ตอนที่ 100 ฉินหร่านกับฉินอวี่ต่างกันราวฟ้ากับดิน

เผยตัวตนลับ จับหัวใจเธอ

ปฏิกิริยาของฉินอวี่เกินเหตุนิดหน่อย

 

 

หลินฉีค่อนข้างแปลกใจ “อวี่เอ่อร์?”

 

 

ฉินอวี่รีบหยิบตะเกียบขึ้น ใจไม่อยู่กับร่องกับรอย เม้มปากยิ้มๆ “หนูตกใจนิดหน่อย ไม่คิดว่าคุณอาเฟิงจะมีน้องสาวด้วย”

 

 

ไม่ว่าอย่างไรเธอก็คิดไม่ถึง คุณชายเฉียนที่เธอคิดว่าไม่โดดเด่นเลยสักนิดในตอนแรก จะเกี่ยวข้องกับเฟิงโหลวเฉิง

 

 

ดูจากท่าทางของหลินฉีกับหลินจิ่นเซวียนแล้ว คุณชายเฉียนคนนั้นคงไม่ด้อยไปกว่าเฟิงฉือ

 

 

ฉินอวี่ว้าวุ่นใจมากทีเดียว

 

 

ทำไมฉินหร่านถึงได้ดวงดีแบบนี้ตลอดเลย!

 

 

“ประธานเฟิงเป็นหญิงแกร่ง” หลินจิ่นเซียนพูดเสียงเรียบ “ลูกชายเธออยู่ที่เมืองอวิ๋นเฉิงกับพ่อของเขา แกน่าจะเคยเห็น เฉียนจิ่นอวี้คนนั้นไง”

 

 

ฉินอวี่เผลอมองหนิงฉิง หนิงฉิงถือตะเกียบนั่งนิ่งอยู่บนเก้าอี้

 

 

พอพูดถึงตรงนี้ หลินจิ่นเซวียนก็ขมวดคิ้ว เขาวางตะเกียบลง “คุณพ่อ ประธานเฟิงถามเรื่องหรานหร่านแทนลูกชายเธองั้นเหรอ”

 

 

หลินฉีพยักหน้าน้อยๆ เขารู้ความกังวลของหลินจิ่นเซวียนดี “เรื่องนี้ฉันรู้ดี แกไม่ต้องยุ่ง”

 

 

ทุกคนบนโต๊ะต่างก็ใจไม่อยู่กับเนื้อกับตัว

 

 

หนิงฉิงดูแปลกชอบกล หลินฉีมองออก

 

 

กินข้าวเสร็จ เขาลุกขึ้น พูดกับหนิงฉิงเสียงเข้มว่า “คุณตามผมมาที่ห้องหนังสือหน่อย”

 

 

 

 

ฉินอวี่กลับไปซ้อมไวโอลินที่ห้องเปียโน

 

 

แต่กลับไม่มีอารมณ์ นึกถึงเรื่องของเฉียนจิ่นอวี้ เธอก็รู้สึกหงุดหงิดขึ้นมานิดหน่อย

 

 

ก่อนหน้านี้เพราะคิดว่าไม่เคยได้ยินแซ่ ‘เฉียน’ ในเมืองอวิ๋นเฉิง ถึงได้สอดมือเข้าไปยุ่ง ใครจะคิดว่า คนที่หาลวกๆ จะมีความเกี่ยวข้องกับเฟิงโหลวเฉิง

 

 

ดูท่าทางจะเป็นตระกูลในเมืองหลวงซะด้วย

 

 

เธอหงุดหงิดงุ่นง่าน

 

 

คุณชายเฉียนไร้ชื่อเสียงที่หามาส่งๆ กลับเป็นถึงบุคคลที่พอจะเทียบชั้นกับเฟิงฉือได้ ทำไมเธอถึงไม่มีโชคแบบนั้นบ้าง

 

 

ฉินอวี่ทั้งโมโหและอิจฉาอย่างบอกไม่ถูก

 

 

เสียงมือถือในกระเป๋าดังขึ้นพอดี

 

 

พอก้มหน้ามองเบอร์โทรศัพท์ ไม่ใช่ของเมืองนี้

 

 

“ฮัลโหล พ่อ?” ฉินอวี่ย่นคิ้ว แต่เสียงกลับฟังดูน่ารัก “อีกสองวันพ่อจะมาเมืองอวิ๋นเฉิง เลยถือโอกาสมาหาหนูงั้นเหรอ ได้ค่ะ เราเจอกันที่เดิมนะ”

