของเฟิงโหลวเฉิง พวกเขาสองพี่น้องคนหนึ่งเล่นการเมืองอีกคนทำธุรกิจ ถิ่นฐานเดิมอยู่ในเมืองหลวง มีกิจการใหญ่โต คุณไม่รู้จักก็ไม่แปลก”

 

 

เรื่องเกี่ยวกับฉินหร่าน ฉินอวี่ก็เงยหน้าน้อยๆ

 

 

น่าเหลือเชื่อทีเดียว “งั้นพี่จะรู้จักประธานเฟิงได้ยังไง”

 

 

แม้แต่เธอกับหนิงฉิงก็ไม่เคยได้ยินมาก่อน

 

 

แต่ก็จริง ถิ่นฐานอยู่ในเมืองหลวง แถมยังเป็นน้องสาวของเฟิงโหลวเฉิง เธอกับหนิงฉิงมีปัญญาคลุกคลีที่ไหนกัน

 

 

“วันนี้ได้ยินประธานเฟิงพูดถึงในงานเลี้ยง ประธานเฟิงถามแทนลูกชายของเธอน่ะ” หลินฉีก็หยุดไปพักหนึ่งแล้วพูดว่า “ลูกชายของเธอค่อนข้างเก็บตัว แซ่เฉียนเหมือนพ่อของเขา”

 

 

แกรก

 

 

ตะเกียบในมือของฉินอวี่ร่วงลงโต๊ะ