 

 

หลังพูดไม่กี่ประโยค เธอก็วางสาย

 

 

 

 

เฉิงเจวี้ยนมีนัดทานข้าวกับผู้บัญชาการเฉียนตอนกลางคืน

 

 

เขามาเมืองอวิ๋นเฉิงก็เพราะมีภารกิจติดพัน

 

 

แม้ผู้บัญชาการเฉียนจะเย็นชา แต่ก่อนมาน่าจะมีคนแนะนำมาแล้ว ปฏิบัติตัวต่อเฉิงเจวี้ยนดีทีเดียว แม้จะพูดน้อยไปบ้าง แต่มองออกว่านอบน้อม

 

 

ทว่าแม้เฉิงเจวี้ยนจะนั่งบนเก้าอี้อย่างเอื่อยเฉื่อย กลับไม่พูดไม่จา

 

 

ใบหน้าที่ก้มอยู่โดดเด่นสะดุดตา ดูอ่อนโยนทีเดียว แต่ลักษณะท่าทางกลับดุดัน ผู้บัญชาการเฉียนไม่ค่อยกล้าเป็นคนชวนเขาคุยมากนัก

 

 

เป็นลู่จ้าวอิ่งที่พูดคุยกับผู้บัญชาการเฉียนอยู่เสมอ

 

 

ผู้บัญชาการห่าวนั่งอยู่อีกมุมกับเฉิงมู่ พอพวกลู่จ้าวอิ่งพูดจบ เฉิงมู่ถึงพูดกับผู้บัญชาการเฉียน “ผู้บัญชาการเฉียน เมื่อก่อนคุณรู้จักฉิน…คุณหนูฉินไหม”

 

 

ผู้บัญชาการเยือกเย็นมาตลอด ไม่ค่อยชอบยุ่งกับใคร แต่พอพูดถึงฉินหร่าน เขาก็ตื่นตัวขึ้นมา

 

 

“รู้จัก” สั้นกระชับ

 

 

แต่อย่างไรก็นับว่าสนใจตัวเองแล้ว

 

 

เฉิงมู่ปลาบปลื้มใจ “งั้นคุณรู้ไหมคุณหนูฉินชอบอะไร ปกติมีงานอดิเรกอะไร…”

 

 

เขาถามหลายคำถามติดต่อกัน

 

 

ตอนแรกคิดว่าผู้บัญชาการเฉียนจะตอบส่งๆ แค่ไม่กี่คำ หรือไม่สนใจเขา ความเย็นชาดุจน้ำแข็งของผู้บัญชาการเฉียนเขาเคยประสบมาแล้ว

 

 

แต่คิดไม่ถึงว่าผู้บัญชาการเฉียนจะตอบได้ค่อนข้างละเอียดมาก

 

 

“คุณหนูฉินชอบความเงียบ เธอดูเย็นชา แต่ความจริงแล้วนิสัยดีมาก เธอชอบกิน…” พอผู้บัญชาการเฉียนพูดถึงฉินหร่านก็พูดเป็นต่อยหอย

 

 

ท่าทางก็ไม่ต่างอะไรกับคุณแม่เลย

 

 

เฉิงมู่หยิบสมุดที่พกติดตัวออกมา ผู้บัญชาการเฉียนพูดหนึ่งข้อ เขาก็จดลงในสมุดหนึ่งข้อ

 

 

พอทานข้าวเสร็จ ตอนแรกเฉิงเจวี้ยนต้องไปแล้ว แต่พอได้ยินเสียงของสองคนนี้ เฉิงเจวี้ยนกลับนั่งลงอีกครั้ง เอนตัวพิงพนักแล้วหลับตาพริ้ม

 

 

นิ้วมือเรียวยาวเคาะผิวโต๊ะอย่างสบายๆ ท่าทางจะตั้งใจฟังมาก

 

 

ตอนแรกลู่จ้าวอิ่งจะกลับแล้ว พอเห็นเฉิงเจวี้ยนเป็นแบบนี้ ก็เลิกคิ้ว ยิ้มแล้วนั่งลงเหมือนกัน

 

 

ผู้บัญชาการเฉียนพูดจบด้วยความไม่หนำใจ รู้สึกดีกับเฉิงมู่ขึ้นมาบ้างแล้ว

 

 

ก่อนไป ยังตั้งใจบอกลาเฉิงมู่เป็นพิเศษอีกด้วย

 

 

เฉิงมู่มีความรู้สึกเหมือนดีใจที่ได้รับการยอมรับ

 

 

“ทำไมถึงถามเรื่องฉินหร่านกับผู้บัญชาการเฉียนล่ะ” ผู้บัญชาการห่าวแปลกใจมาก เพราะเมื่อก่อนเฉิงมู่เป็นเหมือนเขา ไม่ค่อยชอบฉินหร่านเท่าไหร่นัก

 

 

อีกอย่างเฉิงมู่ก็เป็นเหมือนชื่อของเขา ซึมกะทือมากทีเดียว

 

 

นอกจากเฉิงเจวี้ยนกับเทพธิดาคนนั้นของเขาแล้ว ผู้บัญชาการห่าวไม่เคยเห็นเฉิงมู่ใส่ใจใครขนาดนี้มาก่อน

 

 

มีคนมากมายในเมืองหลวงประจบเฉิงมู่ แต่ไม่มีใครทำสำเร็จเลยสักคน

 

 

ตอนนี้กลับถามความชอบของฉินหร่านกับผู้บัญชาการเฉียนงั้นเหรอ

 

 

“คุณหนูฉินเคยช่วยผมไว้” เฉิงมู่ตามหลังเฉิงเจวี้ยนกับลู่จ้าวอิ่ง พูดเสียงอู้อี้

 

 

เฉิงมู่ไม่ค่อยชอบแสดงออก แต่ไม่ได้โง่ ย่อมเดาระดับความอดทนของเฉิงเจวี้ยนและลู่จ้าวอิ่งที่มีต่อฉินหร่านออก

 

 

ผู้บัญชาการห่าวหยิบบุหรี่มาคาบไว้ในปาก หันหน้ามองไปทางเฉิงมู่แล้วยิ้ม “นายใส่ใจเธอขนาดนี้ แล้วเทพธิดาของนายล่ะ”

 

 

เฉิงมู่ไม่แม้แต่คิดด้วยซ้ำ เป็นธรรมชาติมาก “เทพธิดาของผมต้องอยู่หน้าเธออยู่แล้ว”

 

 

 

 

วันจันทร์

 

 

หยุดทั้งโรงเรียน งานโรงเรียนเริ่มบ่ายสองโมง

 

 

ฉินหร่านนั่งอยู่ในห้องพยาบาลตั้งแต่ตอนเช้าแล้ว

 

 

ในโรงเรียนเสียงดังขนาดนี้ พวกลู่จ้าวอิ่งย่อมรู้เป็นธรรมดา

 

 

“ฉินเสี่ยวหราน วันนี้เป็นวันครบรอบของโรงเรียนพวกเธอเหรอ” วันนี้ลู่จ้าวอิ่งหยุด ไม่ได้สวมชุดกาวน์ แต่สวมแค่เสื้อยืดธรรมดา เขาฟุบอยู่บนโต๊ะที่ฉินหร่านทำควิซ ถามเธอด้วยใบหน้ายิ้มแย้ม

 

 

มือของหนึ่งของฉินหร่านเท้าคาง อีกข้างถือปากกา ตอบอย่างเอื่อยเฉื่อยว่า “ใช่”

 

 

“งั้นเธอแสดงอะไร” ลู่จ้าวอิ่งไม่สนใจเสียงเอะอะโวยวายของเด็กๆ พวกนี้ ปกติคนอื่นให้บัตรคอนเสิร์ตมาเขาไม่แม้แต่จะมองด้วยซ้ำ

 

 

แต่ถ้าฉินหร่านจะขึ้นไปร้องเพลงประสานเสียงอะไรเทือกนั้น เขาก็สนใจมากทีเดียว

 

 

“ไม่มี” ฉินหร่านหยิบนมจากมุมหนึ่งขึ้น เสียบหลอดแล้วดูดไปอึกหนึ่ง “แค่ไปดูร้องเพลงประสานเสียงของห้อง”

 

 

ลู่จ้าวอิ่งก็ไม่แปลกใจ เพราะนิสัยของฉินหร่านไม่เหมือนคนที่จะไปร่วมร้องเพลงประสานเสียงกับคนอื่น

 

 

ปกติแค่คนเยอะหน่อยเธอก็ขมวดคิ้วแล้ว ถ้าต้องร้องเพลงประสานเสียงกับคนอื่น หัวเธออาจจะระเบิดก็ได้

 

 

“เธอดูจบเมื่อไหร่ ส่งข้อความมาหน่อยนะ” เฉิงเจวี้ยนพลิกกระดาษอย่างเชื่องช้า เหลือบตาขึ้นมอง “คืนนี้ออกไปกินข้าว ผู้บัญชาการเฉียนเลี้ยง”

 

 

คราวก่อนพวกเฉิงมู่เป็นฝ่ายชวนผู้บัญชาการเฉียน ครั้งนี้ผู้บัญชาการเฉียนเชิญฉินหร่านกับเฉิงเจวี้ยนไปทานข้าว

 

 

ฉินหร่านตอบอืม ไม่สนใจงานเลี้ยงพรรค์นี้ของพวกเขา

 

 

ไม่ว่าจะไปไหน ก็มีแต่ต้มผักกาดขาว

 

 

“เพลงประสานเสียงอยู่ครึ่งหลัง ห้าโมงน่าจะออกมาได้” ฉินหร่านไม่แสดงอารมณ์อะไร “ออกมาค่อยติดต่อ”

 

 

ทานมื้อเที่ยงเสร็จ ยังไม่ถึงบ่ายสอง

 

 

เฉียวเซิงก็โทรหาฉินหร่านตรงหน้าโรงเรียน

 

 

“งั้นฉันไปก่อนนะ” ฉินหร่านเก็บปากกากับควิซ

 

 

ลู่จ้าวอิ่งทักทายเฉียวเซิงอย่างเป็นมิตร

 

 

เฉิงเจวี้ยนดูไม่มีทีท่าว่าจะทักทายเลยสักนิด เพียงแค่เงยหน้าเหลือบมองเฉียวเซิงข้างนอก คำที่พูดกับฉินหร่านก็สั้นกระชับ “อืม”

 

 

ฉินหร่านหยิบมือถือกับหูฟังออกไป

 

 

เฉิงเจวี้ยนแค่ชายตามองเฉียวเซิงจากห้องพยาบาลแค่แวบเดียวเท่านั้น แม้เฉียวเซิงจะคุยกับฉินหร่าน แต่เห็นได้ชัดว่าตามหลังฉินหร่านสองก้าว

 

 

เขาละสายตา

 

 

 

 

นอกห้องพยาบาล เฉียวเซิงก็หวั่นๆ ใจอยู่เหมือนกัน

 

 

“เธอรู้จักกับพวกคนที่ห้องพยาบาลด้วยเหรอ” เฉียวเซิงถามเสียงเบา

 

 

แดดเหนือศีรษะจ้า ฉินหร่านสวมหมวกเบสบอล ท่าทางเอื่อยเฉื่อย “นิดหน่อย รู้จักกันตอนทำงาน”

 

 

“งั้นก็แปลว่าไม่ได้สนิทมากสินะ” เฉียวเซิงโล่งอก “ยังไงซะต่อไปเธอก็อยู่ให้ห่างจากพวกห้องพยาบาลไว้ คุณชายสวีเคยบอกฉันว่า คนพวกนั้น…ยังไงซะต่อไปก็อยู่ให้ห่างไว้ก็พอ”

 

 

คำพูดเดิมที่สวีเหยากวงบอกเฉียวเซิงคือ อยู่ให้ห่างจากพวกห้องพยาบาลไว้ ไม่อย่างนั้นก็ไม่รู้ด้วยซ้ำว่าจะตายยังไง

 

 

พอเฉียวเซิงถามอีก สวีเหยากวงก็ไม่พูดอีก แต่ก็ไม่เป็นอุปสรรคต่อการคาดเดาของเฉียวเซิง

 

 

เขารู้จักตัวตนของสวีเหยากวงดี

 

 

มือของฉินหร่านกดปีกหมวกไว้ พูดอย่างฝืนใจว่า “อืม”

 

 

เฉียวเซิงยังอยากพูดต่อ แต่พอเห็นพวกหลินซือหรานกับเซี่ยเฟยที่รอฉินหร่านอยู่ตรงข้างทาง ก็ปิดปากฉับ

 

 

 

 

ในร่มไม้แห่งหนึ่งของโรงเรียน

 

 

“อวี่เอ่อร์ เดี๋ยวพ่อต้องไปทำงาน พรุ่งนี้จะกลับเขตหนิงไห่อีก” ฉินฮั่นชิวล้วงเงินออกจากกระเป๋า “นี่เป็นค่าขนมของลูก เก็บไว้นะ”

 

 

ฉินฮั่นชิวเอ็นดูลูกสาวที่น่ารักและรู้เรื่องคนนี้มาตลอด

 

 

แม้ตอนนี้เขาจะมีลูกชายตัวเล็กๆ แล้ว แต่ก็ยังเป็นห่วงฉินอวี่เหมือนเดิม ไม่อย่างนั้นก่อนหน้านี้คงไม่คิดจะพาฉินอวี่กลับไปหรอก

 

 

เขาทำงานโรงงานไม้ มักจะมีขี้เลื่อยติดตามตัวเสมอ

 

 

ใบหน้าชุ่มเหงื่อ

 

 

ฉินอวี่ย่อมไม่รับอยู่แล้ว พูดเสียงนุ่มๆ ว่า “พ่อ นี่เป็นเงินที่มาจากน้ำพักน้ำแรงของพ่อ หนูจะรับได้ยังไง ตอนนี้หนูอยู่ในตระกูลหลินก็ไม่ต้องใช้เงิน พ่อเอาไปกลับให้น้องกับคุณน้าใช้เถอะ”

 

 

ฉินฮั่นชิวจะหาโอกาสมาเยี่ยมฉินอวี่ทุกปี แต่เงินที่เขาให้ฉินอวี่เธอไม่เคยรับเลย มักจะบอกให้เขาให้น้องชายแทน

 

 

ฉินฮั่นชิวจึงรู้สึกว่าลูกสาวคนนี้ใส่ใจเหลือเกิน

 

 

ขอแค่มีโอกาสได้มาเมืองอวิ๋นเฉิง เขาก็จะหาวิธีมาเยี่ยมฉินอวี่ทุกครั้ง

 

 

มีคนกลุ่มหนึ่งคุยกันอยู่ไม่ไกล

 

 

ฉินฮั่นชิวรีบหันหลังทันที “ก็ได้ วันนี้ลูกจะแสดงใช่ไหม รีบไปเถอะ”

 

 

เขาก็ไม่อยากให้เพื่อนของฉินอวี่รู้ว่า เธอมีพ่อแบบนี้อยู่ด้วย

 

 

ฉินอวี่พูดประโยคห่วงใยไม่กี่ประโยค พอเห็นคนที่อยู่ไม่ไกลพวกนั้นจะเดินมาแล้ว เธอก็หันหลังจากไปทันที

 

 

ฉินฮั่นชิวมองแผ่นหลังของเธอ พอคิดว่าเดี๋ยวเธอจะขึ้นไปแสดงบนเวทีแล้วก็ดีใจมาก

 

 

เขาหันหลังแล้วเดินไปทางถนน

 

 

กลับเห็นฉินหร่านที่ถูกผู้คนรุมล้อม

 

 

ฉินหร่านนิสัยเหมือนเขามาก ไม่ค่อยสนใจอะไรนัก

 

 

ฉินฮั่นชิวก็ไม่ได้เจอฉินหร่านนานแล้วเหมือนกัน พอเห็นเธอกะทันหัน จู่ๆ ก็รู้สึกตัวว่า ฉินหร่านตามหนิงฉิงมาอยู่เมืองอวิ๋นเฉิงตั้งนานแล้ว

 

 

“หราน…” เขาชะโงกหน้าด้วยความดีใจ

 

 

กำลังคิดจะทักทาย ฉินฮั่นชิวก็สังเกตเห็นคนรอบตัวฉินหร่าน ชุดของผู้ชายที่ยืนข้างฉินหร่านแค่มองก็รู้แล้วว่าราคาแพง คนอื่นๆ รอบตัวเธอก็โดดเด่นดูดีเหมือนกัน

 

 

ดูเหมือนทุกคนจะตื่นเต้นดีใจกันมาก

 

 

ฉินฮั่นชิวรู้สึกตัวทันใด จึงรีบเก็บคำพูดในปาก หันหลังเดินเข้าไปในดงไม้ทันที

 

 

แน่นอนว่าฉินหร่านเห็นฉินฮั่นชิวแล้ว ถูกปฏิกิริยาของเขาทำให้ชะงัก “พ่อ ทำไมเห็นหนูแล้วต้องวิ่งด้วยละ”